Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 962
แท่นบัวจวนถูกซัดพินาศ!
มู่เจิ้งพลันดีอกดีใจ เขาแอบสาบานกับตัวเอง พริบตาที่แท่นบัวแหลกสลายจะใช้พลังอันแกร่งที่สุดโปรดสัตว์หลินสวิน!
มีเพียงเท่านี้จึงจะสามารถระบายความอัปยศในใจเขา
เขาผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์ซึ่งองอาจผ่าเผย วันนี้ ณ สถานที่แห่งวาสนาที่บรรพจารย์สำนักตนหลงเหลือไว้ กลับถูกคนอื่นช่วงชิงศุภโชค ถ้าไม่ใช่ความอัปยศจะเป็นอะไรได้
ใครว่าผู้บำเพ็ญธรรมไร้อารมณ์
สมัยบรรพกาลเมื่อภิกษุบันดาลโทสะ เทพธรรมบาลล้วนต้องสั่นสะเทือน!
ทว่าเวลานี้ใจเขาพลันสะดุ้งโหยง กลิ่นอายอันตรายถึงชีวิตปกคลุม นี่ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสี
แต่เมื่อมีปฏิกิริยาตอบสนองก็ช้าไปก้าวหนึ่ง ได้ยินเสียงเป๊งดังสนั่น มู่เจิ้งรู้สึกเพียงปวดหน้าผากรุนแรง เบื้องหน้าสับสนมึนงง กระตุกไปทั้งตัวแทบหกคะเมน
เคราะห์ดีที่เขาฝึกร่างทองอรหันต์แต่เด็ก พลังกายแข็งแกร่งหาใดเปรียบ ไม่เคยถูกตีสลบ
แต่หน้าผากเงาวาวของเขากลับบวมเป่งปูดโปน โดดเด่นราวเขางอก
มู่เจิ้งพลันบันดาลโทสะ ถึงกับมีคนกล้าลอบทำร้ายตน!?
จิตสังหารซึ่งไม่อาจระงับผุดขึ้นในใจ เขาหันหลังขวับ เมื่อเห็นคนร้ายที่ลอบโจมตีตนชัดเจนก็ตกตะลึงทันที ครรภ์พุทธะ?
กลับเห็นปักษาทมิฬตัวนั้นอึ้งงันอยู่บ้าง คล้ายคิดไม่ถึงว่าหน้าผากภิกษุนี่จะแข็งขนาดนี้ กระทะใบเดียวไม่อาจตีเขาสลบ
‘เดินจนรองเท้าเหล็กพังยังหาไม่ได้ บทจะมาง่ายดายไม่เปลืองแรง!’ ความเดือดดาลในใจมู่เจิ้งถูกความลิงโลดเข้าแทนที่
เมื่อครู่เพื่อชิงไม้โพธิ์นั่นทำเขาเกือบลืมสนิท ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของการมาครั้งนี้ก็เพื่อครรภ์พุทธะซึ่งหาได้ยากตั้งแต่โบราณกาล!
“สหายน้อย ก่อนหน้าล้วนแต่เข้าใจผิด บัดนี้ในเมื่อเจ้าปรากฏตัวก็ไปพร้อมอาตมาเถิด” มู่เจิ้งเอ่ยปากกล่าว เผยพลังมรดกของอารามกษิติครรภ์สื่อสารกับอีกฝ่าย
เขาเชื่อว่าหากฝ่ายตรงข้ามตื่นรู้มีปัญญา ย่อมสัมผัสได้ถึงความจริงใจของตน
อีกทั้งตามคำบอกเล่าของเหล่าผู้อาวุโสอารามกษิติครรภ์ หากครรภ์พุทธะอุบัติบนโลก อาศัยพลังคัมภีร์มหากษิติครรภ์เรียกหาก็เพียงพอให้อีกฝ่ายปลุกจิตแห่งตนได้
เพราะครรภ์พุทธะนี้ เดิมคือสิ่งที่อริยะตู้จี้เหลือไว้!
