Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 960 อริยะประพันธ์คัมภีร์
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 960 อริยะประพันธ์คัมภีร์
ต้นไม้เก่าแก่ไหวกระเพื่อม ใบเขียวขจี เขียวมรกตเสียดฟ้า
บนนั้นมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์คละคลุ้ง หงส์ทมิฬร่าเริงสดใสจับจองอยู่บนนั้น สางปีกที่งดงามราวกับไฟอย่างละเมียดละไม
ใต้ต้นไม้โบราณ ภิกษุถกธรรม หญิงสาวค้อมศีรษะเสวนากับเขา
เงาร่างทั้งคู่ต่างชโลมด้วยแสงธรรมศักดิ์สิทธิ์ แปลกแยกปานเซียนเหินฝนแสง ดุจดั่งภาพฝันมายา
หลินสวินหยุดยืนอยู่ไกลๆ ในใจงุนงง ห้วงเวลาประดุจย้อนกลับไปยังช่วงบรรพกาล ทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคลับคล้ายว่าอยู่ท่ามกลางแดนพิสุทธิ์อิรยะศักดิ์สิทธิ์
นี่เป็นดินแดนแห่งอริยะเทพแน่นอน!
หลินสวินถึงขั้นกล้าฟันธงว่า ภิกษุที่ลักษณะเรียบง่ายและผ่องพิสุทธิ์ กับหญิงสาวงดงามที่กิริยาโดดเด่นไร้ที่เปรียบนั้น ก็คืออริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ดำเลือดทมิฬอย่างแน่นอน
และต้นไม้ใหญ่ที่กลิ่นอายเก่าแก่ แสงเขียวเสียดฟ้าต้นนั้นก็อาจเป็นต้นโพธิ์!
เสียงถกธรรมเป็นระยะดังขึ้นพาให้หัวใจหลินสวินจมจ่อมอยู่ในนั้น ไม่สามารถคิดเรื่องอื่นได้อีกเลย
“หากต้องการอยู่เหนือวิชาข้ามเคราะห์ มีเพียงผสานนัยเร้นลับของเคล็ดวิชาแห่งการจุติและคัมภีร์มหากษิติครรภ์เข้าด้วยกันเท่านั้น บางทีอาจจะสามารถสรรสร้างคัมภีร์อริยะที่เหนือกว่าที่ผ่านมาได้”
“เช่นนั้นนับแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะถกธรรมที่นี่กับเจ้า หากสามารถบรรลุสิ่งที่ปรารถนา ต่อให้ต้องตายเก้าหนก็ไม่นึกเสียใจ”
“ประเสริฐยิ่ง!”
ใต้ต้นโพธิ์ ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬเสวนากัน แต่ละคำแต่ละประโยคผุดเผยนัยเร้นลับแห่งมหามรรคออกมา สั่นสะเทือนราวกับระฆังยามเช้ากลองยามค่ำ
ดอกไม้ผลิบานดอกไม้ร่วงโรย กาลเวลาผันผ่านไป
ทั้งคู่ไม่รู้ตัวว่าเวลาเคลื่อนคล้อย ต่างฝ่ายต่างอนุมานวิชามรรค บรรยายความรู้และความเข้าใจที่ตนมีต่อมหามรรค
กลางฟ้าดิน สิ่งที่ก้องสะท้อนล้วนเป็นเสียงธรรมอัศจรรย์ พาให้บรรยากาศบริเวณนี้ยิ่งศักดิ์สิทธิ์และเงียบสงบขึ้นเรื่อยๆ
ต้นโพธิ์ปลิวพลิ้วไหวกระเพื่อม แสงเขียวมรกตสาดพรมประหนึ่งว่าสดับฟังแก่นอัศจรรย์มหามรรคด้วยเช่นกัน และกำลังทำความเข้าใจวิชาและมรรคของอริยะทั้งสอง
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร หลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น สีหน้าลุ่มหลงงงงัน สติสัมปชัญญะมึนตื้อ ในใจไหลล้นด้วยแก่นอัศจรรย์อันประณีตแห่งมหามรรคมากมาย
เวลาผันผ่านโดยไม่รู้ตัว ลืมเลือนฟ้าแห่งนี้ ดินแห่งนี้ และคนผู้นี้
ส่วนหยั่งรู้ถึงสิ่งใดกันแน่นั้น หลินสวินเองก็ยังไม่รู้ เป็นดังคำกล่าวที่ว่า ที่แห่งนี้มีความหมายแท้จริง แต่หากจะแยกแยะกลับพูดไม่ออก
