Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 931 เหยียบตระกูลเจิ้ง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 931 เหยียบตระกูลเจิ้ง
พรึ่บ!
หลังจากเล่าความเป็นมาเป็นไปของเรื่องจบ ข้ารับใช้ชราก็คุกเข่าลงพื้น “คุณชายโปรดออกหน้า ช่วยคุณชายรองตระกูลข้าด้วย”
หลินสวินรีบพยุงเขาขึ้นมาพร้อมพูด “ผู้เฒ่า ท่านโปรดวางใจ เจี้ยนหมิงเป็นเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายกับข้า น้องชายของเขาก็คือน้องชายของข้า!”
ในขณะที่พูด ความเยียบเย็นสายหนึ่งแวบผ่านดวงตาดำของเขา
ระหว่างทางที่มาเยือนเมืองพันทะเลสาบ หลินสวินก็ได้รู้แล้วว่าตระกูลเจิ้งนั่นเป็นตระกูลอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองพันทะเลสาบ ราวกับภูเขาลูกใหญ่ที่กดทับอยู่บนเมืองพันทะเลสาบ ไม่มีใครสามารถทำให้สั่นคลอนได้
เพียงแต่ในสายตาหลินสวิน ตระกูลเจิ้งไม่มีพลังคุกคามเลยสักนิด
ผู้แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเจิ้งก็เพียงแค่ผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติ สำหรับคนในเมือง อาจจะเป็นบุคคลที่สุดยอดมากแล้ว
แต่เสียดาย ในสายตาของหลินสวินตอนนี้ บุคคลเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับไก่กระเบื้องสุนัขดินเผาที่อ่อนแอแตกหักง่าย
นี่ไม่ใช่การอวดอ้างตัวเองมากเกินไป แต่เป็นความเย่อหยิ่งผงาดผยองที่บ่มเพาะจากการต่อสู้มานานปี
ต้องรู้ว่าตั้งแต่เข้ามาในดินแดนรกร้างโบราณจนถึงตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติที่ตายในมือหลินสวินมีนับไม่ถ้วน และส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้กล้าชั้นยอดที่ชื่อเสียงโด่งดังในแดนฐิติประจิม
มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติที่ว่าของตระกูลเจิ้งนั่น ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะถือรองเท้าให้ผู้กล้าเหล่านี้ด้วยซ้ำ!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ราชันกึ่งระดับที่ตายในมือหลินสวินก็ไม่น้อยเช่นกัน
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากหลินสวินมีความกังวล นั่นต่างหากที่เรียกว่าน่าขัน
“ผู้เฒ่าโปรดนำทาง”
“คุณชายคุณธรรมสูงส่ง แม้ข้าเป็นเพียงคนชราที่แก่หงำเหงือก แต่ก็ยินดีติดตามคุณชาย ไม่บอกปัดอย่างแน่นอน!”