ปักษาทมิฬชะงักไป เหลือบมองภิกษุตรงหน้า ท่าทางราวเห็นคนเขลา
มู่เจิ้งมุ่นคิ้ว รู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง ครรภ์พุทธะนี้ทำไมมีกลิ่นอายคล้ายนักเลงอันธพาล แปลกประหลาดนัก
เขาสูดหายใจลึก ข่มอารมณ์สำแดงพลังมรดกอารามกษิติครรภ์ สื่อสารหมายโน้มน้าวอีกฝ่าย “สหายน้อย…”
“สหายน้อยเตี่ยเอ็งสิ!”
ปักษาทมิฬโกรธจนฉุนเฉียวด่ายกใหญ่ กรงเล็บเหวี่ยงกระทะฟาดไปทางมู่เจิ้ง
เป๊ง!
หน้าผากมู่เจิ้งถูกซัดอีกครั้งโดยไม่ตั้งตัว เบื้องหน้ามีดาวทองหมุนวน ร่างกายซวนเซโงนเงน ความรู้สึกเลือนรางอยู่บ้าง
เขาบันดาลโทสะ หน้าคล้ำเขียว “เจ้ากล้าไร้มารยาทรึ”
ปักษาทมิฬถุยสบถเหี้ยมเกรียม กระทะในมือแกว่งไกว ท่าทางราวอันธพาลเร่ร่อนมุมถนนถืออิฐชวนทะเลาะ พุ่งเข้าปะทะอย่างบ้าคลั่ง
“ไร้มารยาท? หากไม่ใช่เจ้าหัวล้านขี้ขโมยอย่างพวกเจ้า มีหรือข้าจะถูกปลุกก่อนเวลา?”
เป๊ง! เป๊ง!
ระหว่างที่ด่าทอ ปักษาทมิฬกวัดแกว่งกระทะเหล็กนั่นอย่างอาจหาญ ตีจนมู่เจิ้งพลันต้านไม่ไหว หกคะเมนล้มลงกับพื้น เจ็บจนแทบหมดสติ
ที่น่ากลัวที่สุดคือกระทะนั่นไม่รู้หลอมจากเหล็กเทพอะไร แข็งแกร่งหาใดเปรียบ ซ้ำยังมีแสงลายมรรคสุดหยั่งเอ่อท้น ด้วยความสามารถของมู่เจิ้ง ยังถูกกดข่มจนโงหัวไม่ขึ้น
“ถุย! ข้าล่ะเกลียดคนระยำจอมปลอมอย่างพวกเจ้าที่สุด ในเมื่ออยากเชิญข้าเป็นแขก เหตุใดก่อนหน้าต้องใช้กำลังกำราบข้าด้วย”
“ร้อง! เจ้าร้องต่อสิ! ร้องจนคอแตกก็เปล่าประโยชน์!”
ปักษาทมิฬนี่ช่างพิลึกพิลั่น ซ้ำเห็นชัดว่าโทสะสุมอก เหวี่ยงกระทะฟาดมู่เจิ้งไม่ยั้ง ฮึกเหิมเสียจนวุ่นวายไปหมด
แม้แต่หลินสวินยังมองตาค้าง นี่… ใช่ครรภ์พุทธะจริงหรือ
ขณะเดียวกันมู่เจิ้งตะโกนคับแค้นอยู่ในใจ นี่จะเป็นครรภ์พุทธะได้อย่างไร อันธพาลหัวไม้ล่ะสิไม่ว่า!
เป๊ง!