กาลเวลากำลังเคลื่อนคล้อย เพียงดีดนิ้วก็ผ่านไปหลายวสันตสารทแล้ว
ต้นโพธิ์เริ่มแข็งแรงและทนทานขึ้นเรื่อยๆ ลำต้นทะยานเสียดฟ้า กิ่งก้านแน่นขนัดแผ่ขยายไปทั่วห้วงอากาศทุกสารทิศ พร่างพรมแสงมรกตพราวระยับมากมายออกมา
ใต้ต้นไม้ ภิกษุและหญิงสาวเสวนากันเป็นครั้งคาว แต่เริ่มนิ่งเงียบขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังถกธรรมถึงช่วงสำคัญ ต่างฝ่ายต่างใช้ความอุตสาหะและสติปัญญาในการอนุมานมรรคใหม่เอี่ยม
มีเพียงยามที่ได้ในสิ่งที่หวังเท่านั้น จึงจะยืนยันและเสวนากัน
หลินสวินไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องทั้งหมดนี้ ร่างกายและจิตใจของเขาอยู่ในสภาวะอัศจรรย์แห่งความ ‘คลุมเครือ’ อย่างหนึ่ง ถูกแก่นอัศจรรย์มหามรรคท่วมท้นราวกับน้ำพุก็ไม่ปาน
……
นี่เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์แจ้งมรรคที่ข้ามอดีตปัจจุบัน ทำลายกำแพงกั้นแห่งช่วงเวลา มหัศจรรย์สุดจะบรรยาย
ราวกับย้อนสู่ยุคบรรพกาล สดับฟังอริยะทั้งสองถกธรรมและสรรสร้างวิชา เปี่ยมด้วยกลิ่นอายน่าเหลือเชื่อ
ที่น่าเสียดายคือแก่นอัศจรรย์ที่หลินสวินรับฟังทั้งหมดนั้น จำกัดอยู่แค่ระดับของตน ทำได้เพียงหยั่งรู้แก่นมรรคที่ต่ำกว่าระดับราชา
ส่วนมรรคกับวิชาที่อริยะทั้งสองถกกันนั้น สูงเกินกว่าระดับอริยะไปตั้งนานแล้ว!
แต่ว่า หลินสวินไม่รู้สึกถึงสิ่งนี้ด้วยซ้ำ เวลานี้เขาลืมเลือนตัวตน หกรับรู้อย่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ล้วนลืมไปโดยสิ้นเชิง ถูกแก่นอัศจรรย์มหามรรคปิดครอบทั้งสิ้น
……
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน บางทีอาจเป็นการกลับชาติหนึ่งภพ หรืออาจเป็นเพียงชั่วครู่ ระหว่างที่งุนงงสับสน ความรู้สึกทุกอย่างในใจหลินสวินก็สะดุ้งตื่นโดยพลัน
ก็เห็นใตต้นโพธิ์ไกลออกไป ตู้จี้หนวดเคราดั่งหิมะ สภาพแก่หงำเหงือก ผิวหนังทุกส่วนเหมือนผิวไม้เหี่ยวแห้งปริแตก คล้ายใกล้จะลาโลก
ส่วนนางพญาหงส์ดำเลือดทมิฬก็มีสภาพซูบผอมซีดเซียวเช่นเดียวกัน ใบหน้างามเรื่อไม่เหลือหลอ ผมแซมสีขาว เผยให้เห็นสัญญาณของแสงเทียนกลางสายลม
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าพาให้ในใจหลินสวินเกิดความรู้สึกประหลาด รู้สึกถึงความตื่นตะลึงยากจะบรรยาย อานุภาพแห่งกาลเวลาเคลื่อนคล้อย ความเศร้าโศกที่ช่วงเวลาดีๆ ผันผ่าน สะท้อนให้เห็นจุดอิ่มตัวเต็มบริบูรณ์ในขณะนี้
เพียงแต่ดวงตาของตู้จี้และนางพญากลับเปล่งประกายดั่งดวงดาวพร่างฟ้า ไพศาลกระจ่างแจ้ง ต่างฝ่ายต่างสบสายตากัน ระบายยิ้มแจ่มใสและเต็มสมบูรณ์
ด้านหลังพวกเขา ลำต้นของต้นโพธิ์ทรุดโทรม ก้านใบโรยร่วง สภาพเปลือยเปล่า พลังชีวิตหริบหรี่ราวกับต้นไม้ที่ใกล้เน่าเปื่อยผุพัง
แต่มันยังคงแข็งแรง ตั้งตระหง่านอยู่ใต้เวิ้งนภา คล้ายค้ำยันจักรวาล!
