Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 967 สัตว์ประหลาดฟ้าดารา
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 967 สัตว์ประหลาดฟ้าดารา
สายตาหลินสวินถูกดึงดูด อาศัยเพียงความรู้สึกก็รู้ว่านี่คือศิลาอุกกาบาตที่ยากพบเห็น
มันไม่ธรรมดายิ่ง เนื้อดำตะโกวาวระยับ เอ่อท้นแสงเงินเจิดจรัสดั่งภาพฝันน่าอัศจรรย์นัก
ไม่แปลกที่ผู้ฝึกปราณสำนักกระบี่โลหิตพวกนั้นจะเกิดความละโมบ เปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณอื่นเกรงว่าคงทนต่อสิ่งล่อใจเช่นนี้ไม่ไหว
และสมบัตินี้ตกอยู่ในมือเด็กสาวอ่อนแอ ไม่ต้องสงสัยว่า ‘ผิดที่หยกติดตัว’ ทำให้ประสบหายนะโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่
“ก่อนหน้าให้ตายเจ้าก็ไม่ยอมส่งมอบสิ่งนี้ เหตุใดตอนนี้กลับอยากให้พวกเราเล่า” แม่นางเยวี่ยอดถามไม่ได้
“นี่มันคนละเรื่อง ข้าแยกแยะดีชั่ว” เด็กสาวเช็ดคราบเลือดบนหน้า นัยน์ตาส่องประกาย
“เจ้าไม่ห่วงว่าพวกเราช่วยเจ้าเพื่อสิ่งนี้หรือ” แม่นางเยวี่ยกล่าวอย่างสนอกสนใจ
“ไม่ละอายต่อตนก็พอ” เด็กสาวกล่าว
แม่นางเยวี่ยยิ้ม แววตาที่มองเด็กสาวเปลี่ยนเป็นมิตรและสงสารยิ่งกว่าเดิม
‘เมื่อใจตนสงบ นั่นคือมรรคแห่งตน’
หลินสวินจิตใจคล้อยตาม เขาค้นพบคุณสมบัติซึ่งหาได้ยากบนตัวเด็กสาวอ่อนแอคนนี้ ใจที่มีความมุ่งมั่น ไม่ถูกสิ่งภายนอกยั่วยุ
สุดท้ายพวกหลินสวินไม่ต้องการศิลาอุกกาบาตในมือเด็กสาว แต่พานางจากบริเวณนี้ไปด้วยกัน
เหล่าผู้ฝึกปราณสำนักกระบี่โลหิตรอดพ้นจากความตาย แต่กลับยินดีไม่ออกแม้เศษเสี้ยว
เพราะพวกเขารู้ว่าหากเด็กสาวผอมบางเมื่อครู่นั่นเปลี่ยนโชคชะตาสำเร็จ ภายหน้าไม่ช้าก็เร็วนางต้องกลับมาแก้แค้น!
“เจ้าหมอนั่นเป็นใคร อานุภาพน่าหวาดกลัวนัก ไม่แม้แต่จะขยับมือก็กำราบผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่โลหิตทั้งหมดลงกับพื้น คงไม่ใช่บุคคลแห่งยุคจากสำนักโบราณบางแห่งกระมัง”
“รู้น้อยจึงเห็นว่าประหลาด ช่วงนี้แดนชัยบูรพาปรากฏบุคคลแห่งยุคขึ้นใหม่ไม่รู้เท่าไหร่”
“มหาสงครามแห่งมหายุคจวนมาเยือน แม่น้ำพรมแดนเองใกล้เลือนหาย สี่แดนวิภูดินแดนรกร้างโบราณจะรวมกันใหม่อีกครั้ง ฟื้นคืนลักษณะสมบูรณ์แห่งสมัยบรรพกาล จากนั้น… ใต้หล้าคงคึกคักขึ้น!”
บนโขดหินส่วนหนึ่งละแวกใกล้เคียงต่างเห็นเหตุการณ์ที่หลินสวินแสดงอานุภาพเมื่อครู่กับตา ผู้ฝึกปราณบางส่วนรำพึงอย่างอดไม่อยู่
แต่ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งแอบดีใจ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยตวาดพวกหลินสวินไป ไม่ยอมให้พวกเขาเข้าใกล้ ปัจจุบันคิดไปแล้วการกระทำเช่นนี้ช่างเหมือนรนหาที่ตาย โชคดีที่อีกฝ่ายไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขา
…
หาดดาราขจรกว้างใหญ่ โขดหินดำรงอยู่ทุกหนแห่ง หมอกควันขมุกขมัวปกคลุมทั่วบริเวณเห็นได้ว่าลึกลับอย่างยิ่ง
บนยานสำเภา แม่นางเยวี่ยตัดสินใจพาเด็กสาวร่างผอมกลับสำนัก นี่ทำให้พวกโค่วซิงต่างอิจฉาไม่หยุด
พวกเขาล้วนรู้ดี นับจากวันนี้เด็กสาวยากจนที่ดูน่าสงสารโดดเดี่ยวคงต่างจากอดีตสิ้นเชิง ดุจมัจฉากระโดดข้ามประตูมังกร!