……
ตระกูลเจิ้ง
ห้องโถงใหญ่ที่โอ่อ่าตระการตา บรรยากาศดูประณีตอย่างมาก
เจิ้งเฉียนหลงผู้นำตระกูลเจิ้งนั่งตัวตรงอยู่บนที่นั่งประธาน สีหน้าดูเรียบเฉย ดวงตาทั้งคู่หลุบต่ำ มองลงมายังเด็กหนุ่มคนหนึ่งตรงกลางโถง ในแววตาไร้ซึ่งอารมณ์ใด
ชายหนุ่มสวมใส่สะอาดสะอ้านเรียบร้อย ใบหน้าหล่อเหลาสง่างามอย่างมาก เพียงแต่ตอนนี้กลับนั่งอยู่บนพื้นอย่างน่าอดสู ในปากพึมพำประโยคหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา “ข้าหิว… ข้าหิว…”
นี่ก็คือเยวี่ยเจี้ยนเฟย
สองฝั่งของห้องโถงใหญ่ มีบุคคลชั้นแนวหน้ามากมายของตระกูลเจิ้งนั่งอยู่ มีทั้งหญิงและชาย ทั้งเด็กและชรา ยามนี้ต่างไม่เก็บความเหยียดหยาม รังเกียจและดูถูกของตนเลยสักนิด
เพราะพวกเขารู้ว่า เจ้าคนที่แต่งตัวอย่างเหมาะเจาะสวยงาม ท่าทางมากความสามารถคนนี้ ความจริงเป็นคนโง่แต่กำเนิด
แค่คนโง่เท่านั้น จะแยกแยะดีชั่วได้อย่างไร
เหมือนอย่างตอนนี้ที่เขานั่งอยู่บนพื้นตรงกลางห้องโถง ถูกสายตาของทุกคนมองเหยียดหยันลงมา กลับไม่รู้สึกอับอายเลยสักนิด เอาแต่พึมพำว่าหิว โง่เขลาอย่างที่สุด
“หลานชาย อยากอิ่มท้องก็ย่อมได้ แต่เอาสัญญาหมั้นหมายของเจ้าออกมาก่อนและยกเลิกงานแต่งอย่างไม่มีข้อแม้ ข้าจะตกรางวัลเป็นข้าวให้เจ้าสักถ้วย”
เจิ้งเฉียนหลงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีท่าทางเหยียดหยามใดๆ บุคคลระดับเขา หากถือสาคนโง่คนหนึ่ง นั่นต่างหากที่เรียกว่าเสียฐานะ
“ลุงเจิ้ง ยกเลิกงานแต่งคืออะไร กินได้ไหม” เยวี่ยเจี้ยนเฟยใบหน้างุนงงเต็มประดา
เจิ้งเฉียนหลงสีหน้าอึมครึม ในใจเริ่มหมดความอดทน เอ่ยว่า “เอาอย่างนี้ เจ้าส่งสัญญาหมั้นหมายมาก็พอ”
“อะไรคือสัญญาหมั้นหมาย สิ่งนี้คงกินได้ใช่ไหม” เยวี่ยเจี้ยนเฟยถามต่อ ฟังความเหลืออดในคำพูดของเจิ้งเฉียนหลงไม่ออกสักนิด ดูจริงจังและประหลาดใจอย่างมาก
ทุกคนต่างพูดไม่ออก ช่างเป็นคนที่โง่เขลาเหลือเกิน!
“พี่ใหญ่ พูดจาไร้สาระกับคนโง่คนหนึ่งมากมายขนาดนี้ทำไม ฆ่าไปเสียก็สิ้นเรื่องไม่ใช่หรือ” บุคคลชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของตระกูลเจิ้งหงุดหงิดมาก
“ฆ่าคนโง่คนหนึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ถึงอย่างไรคนโง่คนนี้ก็เป็นน้องชายของเยวี่ยเจี้ยนหมิง ระวังผลกระทบที่จะตามมาสักหน่อยจะดีกว่า” เจิ้งเฉียนหลงพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เยวี่ยเจี้ยนหมิงหรือ”
หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งหลุดขำออกมา คำพูดเย็นชา “ผู้กล้าที่ชื่อเสียงเลื่องลือในแคว้นวิญญาณอัคนีคนนี้ช่างเย่อหยิ่งทะนงตัว เอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อเทพมารหลินที่สังหารจนบ้าคลั่งชื่อเสียงฉาวโฉ่ ตายอย่างห้าวหาญจริงๆ”
“เยวี่ยเจี้ยนหมิงนี่ตายได้จังหวะมาก หากเขายังมีชีวิตอยู่ มีใครรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเราเข้าจะขนาดไหน”
ชายชราผมขาวคนหนึ่งลูบเคลาพูด “เขาเป็นถึงสหายของเทพมารหลิน และเทพมารหลินก็ถูกสำนักโบราณมากมายของแดนฐิติประจิมหมายตาไว้ ทุกคนล้วนสามารถฆ่าเขาให้ตายได้ เป็นตัวหายนะตัวใหญ่คนหนึ่ง ใครยุ่งเกี่ยวก็พลอยต้องซวยไปด้วย หากเยวี่ยเจี้ยนหมิงยังไม่ตาย ต่อไปตระกูลเจิ้งของเราคงต้องเดือดร้อนไปด้วย!”