“หลังจากผ่านการอนุมานหมื่นปี คัมภีร์ที่เจ้ากับข้าสรรสร้าง ในที่สุดวันนี้ก็เสร็จสมบูรณ์ นับแต่นี้ต่อไป วิชาส่วนนี้ที่แยกออกจาก ‘คัมภีร์มหากษิติครรภ์’ จะต้องส่องสว่างกาลนิรันดร์ แผ่รัศมีขจรขจาย” สายตาตู้จี้ใสกระจ่าง เจือความพอใจและปลื้มปิติ
“คัมภีร์นี้รวมปริศนาเร้นลับของคัมภีร์มหากษิติครรภ์กับเคล็ดวิชาจุติของเผ่าข้า ย่อมเรียกได้ว่าเป็นยอดวิชาจำเพาะที่แยกจากอดีตปัจจุบัน และดำเนินต่อไปในอนาคต”
นางพญาพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปทันที “แต่ว่า เมื่อคัมภีร์นี้เผยแพร่ จะต้องสั่นคลอนมรดกวิชามรรคแต่เดิมของอารามกษิติครรภ์แน่นอน ท่านไม่กลัวว่าจะถูกมองเป็นคนนอกรีตหรือ”
“เจ้าย่อมรู้ดี อารามกษิติครรภ์ยืนหยัดจนถึงตอนนี้ ‘คัมภีร์มหากษิติครรภ์’ ที่สืบทอดกันมานั้นก็คือรากฐานของสำนักนี้ ส่วนคัมภีร์ที่เจ้ากับข้าสรรสร้าง ถึงแม้จะแยกออกจากคัมภีร์มหากษิติครรภ์แต่ก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อคัมภีร์นี้แพร่หลายในโลกและถูกอารามกษิติครรภ์รู้เข้า ต่อให้เป็นอริยสงฆ์ที่สูงส่งเช่นข้าก็ต้องถูกมองเป็นพวกกบฏและนอกรีตอยู่ดี”
ตู้จี้ยิ้มน้อยๆ ใบหน้าพิสุทธิ์เคร่งครัด ความราบเรียบในน้ำเสียงเจือกลิ่นอายตัดสินใจ “หากข้าเป็นมาร ก็จะข้ามภิกษุทั้งหลายใต้หล้าไปสู่ทางมาร”
นัยน์ตานางพญาหดเกร็ง
จากนั้นก็ได้ยินตู้จี้กล่าวต่อว่า “หากข้าเป็นภิกษุ ใต้หล้าก็ไร้มาร!”
นางพญาอึ้งงันโดยสิ้นเชิง
ไกลออกไปในใจหลินสวินสั่นสะเทือนไม่หยุด คำพูดเช่นนี้เผด็จการอย่างที่สุด มีกลิ่นอายเด็ดเดี่ยวที่ไร้ขื่อไร้แป ถือตนเป็นใหญ่!
ช่างพาให้ผู้คนไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าคำพูดเช่นนี้ถึงกับกล่าวออกมาจากปากอริยสงฆ์ผู้หนึ่ง หากแพร่งพรายออกไปคงไม่พ้นกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่รู้จบเป็นแน่!
“ที่แท้ท่านรู้แจ้ง ได้เห็นขอบเขตที่สูงกว่าตั้งนานแล้ว…” นางพญาสีหน้าเจือความปลงตกอย่างหาได้ยาก
ตู้จี้ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ถึงเวลาแล้ว พวกเราเริ่มเคลื่อนไหวกันเถิด”
“ก็ดี”
จากนั้นทั้งคู่ก็ลุกขึ้นแหงนหน้ามองฟ้า สีหน้าต่างเปลี่ยนเป็นอหังการและแปลกแยก รอบกายมีละอองแสงอริยะเทพไหลทะลัก
ทันใดนั้นดวงหน้าแก่เฒ่า ผิวหนังที่พลังชีวิตร่วงโรย ผมขาวราวหิมะแต่เดิมของพวกเขา… ล้วนลุกโชนไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ชั้นหนึ่ง
ชั่วพริบตาพวกเขาก็กลับสู่ท่วงท่างามสง่าดังเดิม!
