Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 924 ราชันแห่งเหล่าอริยะหรือ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 924 ราชันแห่งเหล่าอริยะหรือ
ระฆังมหามรรคไร้กฎ!
เมื่อหลินสวินได้ยินชื่อนี้ สิ่งที่คิดถึงเป็นอย่างแรกก็คือขวดมหามรรคไร้ขอบเขตขวดนั้นที่ตนได้มา
ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงระฆังสำริดซึ่งเห็นบนโต๊ะที่ยอดแท่นมรรคใบนั้น
อันหนึ่งเป็นระฆังไร้กฎ
อันหนึ่งเป็นขวดไร้ขอบเขต
ล้วนใช้คำว่า ‘มหามรรค’ ตั้งชื่อ ในชื่อนี้เกี่ยวข้องกันหรือไม่
“ตอนนั้นวิธีของเหล่าอริยะก็ไม่ผิด พวกเขาสันนิษฐานไว้ก่อนแล้วว่าจะมีวันเช่นนี้ วันที่มหาสงครามมาเยือน หาไม่แล้วก็คงไม่ทิ้งระฆังมหามรรคไร้กฎที่ทุ่มเททั้งชีวิตหลอมขึ้นมาใบนี้ไว้ที่นี่…”
อันธพาลเฒ่าพึมพำ สีหน้าเจือไปด้วยความเศร้าสร้อยและสะอื้นไห้ เขาไม่ได้เสแสร้ง เหมือนนึกถึงเรื่องราวในอดีตมากมาย
“สมบัตินี้ ก็คือ ‘ผลึกแห่งเลือดหัวใจสรรพชีวิต’ ที่เจ้าพูดถึงหรือ” หลินสวินถามอย่างอดไม่ได้
พวกเขายังคงเดินหน้าไปบนกิ่งก้าน มาถึงส่วนลึกของชั้นเมฆ ทางข้างหน้ากว้างใหญ่ไพศาล ยังหาทางออกไปยังโลกภายนอกไม่พบ
“ถูกต้อง”
อันธพาลเฒ่าพยักหน้า “ระฆังที่เจ้าเห็นบนแท่นมรรคใบนั้น ก็คือระฆังมหามรรคไร้กฎ หลอมขึ้นโดยอริยะมากมายทุ่มเทร่วมกันหลอมขึ้นมาจนสำเร็จ เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นครั้งหนึ่ง ก็หมายถึงพลังของสรรพชีวิตรวมตัวกัน สามารถเปลี่ยนแปลงจักรวาลโดยง่าย ทำให้ผีเทพถอยหนี ลี้ลับถึงที่สุด หากผู้ใดได้ครอบครอง ผู้นั้นก็เท่ากับถือครองพลังแห่งสรรพชีวิต!”
“น่าเสียดาย…” ในใจหลินสวินออกจะจนใจ หากไม่ใช่ว่าคราวนี้สถานการณ์ไม่สู้ดี เขาคงไม่พลาดศุภโชคระดับนี้ไปแน่
“น่าเสียดายรึ เจ้าหนูนี่ไม่รู้จักพอจริงๆ!”
กลับเห็นว่าใบหน้าของอันธพาลเฒ่าเต็มไปด้วยความดูถูกและรังเกียจ “ระฆังมหามรรคไร้กฎนั่นเป็นตัวแทนของพลังแห่งสรรพชีวิตทั้งมวล ตอนนั้นที่เหล่าอริยะหลอมขึ้นสำเร็จ ก็เพราะสมบัตินี้ละเมิดข้อห้าม ได้รับการลงทัณฑ์จากสวรรค์อย่างไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าจะได้มา ก็ไม่อาจใช้ได้ในเวลาอันสั้น”
หลินสวินอึ้งไป “นี่เป็นเพราะเหตุใด”
“ขาดพลังแห่งสรรพชีวิต”
อันธพาลเฒ่าเอ่ย “พลังแห่งสรรพชีวิต เกี่ยวข้องกับแรงปรารถนาแห่งสรรพชีวิต มีเพียงผู้เก่งกาจที่สักการะอริยมรรคสำเร็จถึงสามารถไปรวบรวมได้ ทีนี้เจ้าหนูอย่างเจ้าน่าจะเข้าใจแล้วกระมัง ว่าสมบัตินี้ไม่ใช้สิ่งที่พวกเจ้าคนรุ่นหลังวัยเยาว์เหล่านี้ใช้ได้!”