หญิงวัยกลางคนหัวเราะเหอะๆ “ไม่ผิด ข้าได้ยินว่าสำนักยุทธ์พันเวทเริ่มลนแล้ว ไม่กล้าแก้แค้นแทนเยวี่ยเจี้ยนหมิง กลับตัดความสัมพันธ์กับเยวี่ยเจี้ยนหมิง ประกาศต่อโลกว่าเยวี่ยเจี้ยนหมิงหาเรื่องใส่ตัว สมควรได้รับบทลงโทษ ไม่เกี่ยวกับสำนักยุทธ์พันเวทของพวกเขา”
“แม้แต่สำนักยุทธ์พันเวทยังทอดทิ้งเยวี่ยเจี้ยนหมิง ตระกูลเจิ้งของเราจะเดือดร้อนเพราะเจ้าหมอนั่นไม่ได้เด็ดขาด เพราะฉะนั้นวันนี้จะต้องกำจัดคนโง่คนนี้ซะ!”
ในห้องโถงแต่ละคนพูดขึ้นมาคนละประโยคสองประโยค พูดเองเออเองไม่มีปกปิด ไม่กลัวเยวี่ยเจี้ยนเฟยได้ยินเลยสักนิด
“ข้าหิว… ข้าหิวจริงๆ… ข้าอยากกลับบ้าน…” เยวี่ยเจี้ยนเฟยเอาแต่พึมพำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอดสู
“มา เจี้ยนเฟย กินข้าวก่อน” หญิงสาวกิริยาอ่อนหวานแช่มช้อย รูปลักษณ์งดงามคนหนึ่งเดินเข้ามาในโถงพร้อมอาหารร้อนๆ
“อวิ๋นเฉี่ยว เจ้าทำอะไร!” เจิ้งเฉียนหลงขมวดคิ้ว
“ท่านพ่อ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ” เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวพูดอย่างอ่อนโยน และได้คุกเข่าลงไปยื่นอาหารให้เยวี่ยเจี้ยนเฟยแล้ว
เยวี่ยเจี้ยนเฟยประคองถ้วยข้าวแล้วกินอย่างตะกละตะกลาม ในปากยังคงงึมงำอย่างไม่ชัดถ้อยชัดคำ “อย่างไรเฉียวเฉี่ยวก็ดีกับข้าที่สุด รอพี่ชายข้ากลับมา จะต้องให้เขาจัดงานแต่งงานให้เราด้วยตัวเอง”
เสียงหลุดขำดังขึ้นในห้องโถง จนขนาดนี้แล้วเจ้าโง่นี่ยังคิดถึงเรื่องแต่งงาน โง่ที่สุดเลย
เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวพูดอย่างอ่อนโยน “เจี้ยนเฟย ในเมื่อเจ้ารู้สึกว่าข้าดีกับเจ้า เช่นนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่า สัญญาณหมั้นหมายของเราอยู่ที่ไหนกันแน่”
เยวี่ยเจี้ยนเฟยงุนงง “เฉียวเฉี่ยว สัญญาหมั้นหมายคือสิ่งใด เหตุใดพวกเจ้าจึงอยากได้นัก”
เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวกำลังจะอธิบาย แต่กลับเห็นเยวี่ยเจี้ยนเฟยมุดหัวลงไปกินอย่างมูมมามแล้ว “เฉียวเฉี่ยว รอข้ากินอิ่มก่อนค่อยพูดได้หรือไม่”
ความอ่อนโยนบนใบหน้าของเจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวหายไปในชั่วพริบตา กลายเป็นรังเกียจและเดือดดาล ความแค้นเคืองที่ข่มกลั้นอยู่ในใจมานานควบคุมไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว พลันปัดถ้วยตะเกียบในมือเยวี่ยเจี้ยนเฟยจนคว่ำ
เคร้ง!