ตู้จี้ประกบสองมือ ริมฝีปากเปล่งเสียงธรรมอันว่างเปล่า พาให้ฟ้าดินสนั่นหวั่นไหว กลางห้วงอากาศสะท้อนดอกอัศจรรย์มหามรรคดอกแล้วดอกเล่า ละอองแสงดั่งโผบิน
นางพญาใช้นิ้วเรียวแทนพู่กัน ขีดเขียนกลางห้วงอากาศ อักษรธรรมศักดิ์สิทธิ์แวววาวแต่ละตัวไหลพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของนาง แน่นขนัดแถวแล้วแถวเล่าราวสายฝน วิวัฒน์กลายเป็นบทประพันธ์เป็นอมตะ
เสียงธรรมและอักษรธรรมต่างสะท้อนเสริมกันและกัน กู่ร้องก้องกลางฟ้าดิน
บนฟากฟ้าสีคราม ดอกสวรรค์ร่วงหล่นอลหม่าน
บนผืนดินกว้าง แสงสีทองพลุ่งพล่าน
กลางห้วงอากาศ รัศมีวิเศษหมื่นสายดิ่งร่วง แสงมงคลพันจั้งพลิ้วไหว เปล่งประกายลุกโชน บางครามีเสียงท่องสวดของภิกษุดังขึ้น บางคราวเสียงหงส์ทมิฬกู้ร้องก้องเก้าสวรรค์ ปรากฏเป็นลักษณ์ประหลาดที่กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด
หลินสวินถูกทำให้ตกตะลึงอยู่ตรงนั้นจนไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
อริยะประพันธ์คัมภีร์!
เขานึกถึงตำนานแต่นานมาส่วนหนึ่ง ว่ากันว่าในช่วงบรรพาล หากอริยบุคคลสามารถบุกเบิกวิชาและมรรคแบบใหม่แล้วเขียนเป็นคัมภีร์ได้ ก็จะก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดฟ้าถล่ม นี่แสดงถึงคุณความดีมหาศาล เป็นการสรรสร้างวิชาอมตะที่เพียงพอจะคงอยู่ตราบนิรันดร์ ทิ้งชื่อหอมหวนพันภพ!
เดิมทีหลินสวินยังคิดว่าเป็นการกระพือข่าวโคมลอย แต่ยามนี้ เขาเชื่อแล้ว
“คัมภีร์นี้สร้างขึ้นโดยข้ากับเจ้าสองคน แยกออกจากคัมภีร์มหากษิติครรภ์และเคล็ดวิชาจุติหงส์ทมิฬ ยามนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เช่นนั้นไม่สู้ตั้งชื่อว่า ‘คัมภีร์ครรภ์จุติ’ เป็นอย่างไร”
ในแสงมงคลวิเศษที่แผ่กระจายทั่วฟ้า ตู้จี้อมยิ้มเอ่ยวาจา ใบหน้าพิสุทธิ์เคร่งครัด ราวกับภิกษุที่ชำเลืองแลมวลมนุษย์ในโลกีย์
“ยิ่งใหญ่ไม่พอ ท่านกับข้าสองคนร่วมสร้างคัมภีร์นี้ เพียงพอจะสะเทือนกาลนิรันดร์ ควรเติมคำว่า ‘มหา’ ลงไปจึงจะสามารถสะท้อนความหมายยิ่งใหญ่อันละเอียดอ่อนในนั้นได้”
เงาร่างอรชรอ้อนแอ้นของนางพญาอาบไล้ภายใต้แสงอริยเทพ มีความงามสง่าที่เหยียดหยันโลกประหนึ่งภาพฝันมายา
“คัมภีร์มหาครรภ์จุติหรือ ประเสริฐยิ่ง!” ตู้จี้หัวเราะลั่น
ในใจหลินสวินไม่สามารถสงบได้เลย ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าอริยะทั้งสองนั่งอยู่เบื้องหน้าต้นโพธิ์ ผ่านการอนุมานมาหลายรอบปี ถึงขั้นร่วมมือกันสร้างคัมภีร์อริยมรรคออกมาเล่มหนึ่ง!
ตูม!
เพียงแต่เวลานี้เอง การเปลี่ยนแปลงประหลาดก็ปะทุขึ้น…
บนเวิ้งนภาห้วงอากาศพังทลาย แตกออกเป็นรอยแยกไร้ที่สิ้นสุด และในเวลาเดียวกันนี้ เงาหอกที่เปี่ยมด้วยความน่ายำเกรงถึงที่สุดสายหนึ่งก็โฉบออกมาจากรอยแตก!