แรงปรารถนาแห่งสรรพชีวิต…
หลินสวินใจสะท้าน ตามตำนาน อริยะเผยแพร่มรรคแก่ใต้หล้า สั่งสอนกล่อมเกลาสรรพชีวิต ย่อมได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากสรรพชีวิตโดยไม่อาจกำหนดได้ และรวมตัวเป็นพลังลี้ลับอย่างหนึ่ง… แรงปรารถนา!
เปรียบดั่งรูปปั้นทวยเทพในอารามในโลก ได้รับการบูชากราบไหว้จากปุถุชนมานานปี ย่อมมีกลิ่นอายน่าเกรงขามน่าหวาดกลัวเป็นธรรมดา
กลิ่นอายเหล่านั้นก็คือแรงปรารถนาอันผิวเผินอย่างหนึ่ง
ทว่าแรงปรารถนาสำหรับผู้ฝึกปราณนั้นกลับต่างออกไป เป็นตัวแทนแห่งภาพที่วาดหวังในวิถีบำเพ็ญเพียรอันยิ่งใหญ่ อริยะที่แท้จริงทุกคนล้วนตั้งปณิธานมหามรรคอันเกริกไกรของตนเอง
เพื่อสิ่งนี้ อริยะบางคนเลือกเข้าสู่สังคม สั่งสอนสรรพชีวิต ส่งเสริมปณิธานอันยิ่งใหญ่ของตน ได้รับศรัทธาและการยอมรับจากสรรพชีวิต ก็จะได้รับแรงปรารถนาสรรพชีวิตอย่างไม่ขาดสาย
เช่นเดียวกัน อริยนะบางคนเลือกออกจากสังคม ใช้ภาพที่วาดหวังของตนพิสูจน์กับหมื่นมรรคธรรมบาล ยามแผ้ววิถีบำเพ็ญเพียรใหม่ หรือบุกเบิกวิชามรรคใหม่ ก็จะได้รับแรงปรารถนาเช่นกัน
แรงปรารถนาเช่นนี้ จะถูกเรียกขานว่าแรงปรารถนามหามรรค
ไม่ว่าจะเข้าสู่สังคมหรือออกจากสังคม หนทางแห่งอริยมรรคย่อมสัมพันธ์กับแรงปรารถนาอย่างแยกไม่ออก
หลินสวินยังจำได้ว่า สมัยเขาอยู่ในป่าต้นหม่อนที่สมรภูมิกระหายเลือด จักจั่นทองลี้ลับตัวนั้นก็เคยเอ่ยความปรารถนายิ่งใหญ่ที่สามารถสะท้านโลกา สะเทือนนิรันดร์กาล…
ปรารถนาว่าสักวันหนึ่งหมื่นวิญญาณในใต้หล้าจะกลายเป็นอริยะได้!
นี่ ก็เป็นปณิธานมหามรรคอย่างหนึ่งเช่นกัน
เพียงแต่หลินสวินยังคิดไม่ถึงอยู่ดีว่าระฆังมหามรรคไร้กฎใบนั้นจะอัศจรรย์เช่นนี้ เพียงแค่ใช้งานเท่านั้น ก็ต้องใช้พลังแห่งสรรพชีวิตเป็นแหล่งพลัง
“เหนือความคาดหมายจริงๆ”
“ดังนั้นเจ้าหนูเจ้าก็เสแสร้งให้มันน้อยๆ หน่อย เทียบกับระฆังมหามรรคไร้กฎ ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตที่เจ้าได้มาขวดนั้นถึงจะเป็นของดีที่แท้จริง”
ยามอันธพาลเฒ่าพูดจา ถึงกับเจือน้ำเสียงอิจฉา “สิ่งนี้ก็เป็นสมบัติที่หลอมขึ้นโดยสรรพชีวิตเช่นกัน น่าเสียดายที่พลังเจ้าอ่อนด้อยเกินไป ไม่อาจใช้อานุภาพทั้งหมดของมันได้ ตอนที่อริยะเขาพยับครามผู้หนึ่งถือขวดนี้ไว้ในมือ เพียงคนเดียวก็สังหารอริยะได้ห้าคน เรียกได้ว่าอานุภาพอริยะเทียมฟ้า!”
