Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 942 ป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชัน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 942 ป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชัน
แม่นางเยวี่ยเจอสายตาของหลินสวินก็พยักหน้าพูดนิ่งๆ “ไม่ผิด”
“เพราะเหตุใด” หลินสวินไม่เข้าใจ
แม่นางเยวี่ยยิ้มน้อยๆ ฟันขาวเป็นประกาย ริมฝีปากดั่งดอกท้อโค้งองศาลุ่มลึก “หากข้าเดาไม่ผิด คุณชายก็คงเหมือนข้า จำต้องเลือกข้ามแม่น้ำพรมแดนเพราะปัญหารบกวนบางประการ”
หลินสวินหรี่ดวงตาดำขลับลงเล็กน้อย พลันยิ้มพูด “ไม่ผิด”
พูดถึงตรงนี้แม่นางเยวี่ยยกจอกเหล้าขึ้นชนกับหลินสวินอีกครั้ง แล้วดื่มหมดในคราเดียว ใบหน้างามที่เดิมซีดเซียวเผยสีแดงระเรื่อ เพิ่มสีสันงดงาม
นัยน์ตากระจ่างของนางหมุนวน พูดขึ้นว่า “ล้วนเป็นผู้ประสบเคราะห์ไม่ต่างกัน ข้าย่อมไม่อยากเกิดความเข้าใจผิดกับคุณชายโดยใช่เหตุ”
หลินสวินกล่าวเสียงถอดถอนใจ “แม่นางช่างมีจิตใจงดงาม ละเอียดรอบคอบ ทำให้ข้าไม่ชื่นชมไม่ได้จริงๆ”
ในใจเขาสงสัยรางๆ ว่าอีกฝ่ายคงเดาฐานะของตนออกแล้ว แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เปิดโปง เขาก็ยินดีที่จะเป็นเช่นนี้
แม่นางเยวี่ยนั่งตัวตรง แฝงบุคลิกสง่าโดดเด่นทั้งร่าง “พูดตามตรงอย่างไม่ปิดบัง การสนทนากับคุณชายในครั้งนี้ข้าเองก็มีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝง หวังว่าจะได้ร่วมมือกับคุณชายสักครั้ง”
“ร่วมมือหรือ”
“ใช่ คุณชายก็รู้แล้วว่าข้ากำลังถูกคนตามฆ่า ด้วยพลังของพวกโค่วซิง ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศัตรูแน่”
“เพราะฉะนั้นข้าอยากให้คุณชายช่วย” แม่นางเยวี่ยเอ่ย
หลินสวินบื้อใบ้ไป “แม่นางให้เกียรติข้าเกินไปหรือเปล่า”
ดวงตาคู่ใสของแม่นางเยวี่ยส่องประกาย จ้องมองหลินสวิน “คุณชายไม่ต้องถ่อมตัว บนโลกนี้อาจจะมีคนมากมายดูถูกท่าน แต่ไม่รวมข้าแน่ ตรงกันข้าม สำหรับข้าแล้วด้วยความสามารถของคุณชาย แม้อยู่ในแดนชัยบูรพาก็เพียงพอที่จะสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่น”
หลินสวินตะลึง แอบคิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้คงดูฐานะของตนออกตั้งนานแล้ว มิฉะนั้นจะพูดอย่างมั่นใจขนาดนี้ได้อย่างไร
“แน่นอน เราพบกันโดยบังเอิญ ทั้งยังเป็นการร่วมมือกันครั้งแรก เพื่อแสดงความจริงใจข้าจะมอบสิ่งนี้ให้กับท่าน เชื่อว่าคุณชายจะต้องถูกใจอย่างแน่นอน”
ตอนที่แม่นางเยวี่ยพูด ในฝ่ามือขวาเรียวยาวขาวผ่องก็ปรากฏของสิ่งหนึ่ง
นี่คือป้ายคำสั่งที่รูปร่างคล้ายกระบี่บิน รูปแบบเรียบง่าย บนนั้นสลักลายมรรคแน่นขนัด มีกลิ่นอายการตกตะกอนของกาลเวลาแผ่กระจายออกมา
“นี่คือ?”