ชิ้ง!
เงาหอกส่งเสียงคำราม พาให้ฟ้าดินกรีดร้องระงม กลิ่นอายเข่นฆ่าสุดจะพรรณนาวูบหนึ่งแผ่กว้าง ตัดสลับพลังสูงสุดของวิชาและมรรค
เพียงชั่วพริบตา ดอกอัศจรรย์สวรรค์ร่วงแตกเป็นเสี่ยง แสงสีทองบนพื้นสูญสลาย รัศมีวิเศษกลางอากาศดับเลือน แสงมงคลสงบนิ่งถูกฉีกขาด…
ทุกสิ่งล้วนสำแดงลักษณ์ของการทำลายโลก!
“ในที่สุดก็มาจนได้…” เหนือความคาดหมาย ตู้จี้เยือกเย็นยิ่ง คล้ายเดาไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้
“ตอนพวกเราเหยียบย่างมาถึงขั้นนี้ก็ถูกลิขิตให้เป็นเช่นนี้แล้ว นับแต่โบราณกาลอริยบุคคลล้วนเป็นเช่นนี้ วันนี้ท่านและข้ากลับสมหวังตามความปรารถนายาวนานแล้ว รามือลงได้แล้ว!” นางพญาสายตาทอประกาย ทั่วร่างแผ่จิตต่อสู้ที่น่าสะพรึงออกมา
“ตามที่เจ้าว่า แม้นตายเก้าครั้งก็ไม่นึกเสียใจ!” ตู้จี้ประกบสองมือ อาภรณ์สะบัดพรึ่บ
เงาร่างทั้งคู่พริบไหว ห้อทะยานออกไป
บนพื้นดินต้นโพธิ์ส่ายโอนครืดคราด คล้ายกำลังร้องโหยหวน…
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วเกินไปและปุบปับเกินไป ทำให้หลินสวินยังถูกทำให้ตื่นตระหนกอยู่ตรงนั้น คิดไม่ถึงสักนิดว่าเคราะสังการห์จะมาเยือนเช่นนี้!
เขาเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นว่า บนท้องฟ้ากลิ่นอายอริยเทพพรั่งพรูดั่งมหาสมุทร ส่องสว่างถึงขีดสุด ไม่สามารถมองเห็นภาพในนั้นถนัดตา
แต่หลินสวินรู้ นี่คือเคราะห์สังหารที่จ้องเล่นงานอริยะทั้งสอง!
ดูเหมือนจะเป็นเพราะพวกเขาเหยียบย่างบนเขตต้องห้ามแห่งมรรคา หรือไม่ก็เพราะสร้างคัมภีร์ที่ละเมิดข้อห้ามออกมา ด้วยเหตุนี้จึงชันนำให้เกิดด่านเคราะห์ครั้งใหญ่เช่นนี้
“ตอนพวกเราก้าวมาถึงจุดนี้ก็ถูกลิขิตให้เป็นเช่นนี้แล้ว นับแต่โบราณกาลอริยบุคคลล้วนเป็นเช่นนี้ ความหมายในคำพูดนี้น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว…” หลินสวินตัวสั่น
“เป็นเขา!” จากนั้นหลินสวินแข็งทื่อไปทั้งร่าง เห็นว่าเงาร่างสีทองโผล่ออกมาจากกลางรอยแยกมหึมาที่แหวกออกบนท้องฟ้านั้น อานุภาพสั่นสะเทือนเก้าฟ้าสิบแผ่นดินประดุจนายเหนือหัวก็ไม่ปาน
ตูม!
หลังจากนั้นในสมองหลินสวินก็บังเกิดเสียงวู้มรุนแรง ภาพทั้งหมดที่เห็นอยู่เบื้องหน้ามลายหายไปราวกับฟองมายา…
เขาพยายามเบิกตากว้าง แต่กลับมองไม่เห็นอีกต่อไป ร่างกายเหมือนจมสู่วังน้ำวน ฟ้าดินหมุนเคลื่อน
ในระหว่างที่สับสนงุนงง หลินสวินดูเหมือนจะได้ยินเสียงของตู้จี้และนางพญาอีกครั้ง…
“จดจำไว้!”
“ห้ามลืมเด็ดขาด…”
………………