ถ้วยแตกกระจาย เศษถ้วยที่กระเด็นขึ้นมาราวกับคมดาบ เฉียดผ่านพวงแก้มของเยวี่ยเจี้ยนเฟย ทิ้งรอยเลือดเอาไว้รอยหนึ่ง
ทันใดนั้นเยวี่ยเจี้ยนเฟยอึ้งงันไป เบิกตาโพลง ในปากยังเต็มไปด้วยอาหาร ท่าทางดูโง่เขลาและมึนงง “เฉียวเฉี่ยว ข้า… ข้าทำอะไรผิดอีกแล้วหรือ”
เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวโกรธจนสั่นไปทั้งตัว ด่าว่าเสียงแหลม “กินๆๆ รู้จักแต่กิน ข้าทนคนปัญญาอ่อนอย่างเจ้ามามากพอแล้ว! ที่ผ่านมาหากไม่ใช่เพราะพี่ชายเจ้า เจ้าคิดว่าข้าจะสนใจคนโง่อย่างเจ้าหรือ”
เยวี่ยเจี้ยนเฟยพูดอึ้งๆ “เฉียวเฉี่ยว เจ้าบอกว่าเจ้าชอบคนโง่ที่สุดไม่ใช่หรือ ที่แท้เจ้าก็โกหกข้ามาโดยตลอด…”
เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวโกรธจนหน้าแดง “เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! คนปัญญาอ่อนน่ะสิถึงจะชอบคนโง่ จะบอกให้นะ พี่ชายเจ้าตายแล้ว ตระกูลเยวี่ยของเจ้าเหลือแค่คนโง่อย่างเจ้า เจ้าคิดว่าอาศัยแค่คนไร้ค่าอย่างเจ้าก็อยากมาแต่งงานกับข้าได้งั้นหรือ ฝันไปเถอะ!”
เยวี่ยเจี้ยนเฟยตัวแข็งค้างอยู่กับที่ แม้สติปัญญาจะบกพร่อง แต่เขาก็เป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อและมีความรู้สึก ถูกกระทบกระเทือนจิตใจเช่นนี้ย่อมโศกเศร้าเสียใจเป็น
“เจ้า… เจ้า… เจ้าโกหกข้า พี่ชายข้าไม่มีทางตาย!”
เยวี่ยเจี้ยนเฟยแผดเสียง ตื่นตัวจนแม้แต่ร่างกายยังสั่น ตาแดงขึ้นมาแล้ว “เฉียวเฉี่ยว เจ้ากำลังโกหกข้าใช่หรือไม่”
“ข้าจำเป็นต้องโกหกคนโง่อย่างเจ้าหรือ” เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวหลุดขำ
“นี่… นี่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด พี่ชายข้าบอกว่าในอนาคตจะรักษาข้า ให้ข้าสามารถฝึกปราณกับเขาได้ เขาโกหกกันได้อย่างไร…”
เยวี่ยเจี้ยนเฟยน้ำตาปริ่มขอบตา นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น รอยแผลบนใบหน้ามีเลือดไหลออกมา กับข้าวน้ำแกงบนพื้นกระจัดกระจาย ทำให้เขาดูไร้ที่พึ่งและทุลักทุเลผิดปกติ
เพียงแต่คนตระกูลเจิ้งในห้องโถงต่างเย็นชา แค่คนโง่คนหนึ่งเท่านั้น ไม่คู่ควรให้พวกเขาเข้าใจและเห็นใจ
“สัญญาหมั้นหมายอยู่ไหน เจ้าจะพูดหรือไม่”
เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวหมดความอดทนอย่างสิ้นเชิงแล้ว ตอนที่รู้ข่าวการตายของเยวี่ยเจี้ยนหมิง ความเคียดแค้นและเดือดดาลที่เก็บอยู่ในใจนางมาหลายปีก็ไม่สามารถควบคุมได้อีก
ฟ้ามีตา ในที่สุดก็ปลดปล่อยนางออกจากการผูกมัดของโชคชะตา ไม่ต้องแต่งงานกับคนโง่อีกแล้ว!