หลินสวินเห็นแล้วก็รู้ทันทีว่าของสิ่งนี้ไม่ธรรมดา เก่าแก่อย่างมาก คงผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานมากแล้ว อีกทั้งบนนั้นสลักรอยสลักมหามรรคที่แท้จริง นี่หายากและล้ำค่าอย่างยิ่ง
“หรือคุณชายไม่เคยได้ยินชื่อ ‘ป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชัน’” แม่นางเยวี่ยแปลกใจไม่น้อย
หลินสวินส่ายหน้า เขาไม่รู้จักสิ่งนี้จริงๆ
แม่นางเยวี่ยใคร่ครวญอยู่ครู่ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นราวกับปล่อยวาง “สมัยบรรพกาลเคยมีช่วงที่รุ่งโรจน์อย่างมาก ตอนนั้นโลกสันติสุข วิชามรรคเฟื่องฟู หมื่นเผ่าตั้งตระหง่าน ร้อยสำนักประชันภูมิ…”
“ช่วงเวลานั้น สามารถเรียกได้ว่าเป็นมหายุคเช่นกัน อัจฉริยะและผู้มีพรสวรรค์จากทั่วทุกสารทิศปรากฏตัวมากมายมหาศาล แข่งกันเบ่งบาน”
“และ ‘กระดานทองคำผู้กล้า’ ที่ชักนำให้ผู้คนทั่วหล้าแก่งแย่งแข่งขันไต่อันดับ ก็มาเยือนโลกในตอนนั้น”
“เป็นที่รู้กันว่า มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อบนกระดานทองคำผู้กล้าเท่านั้น จึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าอย่างแท้จริง สำหรับผู้กล้าคนอื่นๆ ก็จะถูกคัดออกในที่สุด”
หลินสวินตั้งใจฟัง
เขารู้ว่าในเมื่อแม่นางเยวี่ยพูดเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่า ‘ป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชัน’ ที่นางพูดถึง คงจะมีความเชื่อมโยงอย่างใดอย่างหนึ่งกับมหาสงครามและกระดานทองคำผู้กล้า
ตามคาด จากนั้นแม่นางเยวี่ยพูดต่อว่า “ตอนนั้นอิทธิพลของกระดานทองคำผู้กล้ามีมากเกินไป ถึงขั้นสามารถส่งผลกระทบต่ออนาคตและรูปแบบของคนรุ่นเยาว์ทั้งหมด แม้แต่สำนักในแดนเร้นอริยะก็นั่งไม่ติด”
“หลังจากนั้นก็มีป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชันถือกำเนิดขึ้น” หลินสวินอึ้งไป จุดเปลี่ยนนี้เร็วเกินไป ทำให้เขาตอบสนองไม่ทันในชั่วขณะ
กลับเห็นแม่นางเยวี่ยอธิบายว่า “ป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชันนี้ ก็คือวิธีการที่ทำให้ผู้กล้าเข้าไปในสำนักโบราณได้แบบหนึ่ง ผู้ที่สามารถเบียดตัวเข้าไปอยู่ในกระดานทองคำผู้กล้าได้ เพียงแค่ใช้ป้ายคำสั่งนี้ ก็จะมีโอกาสเข้าไปฝึกปราณในสำนักใดสำนักหนึ่งของแดนเร้นอริยะ”
หลินสวินเข้าใจทันที ในใจอดตะลึงไม่ได้
แดนเร้นอริยะเป็นถึงสถานที่ที่ลึกลับที่สุดในปัจจุบัน ไม่ได้หมายความถึงสถานที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น แต่เป็นชื่อเรียกโดยรวมของสำนักที่ปลีกวิเวกอยู่ภายนอก
แดนเร้นอริยะคืออะไร
ก็คือสถานที่แห่งโลกภายนอกที่มีอริยะซ่อนตัวอยู่!
อิทธิพลเช่นนี้ ลึกลับและโดดเด่นยิ่งกว่าสำนักโบราณที่รู้จักกันในโลก รากฐานก็น่ากลัวอย่างที่สุด แต่ละสำนักล้วนอยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพกาล!
อย่างมหาวิหารธรรมที่เรียกกันว่าอนุสุขาวดี ก็เป็นแดนพิสุทธ์ผู้บำเพ็ญธรรมโบราณที่ลึกลับที่สุดแห่งหนึ่งในแดนเร้นอริยะ
สำนักระดับนี้ อย่าว่าแต่สามัญชนคนทั่วไป แม้แต่ผู้ฝึกปราณหากไม่มีคนส่งตัวและแนะนำ ก็แทบไม่สามารถเห็นได้ ราวกับสำนักเซียนที่ตระหง่านอยู่บนชั้นฟ้า โดดเด่นเหนือโลกี ลึกลับอย่างหาที่สุดไม่ได้
แน่นอนว่าสำนักโบราณอย่างเรือนกระบี่เร้นปุจฉา และสำนักกระบี่เทียมฟ้า รากฐานก็ไม่ด้อยกว่าแดนเร้นอริยะ
นี่ก็เหมือนความแตกต่างของความสว่างกับความมืด ฝ่ายหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในแดนโลกีย์ ข่มขวัญใต้หล้า อีกฝ่ายปลีกวิเวกอยู่ภายนอก ล้วนมีฐานะสูงส่งน่าชื่นชม
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวอาจเป็นจำนวนของสำนักโบราณในโลกปัจจุบันมีมากมาย จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีทั้งดีและแย่ปะปนกัน มากมายหลากหลาย และเบื้องลึกเบื้องหลังก็แตกต่างกันไป
แต่แดนเร้นอริยะกลับแตกต่าง เลือกสำนักใดสักแห่งออกมา ต่างก็มีรากฐานที่ไม่ด้อยไปกว่าสำนักโบราณชั้นยอดในปัจจุบัน!