หลินสวินสีหน้าผิดเพี้ยนไป พูดอย่างแปลกประหลาดว่า “ขวดนี้เป็นรางวัลพิเศษที่ข้าได้รับที่เขตขีดจำกัด ทำไมเจ้ารู้ได้”
อันธพาลเฒ่าอึ้งไป แล้วก็พูดอย่างคลุมเครือว่า “ตลกน่า บนเขาพยับครามแห่งนี้ยังมีเรื่องที่ข้าไม่รู้หรือ”
ในขณะเดียวกันอันธพาลเฒ่าก็รีบร้อนเตือนว่า “ถึงทางออกแล้ว หยุดเดินเร็ว”
สายตาหลินสวินมองไปรอบทิศ ก็เห็นว่าทั้งสี่ด้านเวิ้งว้างกว้างใหญ่ มีแต่เมฆหมอก มีทางออกเสียที่ไหนกัน
“รีบปล่อยข้าออกมา ข้าจะเบิกทางผ่านให้พวกเจ้า” อันธพาลเฒ่าร้องขึ้น
“บอกข้าก่อน เจ้าเป็นใครกันแน่” หลินสวินพลันถามขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย ดวงตาสีดำลุ่มลึก
“หา? ข้าหรือ” อันธพาลเฒ่ามีทีท่าไม่เข้าใจ “ไม่ใช่บอกไปแล้วหรือ ไม่ว่าข้าจะเดินหรือนั่งก็ไม่เปลี่ยนชื่อแซ่ เป็นโสมสมบัติเก้าห้องที่เกิดขึ้นเพราะรับบัญชาฟ้าลิขิตต้นหนึ่ง…”
หลินสวินไม่รอให้พูดจบก็ตัดบทว่า “มาถึงตอนนี้แล้ว เจ้ายังหลอกข้าหรือ ทั้งเขาพยับครามมีเพียงเจ้าผู้เดียวที่มีสติปัญญา เจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติหรือ”
“ตั้งแต่การทดสอบถกมรรคด่านแรกเริ่มขึ้น ก็มีเสียงระฆังลี้ลับดังขึ้นมาประกาศว่าการทดสอบสิ้นสุด เสียงระฆังนี้น่าจะมาจากระฆังมหามรรคไร้กฎที่เจ้าพูดถึงนั่น”
“กระทั่งมาถึงหน้าแท่นมรรคแท่นนั้น ก็มีเสียงลี้ลับดังขึ้นท่ามกลางฟ้าดิน ประกาศคัดชื่อผู้แข็งแกร่งที่ไม่มีวาสนาเข้าชิงศุภโชคคนแล้วคนเล่าออก”
พูดถึงตรงนี้ ดวงตาสีดำของหลินสวินก็ฉายแววประหลาดวูบไหว “และตอนตำหนักอมตะจะสังหารข้า เสียงลึกลับเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง ใช้พลังของระฆังมหามรรคไร้กฎบีบให้ตำหนักอมตะถอยออกไป”
“ต่อมาเสียงลี้ลับนั่นก็ประกาศขึ้นอีกว่า ซย่าจื้อกับมหามรรคที่ว่านั้นไม่เข้ากัน ไม่มีคุณสมบัติช่วงชิงศุภโชคอันดับหนึ่ง”
“เจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติหรือ” หลินสวินพูดชัดถ้อยชัดคำ
“แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ” อันธพาลเฒ่าผู้นี้ท่าทางประหลาดใจและงุนงง “ข้าถูกเจ้ากำราบอยู่ในเจดีย์สมบัตินี้มาตลอดนะ ไม่รู้เรื่องที่เจ้าพูดมาเลย”
ดวงตาหลินสวินฉายแววใคร่ครวญ “ถ้าเจ้ายอมรับ ข้ากลับจะสงสัยว่าเจ้ากำลังโกหก แต่ตอนนี้เจ้ากลับปฏิเสธทั้งหมด ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าเจ้ามีเจตนาแอบแฝง!”