สุดท้ายมู่เจิ้งถูกฟาดสลบ ใบหน้ายังเหลือความรู้สึกอัปยศขุ่นเคือง
แต่ปักษาทมิฬดูเหมือนไม่หนำใจ เหยียดกรงเล็บทองอร่ามถีบร่างมู่เจิ้งเข้าเต็มเหนี่ยว แล้วค่อยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ท่าทางปลอดโปร่งโล่งใจ
“อ้อ น้องชายคนนี้ เมื่อครู่ทำเจ้าตกใจหรือเปล่า อย่ากลัวไปเลย ข้าอาศัยคุณธรรมสยบคน ปกติไม่ชอบลงมือ แล้วก็ไม่ทำเรื่องไร้มารยาทเท่าไหร่”
ปักษาทมิฬเก็บกระทะดำในมือไว้ข้างหลัง จากนั้นจึงหมุนตัวมาแช่มช้า เชิดศีรษะเผชิญหน้าหลินสวิน เห็นได้ว่าทะนงตนยิ่ง
หลินสวินสีหน้าพิกล ปักษาทมิฬนี้ลักษณะเหมือนหงส์ดำเลือดทมิฬ แต่ก็ไม่คล้ายคลึง มันแบกกระทะดำใบหนึ่งไว้ด้านหลัง ทำให้บุคลิกมันออกจะ… ผิดแผก
อีกทั้งมันยังหลงตัวเองและหน้าไม่อายนัก เมื่อครู่ยังทำท่าราวนักเลงอันธพาล ตอนนี้กลับวางท่าใหญ่โต ยังพูดว่าอาศัยคุณธรรมสยบคนอะไรนั่นอีก ช่างไร้ยางอายเสียจริง
“ข้าไปก่อนล่ะ หากเจ้าอยากเล่นที่นี่ต่อก็แล้วแต่ ถึงอย่างไรแดนผีสิงนี่ก็ไม่น่าอยู่นัก…”
ยังไม่รอหลินสวินเอ่ยปาก ปักษาทมิฬก็ยื่นกรงเล็บมาหิ้วมู่เจิ้งจากพื้น กางปีกสยายออก บินโฉบอากาศห่างออกไป
“เดี๋ยวก่อน!” หลินสวินตะโกน
“กวนข้าแม่งให้น้อยหน่อย ศุภโชคที่ตาเฒ่าตู้จี้นั่นเหลือไว้ล้วนถูกเจ้านำไปแล้ว เจ้ายังจะเอาอะไรอีก”
ปักษาทมิฬตวาดรำคาญ
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด เห็นชัดว่าปักษาทมิฬนี่รู้ความลับเยอะมาก!
ฟุ่บ!
เขาตามไปโดยไม่ลังเล ปักษาทมิฬตัวนี้กระทำการแปลกประหลาด โจมตีมู่เจิ้งสลบแต่ไม่สังหาร กลับนำตัวมู่เจิ้งไป
อีกทั้งมันเหมือนรู้ว่าตนได้รับวาสนาจากไม้โพธิ์
แต่ที่ทำหลินสวินตกตะลึงคือ พอปักษาทมิฬนั่นสยายปีกกว้าง ถึงกับเคลื่อนแหวกอากาศราวย้ายมวลสาร ชั่วพริบตาก็ไม่พบร่องรอย เร็วจนน่าเหลือเชื่อ!