นี่เป็นเพียงความรู้ผิวเผินของหลินสวิน ส่วนดินแดนรกร้างโบราณจะมีแดนเร้นอริยะเท่าไหร่ และในแดนเร้นอริยะมีสำนักโบราณซ่อนอยู่อีกเท่าไหร่ เขาเองก็ไม่อาจรู้ได้
ทว่าเมื่อได้ยินว่าเพียงแค่สามารถเบียดตัวเข้าไปอยู่ในกระดานทองคำผู้กล้าได้ จากนั้นอาศัยป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชันนี้ ก็จะมีโอกาสเข้าไปฝึกปราณในสำนักใดสำนักหนึ่งของแดนเร้นอริยะ หลินสวินก็ตะลึงไม่น้อย
เท่าที่เขารู้ แดนเร้นอริยะไม่เคยรับลูกศิษย์จากโลกภายนอก คนในสำนักของพวกเขา แทบจะเป็นพวกที่เติบโตในแดนเร้นอริยะทั้งนั้น
……
หลังจากใช้เวลาทำความเข้าใจชั่วครู่ หลินสวินอดกล่าวทอดถอนหายใจไม่ได้ “คิดไม่ถึงว่า เงื่อนไขที่แดนเร้นอริยะรับผู้สืบทอดจะเข้มงวดอย่างยิ่ง”
แม่นางเยวี่ยยิ้มพูด “ยิ่งเป็นสำนักที่เก่าแก่ก็ยิ่งเข้มงวดกับการเลือกลูกศิษย์ คำว่า ‘มรรคไม่อาจรั่วไหล วิชาไม่ถ่ายทอดโดยง่าย’ ก็เป็นเช่นนี้แหละ”
“อย่างสำนักที่ข้าอยู่ เวลาถ่ายทอดมรดกวิชา จะต้องดำเนินการคัดกรองและทดสอบอย่างเข้มงวดหลายครั้ง ทั้งด้านคุณธรรม จิตใจ อุปนิสัย การหยั่งรู้ รวมถึงพรสวรรค์ ชีพจรปราณโลหิต สติปัญญา และยังมีการทดสอบอื่นๆ อีก…”
“ว่าง่ายๆ ก็คือ หากต้องการได้รับมรดกวิชาที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ก็ต้องมีความสามารถที่คู่ควร”
หลินสวินสูดหายใจเย็นเยียบ “พูดเช่นนี้ เมื่อผ่านการคัดเลือกพวกนี้แล้ว ลูกศิษย์ที่สามารถรับมรดกได้เกรงว่าแต่ละคนคงวิปริตทั้งนั้นกระมัง”
“วิปริตหรือ”
แม่นางเยวี่ยยิ้มพลางพยักหน้าพูด “จริงอย่างว่า ข้าเคยเห็นบุตรเทพแต่กำเนิดที่แท้จริง นั่นเป็นลูกหลานเผ่านกปี้ฟาง ทันทีที่ปรากฏตัวสู่โลก ก็ชักนำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดในใต้หล้า ครอบครองพลังพรสวรรค์ที่หายาก”
“ทั้งยังเคยเห็นร่างวิญญาณและตัวประหลาดที่ได้รับการหล่อเลี้ยงจากศุภโชคธรรมชาติ ถือกำเนิดขึ้นกลางฟ้าดิน พรสวรรค์และรากฐานพลังของพวกเขาเพียงพอจะทำให้ผู้กล้าส่วนใหญ่ในโลกปัจจุบันรู้สึกสิ้นหวังได้”
หลินสวินหมดคำพูดไปชั่วขณะ เหนือฟ้ายังมีฟ้าจริงๆ
“อึ้งมากใช่ไหม”
แม่นางเยวี่ยกะพริบตาปริบๆ ท่าทางอย่างคนอาบน้ำร้อนมาก่อน ยิ้มพูดว่า “ข้าเติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ชินไปตั้งนานแล้ว”
“หากอวี่หลิงคงอยู่ในแดนเร้นอริยะ จะนับเป็นบุคคลระดับใด” จู่ๆ หลินสวินก็ถามขึ้น เขาสงสัยมากจริงๆ
แม่นางเยวี่ยมองหลินสวินอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง ราวกับคิดไว้อยู่แล้วว่าเขาจะถามเช่นนี้ นางเอ่ยว่า “อวี่หลิงคงเกิดในตระกูลอริยะ และยังฝากตัวเป็นศิษย์ในแดนพิสุทธิ์อมตะ ไม่ว่าจะเป็นรากฐานหรือพรสวรรค์ แม้แต่ในแดนเร้นอริยะก็ยังเรียกได้ว่าเป็นชั้นยอด”
นางหยุดไปครู่ค่อยกล่าวต่อ “แต่บุคคลระดับเขา ในแดนเร้นอริยะแต่ละแห่งล้วนมีจำนวนไม่น้อย ไม่อาจพูดได้ว่าหายาก”
“แน่นอน เมื่อเทียบกับผู้สืบทอดอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้ว อวี่หลิงคงเรียกได้ว่าเป็นชั้นยอดแล้ว แต่ก็ต้องดูอีกทีว่าเอาเขาไปเทียบกับใคร”
พูดถึงตรงนี้แม่นางเยวี่ยพลันขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างครุ่นคิด “ความจริงสิ่งที่ข้าก็รู้แค่ผิวเผิน แดนเร้นอริยะทุกแห่งในโลกล้วนมีรากฐานอันน่าพรั่นพรึงที่ไม่สามารถบอกใครได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้คือ แดนเร้นอริยะทั้งหมดล้วนอยู่คงอยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพกาล และสามารถยืนหยัดจนถึงปัจจุบันแม้ผ่านการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา ความมั่นคงของรากฐานพลังนั้นไม่อาจดูถูกได้!”