“เจ้าไม่ใช่พูดว่าบนเขาพยับครามแห่งนี้ไม่มีเรื่องที่เจ้าไม่รู้หรอกหรือ ทว่าเหตุใดเจ้ากลับไม่อธิบายเรื่องเสียงระฆังกับเสียงลี้ลับนั่น แต่กลับปฏิเสธมาตรงๆ ล่ะ”
อันธพาลเฒ่าท่าทางเหมือนถูกใส่ร้าย พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นี่เจ้าคิดมากไปชัดๆ ขี้สงสัยมากไปมันไม่ดีนะ”
“จริงหรือ” หลินสวินจ้องเขม็งที่ตาแก่ผู้นี้
กลับเห็นว่าจู่ๆ อันธพาลเฒ่าก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ้างว้างและลุ่มลึก “ในเมื่อถูกเจ้าดูออกแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้า เรื่องราวมาถึงป่านนี้ ก็ถึงเวลาที่ข้าจะประกาศตัวตนที่แท้จริงของข้าแล้ว…”
เขาเงยหน้าขึ้น สายตาโอหัง พูดอย่างเนิบนาบว่า “กาลเวลาเคลื่อนคล้อย หมื่นโลกผันแปร เดิมข้าคิดว่าจะสามารถใช้ชีวิตที่เหลือหยอกล้อสร้างสุขได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะยังมีคนวัยเยาว์ที่มีปัญญาเฉียบแหลมเช่นเจ้าอีก”
“ช่างเถอะ บอกเจ้าโดยไม่ปิดบังก็ได้ ข้าก็คือนายแห่งเขาพยับครามนี้ ในสมัยบรรพกาลถูกผู้คนในโลกขนานนามว่า ‘อาจารย์แห่งเหล่าอริยะ’ ได้รับการเคารพบูชาจากสรรพชีวิตหลายเผ่าพันธุ์…”
โอสถราชันกายสิทธิ์ที่เหมือนอันธพาลกร่างต้นหนึ่ง ตอนนี้กลับแสดงท่วงท่าอย่างผู้สูงส่ง ยอมรับว่าตนเป็นนายแห่งเขาพยับครามแห่งนี้ ทั้งมีฉายาว่าอาจารย์แห่งเหล่าอริยะด้วยน้ำเสียงเจนโลกและเจ็บปวด นี่ทำให้มุมปากของหลินสวินอดไม่ได้ที่จะกระตุกแรงๆ หมายใจจะเล่นงานเขาให้ได้
เฒ่าสากกะเบืออย่างไป่เฟิงหลิวไร้ยางอายถึงที่สุด เจ้าคางคกขี้อวดเหิมเกริมถึงที่สุด แต่เจ้าอันธพาลเฒ่านี่ย่อมเรียกได้ว่าไร้ยางอาย ขี้อวด และหน้าด้านถึงที่สุด!
หลินสวินยังไม่เคยพบเคยเห็นคนพรรค์นี้ จะขี้โม้คุยโวก็พอทน แต่ยังกล้ามองว่าตนเป็น ‘อาจารย์แห่งเหล่าอริยะ’ นี่จะหน้าด้านไร้ยางอายเกินไปแล้ว
“เอ๊ะ เจ้าหนูนี่มันสายตาอะไรกัน หากอยู่ในสมัยบรรพกาล ขนาดอริยะเห็นข้าเข้าก็ต้องคำนับด้วยความเคารพนับถือถึงที่สุด เด็กเวรแบบเจ้ากลับไม่มีมารยาทเลยสักนิด…”
อันธพาลเฒ่าไม่พอใจกับปฏิกิริยาของหลินสวินนัก ร้องบ่นใหญ่โต
นี่หรือราชันแห่งเหล่าอริยะ
หลินสวินทนไม่ไหวแล้ว ปล่อยตาแก่วิปลาสเช่นนี้ออกมา เขามองออกว่า นอกเสียจากเจ้าอันธพาลเฒ่าผู้นี้ยอมพูดเอง หาไม่แล้วอย่าคิดว่าจะได้ข้อมูลที่มีคุณค่าใดๆ ออกมาจากปากเขา
เมื่อได้เห็นท้องฟ้าอีกครั้ง อันธพาลเฒ่าดีใจจนน้ำตาแทบไหล โดยเฉพาะเมื่อเห็นซย่าจื้อที่อยู่ข้างกายหลินสวินยิ่งตาเป็นประกาย เจือไปด้วยแววตาคลั่งไคล้
“หลินสวิน โอสถวิญญาณนี้กินได้ไหม” เสียงของซย่าจื้อกังวานรื่นหู เจือความสงสัยเล็กน้อย เหมือนจับจ้องอาหาร
อันธพาลเฒ่าตัวสั่นงันงก รีบร้อนแกว่งไกวหนวดราก “กินไม่ได้ๆ กินข้าแล้วจะท้องไส้ปั่นป่วน จะท้องเสียไปตลอดมรรคาของตัวเอง…”
เขายิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่ หลินสวินฟังจนปวดหัวขึ้นมาระลอกหนึ่ง เอ่ยว่า “เลิกพูดจาไร้สาระ รีบเบิกทางเร็วเข้า”
ฮูม!