‘เจ้าหมอนี่มีที่มาอย่างไรกันแน่’
หลินสวินรู้สึกว่าปักษาทมิฬนี้ไม่ธรรมดายิ่งกว่าเดิม
ครั้งแรกที่พบมันขดตัวราวทารกครรภ์เทพ ปีกลู่เก็บ นิ่งเงียบอยู่ในซุ้มพระหยกดำนั่น ทั่วร่างปรากฏเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีดำหลากสาย มีลายมรรคอัศจรรย์ถักทออยู่ภายใน
เวลานั้นมู่เจิ้งและผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์อีกสี่คนร่วมมือกัน ยังไม่ทันกำราบมันก็หนีหลบสบายๆ
แต่ตอนนี้เมื่อมันปรากฏตัวอีกครั้ง กลับตีมู่เจิ้งสลบ ศักยภาพทรงพลังนัก ควรรู้ว่ามู่เจิ้งคือเอกบุคคลผู้หนึ่ง ในการต่อสู้กับหลินสวินก่อนหน้านี้ยังสำแดงพลังต่อสู้เหนือธรรมดา
แต่ถึงเป็นเช่นนั้น กลับถูกปักษาทมิฬนั่นกำราบอย่างรวดเร็วง่ายดาย นี่เห็นได้ว่าน่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง
ที่ทำให้หลินสวินรู้สึกแปลกที่สุดคือ ทั้งที่อีกฝ่ายรู้ว่าตนได้รับศุภโชค แต่แค่เผยความหงุดหงิดออกมานิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้ลงมือกับตนด้วยเหตุนี้ นี่ผิดปกติเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
มันเป็นใครกันแน่
…
แท่นบัวหยกขาวแตกหักจวนพังทลาย กลางฟ้าดินแสงธรรมต้องห้ามกำลังหดหายด้วยความเร็วน่าอัศจรรย์
อารามเก่าแก่ลี้ลับแห่งนี้กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึงอย่างไร้สุ้มเสียง
นึกถึงทุกอย่างที่พบเจอในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ หลินสวินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เลี่ยงไม่ได้ที่จะพิศวงอยู่บ้าง
“คุณชายหลิน เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
ไม่นานนักเงาร่างของพวกแม่นางเยวี่ย ลั่วเจียก็ปรากฏ เมื่อเห็นหลินสวินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ทั่วร่างสมบูรณ์พร้อมจึงต่างผ่อนคลายลง
“ไม่เป็นไร” หลินสวินคืนสติ สลัดความคิดฟุ้งซ่านในหัว ไม่คิดมากอีก
“แล้วมู่เจิ้งล่ะ” แม่นางเยวี่ยกวาดมองโดยรอบ
“เรื่องนี้พูดแล้วซับซ้อน รอออกจากที่นี่ข้าค่อยบอกพวกเจ้าโดยละเอียด” หลินสวินกล่าว
“ก็ดี” แม่นางเยวี่ยพยักหน้า
แต่ลั่วเจียกลับทนไม่ไหวอยู่บ้าง “หลินสวิน เจ้า…”
ไม่รอพูดจบ หลินสวินพยักหน้ากล่าว “ภารกิจลุล่วง”
ทันใดนั้นลั่วเจียเป่าปากโล่งอกเฮือกใหญ่ ดวงหน้างามพริ้งเพราปรากฏความผ่อนคลายอย่างหาได้ยาก
จากนั้นพวกเขารีบออกจากอารามเก่าแก่โดยไม่ล่าช้า
แสงธรรมต้องห้ามที่นี่กำลังถดถอย สูญพลังป้องกันชั้นหนึ่ง อารามเก่าแก่คงล่มสลายหายไปในไม่ช้า
แม้แต่ซากวัตถุโบราณทั้งหมดคงสาบสูญไปด้วยเหตุนี้ หายไปจากโลก!
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นซากโบราณซึ่งดำรงมาตั้งแต่สมัยบรรพกาลจวบจนปัจจุบัน ไม่มีพลังต้องห้ามคอยพิทักษ์ คงพินาศย่อยยับสิ้นเชิงแน่
จริงดังคาด เมื่อเงาร่างพวกเขาเพิ่งทะยานออกไป ส่วนลึกอารามเก่าแก่นั่นพลันก้องเสียงพังทลายดังสนั่นเป็นระลอก
หลินสวินหันกลับไปอย่างอดไม่อยู่ ก็เห็นอารามเก่าแก่เสื่อมโทรมนั่นประหนึ่งสูญพลังชีวิต เปลี่ยนเป็นมืดสลัวหาใดเปรียบ ชวนให้คนรู้สึกเศร้าเสียดาย
“ไปเถอะ”
พวกเขาหวนกลับทางเดิมโดยไม่ลังเล
…
กระทั่งเงาร่างพวกเขาเลือนหาย บนสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่นั่นปรากฏปักษาทมิฬตัวหนึ่ง ปีกดั่งเปลวอัคคีสีดำลุกโชน
‘เจ้าหมอนี่สามารถรับการทดสอบเช่นนี้ได้ หรือเป็นชะตาฟ้าลิขิต’ ปักษาทมิฬพึมพำในใจ
มันรู้ดีว่าพลังสีทองซึ่งผนึกอยู่ในไม้โพธิ์นั่นน่าหวาดกลัวระดับใด แม้แต่มันยังไม่อยากสัมผัส
เพราะนี่คือพลังที่เพียงพอจะบั่นอริยะ!