เยวี่ยเจี้ยนเฟยราวกับไม่รู้ตัว นั่งพึมพำอย่างเลอะเลือนอยู่บนพื้น “พี่ชายข้าไม่มีทางตาย เขาไม่เคยโกหกข้า… เขาจะต้องกลับมาหาข้า…”
ทันใดนั้นเพลิงโทสะของเจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวพุ่งขึ้นสมองอย่างไม่สามารถควบคุมได้ มือขวายกขึ้นมาหมายจะสะบัดใส่ใบหน้าของเยวี่ยเจี้ยนหมิง
ไอ้โง่นี่!
หากไม่ใช่เพราะสัญญาหมั้นหมายฉบับนั้น นางคงฆ่าเขาให้ตายเป็นร้อยรอบพันรอบไปนานแล้ว!
เห็นการกระทำของเจิ้งอวิ๋นเฉี่ยว เหล่าคนยิ่งใหญ่ตระกูลเจิ้งที่นั่งอยู่ต่างเข้าใจ ไม่มีใครห้าม ความคิดของพวกเขาเหมือนกัน แค่คนโง่คนเดียวเท่านั้น แม้ฆ่าตายแล้วจะทำไม
“ถ้าเจ้ากล้าลงมือ ข้าจะทำให้เจ้าอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่สามารถ!”
ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ตอนที่เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวง้างมือขึ้น เสียงเยียบเย็นสายหนึ่งดังขึ้นในห้องโถงกะทันหัน
ราวกับพายุหิมะที่เย็นยะเยือกเสียดกระดูกม้วนตัวเข้ามา อุณหภูมิลดฮวบ อากาศคร่ำครวญ ภายในห้องโถงเต็มไปด้วยความกดดันที่พาให้หายใจไม่ออก!
เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวสั่นเทิ้มไปทั้งกาย นางรับรู้ได้อย่างแรงกล้ามากกว่าคนอื่น ราวกับมีเหล็กหมาดจ่อหัวใจ หากนางกล้าขยับอีกเพียงนิด ก็จะเกิดจุดจบที่ไม่สามารถจินตนาการได้
ชั่วขณะนี้นางรู้สึกเหมือนถูกมัจจุราชหมายตาเข้า!
ตอนนั้นเองกลุ่มบุคคลชั้นแนวหน้าของตระกูลเจิ้งต่างหรี่ตา หัวใจกระตุกวูบคราหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ตามองไปที่นอกห้องโถงโดยพร้อมเพรียง
ก็ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มในชุดสีขาวพระจันทร์มายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมยาวสยาย เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้านแต่เย็นชา
โดยเฉพาะดวงตาของเขา ลึกล้ำราวกับหุบเหว เผยประกายที่พาให้วิญญาณผู้คนสะท้านไหว
นอกจากเด็กหนุ่มคนนี้ ข้างๆ ยังมีข้ารับใช้ชราคนหนึ่งยืนอยู่ เหล่าบุคคลชั้นแนวหน้าตระกูลเจิ้งจำได้ นั่นคือข้ารับใช้ชราเพียงคนเดียวของตระกูลเยวี่ย พวกข้าทาส ไม่คู่ควรให้ค่า
เด็กหนุ่มคนนั้นพวกเขาอ่านไม่ออก นี่ทำให้พวกเขาประหลาดใจ เพียงแต่พวกเขาไม่ได้ระแวงเป็นอันดับแรก ทว่าเป็นเดือดดาล
ข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยคนหนึ่ง กล้าพาเด็กหนุ่มคนหนึ่งบุกเข้ามาในตระกูลเจิ้งของพวกเขา เหิมเกริมเกินไปแล้ว!
ในฐานะตระกูลทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งของเมืองพันทะเลสาบ บุคคลชั้นแนวหน้าตระกูลเจิ้งเหล่านี้วางอำนาจจนเป็นนิสัยแล้ว และไม่มีคนกล้าล่วงเกินพวกเขามานานปี ทำให้พวกเขาบ่มเพาะความยโสโอหังขึ้นมา
ดังเช่นคำพูดประโยคหนึ่งที่เผยแพร่ในเมืองพันทะเลสาบโดยตลอด ยอมล่วงเกินผีตนหนึ่งข้างกายพญายม ดีกว่าล่วงเกินสุนัขตัวหนึ่งของตระกูลเจิ้ง!
——