“เสี่ยวเหอ เจ้าหาศิลาอุกกาบาตก้อนนี้พบจากไหนหรือ”
“ข้างหน้าเจ้าค่ะ ต้องคดเคี้ยวเลี้ยวลดลอดเกาะน้อยประมาณสิบกว่าเกาะ ยังต้องผ่านบริเวณหมอกควันหนาแถบหนึ่ง”
เสี่ยวเหอก็คือชื่อของเด็กสาวร่างผอมนั่น “สถานที่นั้นประหลาดมาก สะสมโครงกระดูกกองพะเนิน ทั้งยังมีสัตว์ปีศาจน่ากลัวปรากฏเป็นระยะ…”
“แต่ทุกค่ำคืนที่นั่นจะปรากฏแสงดาราเงินยวงมากมาย งดงามอย่างยิ่ง ประดุจธารดาราม้วนตลบอย่างไรอย่างนั้น”
ฟังถึงตรงนี้ หลินสวินและแม่นางเยวี่ยต่างสัมผัสได้ว่าที่แห่งนี้ต้องไม่ธรรมดา!
ขณะเดียวกันสีหน้าเสี่ยวเหอปรากฏอาการหวนรำลึกและหลงใหล “ตอนนั้นข้านึกว่าตัวเองมาถึงม่านดาวเหนือฟากฟ้า ตลอดทางคือดวงดาวส่องประกาย… น่าเสียดาย ข้าเดินถึงครึ่งทางก็ไม่กล้าเข้าไปลึกกว่านั้น”
“เพราะอะไร” แม่นางเยวี่ยถามอย่างอดไม่อยู่
“ข้าได้ยินเสียงร้องโหยหวนเป็นระลอก น่ากลัวยิ่ง ยังมีเสียงคำรามของสัตว์ปีศาจด้วย…” เสี่ยวเหอสีหน้าประหม่า เห็นชัดว่าเหตุการณ์ตอนนั้นทำนางหวาดผวาถึงปัจจุบันอยู่บ้าง
“อยากลองไปดูหรือไม่” แม่นางเยวี่ยมองไปทางหลินสวิน
หลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อยก็พยักหน้าเห็นด้วย
เขาอยากรู้นัก เสี่ยวเหอไปแค่ครึ่งทางก็ขุดเจอศิลาอุกกาบาตล้ำค่าที่คุณลักษณะเลิศล้ำ แค่คิดก็รู้ว่าหากเข้าไปลึกกว่านี้ต้องมีความลับที่ไม่มีใครล่วงรู้มากกว่านี้แน่
ทั้งจากคำอธิบายของเสี่ยวเหอทำให้เขาสามารถประมาณการคร่าวๆ ได้ว่า สถานที่นั้นอาจอันตรายยิ่ง แต่ก็ต้องซ่อนของดีซึ่งสถานที่อื่นไม่มีเช่นเดียวกัน!