แต่หลินสวินไม่ประสบเคราะห์ทันที กลับผ่านการทดสอบได้รับมรดกไป นี่ทำให้ปักษาทมิฬตกตะลึงอย่างไม่อาจเลี่ยง
“หึ! เดิมนั่นควรเป็นศุภโชคของข้า แต่กลับถูกเจ้าเอาไป รอข้าจัดการธุระส่วนตัวเสร็จค่อยไปคิดบัญชีเจ้าเด็กนี่ หากไม่ให้ผลประโยชน์ที่ข้าพอใจล่ะก็ หึๆ …”
ปักษาทมิฬแค่นเสียงเย็นชา
จากนั้นมันจึงหันหลังกลับ นัยน์ตาดำสนิทดุจรัตติกาลนิรันดร์มองไปยังส่วนลึกอารามเก่าแก่
“พวกเจ้านี่นะ รู้อยู่ว่าต้องตาย เหตุใดยังทำถึงขั้นนี้ สุดท้ายกลับเหลือข้าคนเดียวที่ตื่นขึ้นมาในกาลปัจจุบัน…”
ความรู้สึกโศกเศร้าเหลือจะเอ่ยผุดขึ้นในจิตใจ ปักษาทมิฬตอนนี้เงาร่างเหมือนโดดเดี่ยวและหดหู่ผิดธรรมดา
“เจ้าเดรัจฉาน!” ด้านข้าง มู่เจิ้งที่หมดสติลืมตาอย่างยากลำบาก เมื่อเห็นปักษาทมิฬข้างกาย ความแค้นใหม่เก่าก่อนหน้าประเดประดังเข้ามา ตะคอกคำรามทันที
เป๊ง!
ปักษาทมิฬไม่แม้แต่จะมอง ขยับกระทะดำซัดเปรี้ยงอย่างชำนาญ หน้าผากมู่เจิ้งพลันเจ็บปวด ตาเหลือกพลิกกลับ ร่างกายนอนแน่นิ่ง หมดสติอย่างน่าอนาถไปอีกครา
“ช่างเป็นลาหัวโล้นที่หัวรั้นเสียจริง ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะเผยความรู้สึกแท้จริงสักครั้ง ยังถูกเจ้าแหกปากทำเสียเรื่อง”
ปักษาทมิฬสบถออกมาคำ จากนั้นมันสยายปีกหิ้วมู่เจิ้งที่หมดสติบินไปยังที่ห่างไกล
“การตื่นมาก่อนเวลาคราวนี้ไม่รู้ว่าดีหรือร้าย บางทีนี่อาจเป็นวาสนา? เป็นเวลาที่ควรมุ่งหน้าไปเยือนอารามกษิติครรภ์…”
เบื้องหลังปักษาทมิฬ อารามเก่าแก่ปรักหักพังที่ตั้งตระหง่านตั้งแต่บรรพกาลจวบจนปัจจุบัน ในที่สุดก็ทรุดตัวสนั่นหวั่นไหว กลายเป็นฝุ่นควันกระจายทั่วฟ้า
ไม่นานนักฟ้าดินจมลง โบราณสถานเก่าแก่ซึ่งมียอดพลังเบิกวิถีก็พังทลาย เลือนหายไปดั่งม่านหมอก
………………….