อันธพาลเฒ่าเริงร่านัก เขาไม่ได้เคลื่อนไหว แต่เมฆหมอกขาวเวิ้งว้างนั้นพลันมีคลื่นโหมแรงระลอกหนึ่งซัดสาด ห้วงอากาศเคลื่อนที่ขึ้นลงราวกระแสธาร ในที่สุดก็โอบล้อมให้เป็นประตูที่แทบเหมือนไม่มีอยู่จริงบานหนึ่ง
หลินสวินอึ้งไป ตาแก่นี่ไม่ได้หลอกตนจริง…
ซย่าจื้อกับไป๋หลิงซีก็ตระหนกตกใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าโอสถราชันไร้เทียมทานแสนวิปลาสต้นนี้กลับยังมีฝีมืออัศจรรย์เช่นนี้
“เจ้าหนู ข้าต้องเตือนเจ้าไว้ แม้ทางเดินนี้จะส่งพวกเจ้าไปยังสถานที่ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง แต่เจ้าเข่นฆ่าสังหารมาตลอดทาง เกรงว่ากลิ่นอายบนร่างจะถูกผู้อื่นเพ่งเล็งอยู่นานแล้ว ยามพวกเจ้าออกไปจะต้องก่อให้เกิดคลื่นลมขึ้นบ้างแน่”
อันธพาลเฒ่ากล่าวอย่างจริงจัง
จู่ๆ เขาก็แปรเปลี่ยนเป็นหวังดี กลับทำให้หลินสวินออกจะปรับตัวไม่ทันไปบ้าง
“เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าเป็นคำถามสุดท้าย สำนักที่ตั้งอยู่บนเขาพยับครามแห่งนี้ในตอนนั้นมีชื่อว่าอะไร” หลินสวินเอ่ยถาม
อันธพาลเฒ่าส่ายหน้า “เป็นเรื่องที่ผ่านไปนานมากแล้ว จะพูดถึงมันทำไม ถ้าเจ้าอยากรู้จริงๆ ภายหน้าไปเยือนแหล่งสถานคุนหลุนสักครั้งก็รู้แล้ว”
เขาพูดจบก็กวาดหนวดรากเส้นนั้น ราวกับซ่อนจักรวาลไว้ในแขนเสื้อ บรรจุพลังแห่งความเวิ้งว้างว่างเปล่าโดยรอบ ส่งพวกหลินสวินทุกคนเข้าไปในประตูที่แทบเหมือนไม่มีอยู่จริงบานนั้น
ในระหว่างนี้ พวกหลินสวินขนาดจะตอบโต้ยังไม่ทัน ทั้งไม่อาจต้านทานได้!
หลงกลแล้ว เจ้าแก่นี่ต้องไม่ได้เป็นแค่โอสถราชันธรรมดาแน่!
นี่ก็คือความคิดเพียงอย่างเดียวในใจหลินสวินเมื่อกำลังจะจากไป
“ให้ตายสิ ในที่สุดก็ส่งเจ้าหนูนี่ออกไปได้แล้ว เพียงแต่ เหตุใดเจดีย์องค์นั้นถึงตกอยู่ในมือเขาได้ หรือเขาจะเคยเข้าไปในคีรีแห่งดวงกมลที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์…”
“ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตถูกเขาเอาไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคหรือเป็นภัย…”
โอสถราชันกายสิทธิ์ที่ถูกหลินสวินมองว่าเป็นอันธพาลเฒ่าต้นนั้น ตอนนี้กลับแสดงสีหน้าครุ่นคิด ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปโดยปริยาย
ท่วงท่าดุจจักรวาล น่าเกรงขามราวห้วงสมุทร
——