…
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ภายใต้การนำทางของเสี่ยวเหอ พวกหลินสวินขับยานสำเภาเข้าสู่บริเวณครึ้มหมอกขมุกขมัว
เกาะแก่งบริเวณนี้พบเห็นได้น้อย กระจายตัวบางตา ซ้ำสายน้ำนั่นยังไม่ม้วนซัด เงียบสงัดดั่งน้ำนิ่ง มีกลิ่นอายที่พาให้คนใจสั่นระรัว
“งดงามมาก!” มุ่งหน้าไปไม่ไกลนัก เบื้องหน้าพวกโค่วซิงสว่างวาบ เมื่อเห็นทัศนียภาพที่ห่างออกไปชัดเจนต่างเผยความรู้สึกหลงใหล
กลางอากาศ แสงดาวดวงแล้วดวงเล่ากะพริบไหว เปล่งแสงกระจ่างเย็นออกมา ท่ามกลางหมอกควันขมุกขมัวยิ่งดูเจิดจรัสและสว่างผิดปกติ
มองจากไกลๆ ก็เหมือนเห็นธารดารากำลังม้วนแผ่ไพศาล แสงดาวพาดผ่านงามตระการเปล่งประกาย
ภายใต้ความเลือนราง ช่างทำให้ผู้คนคิดไปว่าเข้าสู่จักรวาลดารา
แต่ขณะเดียวกันกลับมีกลิ่นอายอันตรายไร้รูปอบอวล ประหนึ่งในส่วนลึกของแสงดาราพร่างฟ้านั่นซ่อนบางสิ่งที่น่าสะพรึงเอาไว้
หลินสวินนัยน์ตาดุจอสนี จิตรับรู้แผ่ขยาย สัมผัสโดยละเอียด
ทันใดนั้นเขาก็พบภาพฉากชวนสะพรึงบางส่วน ในสายน้ำราบเรียบเงียบสงัดนั่นปรากฏซากศพหลายศพ ต่างแหว่งวิ่นไม่สมประกอบยิ่ง
บ้างถูกทำลายศีรษะ บ้างถูกฉีกทึ้งกระชากอก บ้างร่างกายถูกตัดขาด มีเพียงแขนขาแหว่งวิ่นที่ลอยผลุบๆ โผล่ๆ
อีกทั้งหลินสวินยังตัดสินได้คร่าวๆ ว่าเจ้าของซากศพเหล่านี้น่าจะเพิ่งตายไม่นาน ดูจากบาดแผลเห็นชัดว่าเจอกับสัตว์ปีศาจที่น่าหวาดกลัวเข้า
“ทุกคนระวังตัวด้วย ที่แห่งนี้ประหลาดอยู่บ้าง” หลินสวินเตือน
น้ำเสียงเพิ่งแผ่วลง ก็เห็นว่าในแสงดาวเจิดจรัสนั่นมีเงาร่างสีขาวเงินโฉบออกมา พุ่งมาทางยานสำเภาที่พวกเขาอยู่ดั่งสายฟ้าแลบ
ครืน!
ห้วงอากาศแตกละเอียด ส่งเสียงหวีดแหลม เงาร่างสีขาวเงินนั่นไม่เพียงว่องไวยังดุดันหาใดเปรียบ บดขยี้ห้วงอากาศแตกเป็นจุณ
พวกโค่วซิงรีบบังคับยานสำเภาหลีกหลบ
ระหว่างนั้นพวกเขาก็เห็นเงาร่างสีขาวเงินนั่นชัดเจน
นั่นคืออสูรมารที่ลักษณะคล้ายตัวนิ่ม ทั่วร่างปกคลุมด้วยเกราะเกล็ดเงินยวง กรงเล็บทั้งสี่ราวตะขอแหลมคม ดวงตาแดงก่ำเยียบเย็น แผ่กลิ่นอายกระหายเลือดอำมหิตยิ่ง
โค่วซิงใช้ทวนเล่มหนึ่งออกจู่โจมสังหาร
เคร้ง!
ดาราเพลิงซัดทั่วจตุรทิศ เกล็ดผิวตัวนิ่มแข็งแกร่งกว่าสมบัติเวท ซ้ำยังแผ่แสงสีเงินสยบทวนของโค่วซิง
ขณะเดียวกันมันส่งเสียงหวีดแหลม ปากใหญ่อาบโลหิตพ่นลำแสงขาวซัดโค่วซิงปลิวกระเด็น
นี่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึง โค่วซิงคือผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง แต่กลับต้านการโจมตีของอีกฝ่ายไม่ได้!
“แข็งแกร่งนัก!” พวกหน้าเขียวและจงอางแดงไม่รอช้า บุกไปร่วมสังหารศัตรูพร้อมโค่วซิง
ทว่าตัวนิ่มนั่นเผยพลังน่ากลัวเกินคาดคิด ร่างดุจสายฟ้าสีขาวไวว่องรวดเร็วยิ่ง เคลื่อนทะยานแหวกห้วงอากาศ
ปึงๆๆ!
เพียงชั่วพริบตาพวกโค่วซิงถูกซัดถอยทีละคน ยากทานทนจนแทบกระอักเลือด แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสี
นี่มันตัวบ้าอะไร
ตูม!
ตัวนิ่มอานุภาพไม่ปรานี เหี้ยมโหดหาใดเปรียบ พลันพุ่งทะยานอ้าปากพ่นแสงขาวหมายสังหารโค่วซิง ความเร็วนั้นทำเอาโค่วซิงไม่ทันหลบหลีก
ฉึบ!
เวลานี้เองหลินสวินเคลื่อนไหวแล้ว กดนิ้วมือลง พลังทำลายล้างสายหนึ่งปรากฏ สลายแสงขาวนั่นดังฟุ่บ
โค่วซิงรอดพ้นจากความตาย ตกใจจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว
ไม่จำเป็นต้องสงสัย ครั้งนี้หากไม่ได้หลินสวินพวกเขาทั้งหมดคงถูกฝังอยู่ที่นี่ ตัวนิ่มประหลาดนี่ช่างวิปริต ดุดันเสียยิ่งกว่ามหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ!