“แดนเร้นอริยะ ช่างสมคำร่ำลือ…” หลินสวินถอนหายใจ
ดังคำกล่าวที่ว่าฟังคำแนะนำจากผู้รู้ดีกว่าอ่านตำราสิบปี ความลับเหล่านี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
“คุณชาย เท่าที่ข้าดู ด้วยรากฐานพลังของท่าน ไม่แพ้ใครในยุคปัจจุบันเลย สิ่งเดียวที่ขาดอาจจะเป็นสิ่งนี้”
ยามพูด แม่นางเยวี่ยก็ถือป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชันในมือขึ้น น้ำเสียงมั่นคงเนิบช้าและจริงจัง
“ด้วยสิ่งนี้ คุณชายก็จะมีโอกาสเข้าไปฝึกปราณในสำนักใดสำนักหนึ่งของแดนเร้นอริยะ เช่นนี้อย่างน้อยก็สามารถทำให้การฝึกปราณหลังจากนี้ของคุณชาย แม้จะล่วงเกินขุมอำนาจใด ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกอีกฝ่ายแก้แค้นตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวใคร”
หลินสวินเข้าใจแล้ว แม่นางเยวี่ยพูดมาขนาดนี้ ความจริงก็แค่ใช้เรื่องนี้อธิบายว่า เมื่อมีป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชัน ก็มีโอกาสที่ตนจะหาที่พึ่งพิงที่แข็งแกร่งให้กับตัวเอง!
แน่นอนว่าเป็นเพียงแค่โอกาสเท่านั้น จะสามารถไขว่คว้าไว้ได้หรือไม่ ประเด็นสำคัญก็ขึ้นอยู่ที่ว่าตนจะไปช่วงชิงหรือไม่
‘สินบน’ นี้ ทำให้หลินสวินหวั่นไหวมากจริงๆ
เขาก่อนหน้านี้ถูกคนตามฆ่าไปทั่วในแดนฐิติประจิม ถูกสำนักโบราณมากมายพุ่งเป้า เพราะเหตุใด
เหตุผลก็เพราะเขาหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีที่พึ่ง และไม่มีคนหนุนหลัง จึงทำให้ศัตรูกดขี่อย่างไม่เกรงกลัวเช่นนี้
แต่ถ้าเขาสามารถเข้าสู่สำนักใดสำนักหนึ่งในแดนเร้นอริยะได้ ฐานะก็จะเปลี่ยนไป ไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไป ในอนาคตใครจะเล่นงานเขา ก็ต้องชั่งใจถึงจุดจบที่ล่วงเกินสำนักเบื้องหลังของเขา!
ป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชัน ก็คือโอกาสเปลี่ยนแปลงฐานะและที่พึ่งพิง!
แม่นางเยวี่ยเองก็อาจจะมองเห็นถึงจุดนี้ จึงเอาของสิ่งนี้มาติดสินบน ความจริงใจนั้นเรียกได้ว่าเต็มเปี่ยม หากเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นคงไม่ปฏิเสธ
หลินสวินเองก็กำลังใคร่ครวญ เขาอดหวั่นไหวไม่ได้
แต่เขาเองก็รู้ว่า หากยอมรับความจริงใจนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะส่งผลกระทบต่อมรรคาที่ตนจะเดินต่อจากนี้ ถึงขั้นอาจจะเปลี่ยนแปลงเส้นทางในอนาคตของตน
ดังนั้นจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
——