“น่าสนใจ”
หลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งก้าวไปเบื้องหน้า ล่อให้ตัวนิ่มสนใจและระแวงในฉับพลัน ดวงตาแดงก่ำเปี่ยมความอำมหิตกระหายเลือด
ตูม!
มันสังเกตเห็นอันตราย ร่างที่ราวหล่อจากแร่เงินระเบิดแสงเจิดจ้ากลายเป็นสายฟ้าพุ่งออกมา
หลินสวินสำแดงนัยเร้นลับของประทับปี้อั้นและผนึกป้าเซี่ย ตบฝ่ามือหนึ่งออกไป ร่างอีกฝ่ายดั่งประสบการกำราบของมหาบรรพต เสียงตูมดังสนั่น ถูกกำราบลงบนดาดฟ้ายานสำเภา ผิวเกล็ดแตกพัง โลหิตแดงสดหลั่งริน ร้องเสียงแหลมทรมานคลุ้มคลั่ง
ทันใดนั้นหางของมันวาดตวัดดั่งแส้เงินยวง วิบไหวกลางอากาศ วิวัฒน์เป็นดาบแสงแหลมคมหลากสาย
หลินสวินยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ไม่แม้แต่จะหลบ ทั่วร่างราวหุบเหวโหมกระหน่ำ ดาบแสงคมปลาบหลากสายนั่นเพิ่งเข้าประชิดก็ถูกกลืนกินสลายสิ้น
ปึง!
ขณะเดียวกันหลินสวินออกหมัด ผิวเกล็ดทั่วร่างตัวนิ่มต่างแตกหัก ร่างกายปรากฏรอยถูกทุบยุบแบน
ห่างออกไปพวกโค่วซิงส่งเสียงประหลาด สัตว์ประหลาดที่ทรงพลังเช่นนี้ถูกอัดจนไร้แรงต่อต้าน คุณชายหลินสมเป็นบุคคลดั่งเทพมาร
แต่เหนือความคาดหมายของทุกคน ตัวนิ่มนั่นทรหดหาใดเปรียบ ในช่วงเป็นตายดันคลั่งขึ้นมา ทั่วร่างแผ่ประกายศักดิ์สิทธิ์ขาวเงินแสบตาดั่งเพลิงลุกโชน คล้ายตั้งท่าสู้ตายไปข้าง
หลินสวินไม่แม้แต่จะมอง เท้าข้างหนึ่งเหยียบหัวอีกฝ่าย บดทลายกะโหลกปลิดชีพโดยพลัน
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาเหมือนผ่อนคลายและนิ่งสงบมาก
“แม่นางเคยเห็นอสูรมารประหลาดเช่นนี้หรือไม่” หลินสวินเอ่ยถาม
“นี่คงเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนฟ้าดารา” แม่นางเยวี่ยก่อนหน้าใคร่ครวญมาตลอด ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปเช่นนี้
“บนฟ้าดารา?” หลินสวินประหลาดใจ
“น่าจะเป็นเช่นนั้น หาดดาราขจรคือซากสมรภูมิแห่งหนึ่งสมัยบรรพกาล ในปีนั้นอริยะกระบี่มารคลั่งเคยใช้กระบี่เดียวปลิดดาราทั่วฟ้า ถึงได้ทำให้ซากสะเก็ดดาวร่วงหล่นลงที่นี่”
แม่นางเยวี่ยกล่าวพึมพำ “ข้าสงสัยว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าคงตกมาพร้อมเศษสะเก็ดดาวนั่น”
“อีกทั้งในตำราโบราณก็บันทึกไว้ว่า ในฟ้าดาราไร้สิ้นสุดมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีใครล่วงรู้อาศัยอยู่ ทั้งยังเคยมีสิ่งมีชีวิตทรงพลังส่วนหนึ่งทะลวงปราการเยือนดินแดนรกร้างโบราณ เพียงแต่ยากพบอย่างที่สุด พันหมื่นปีจึงอาจพบเข้าสักครั้ง”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” หลินสวินครุ่นคิด
“ที่แห่งนี้หากมีสัตว์ประหลาดฟ้าดาราอาศัยอยู่จริงคงไม่ใช่ธรรมดา ไม่แน่ว่าอาจทำให้เราขุดพบศิลาอุกกาบาตซึ่งหาได้ยากยิ่ง” แม่นางเยวี่ยนัยน์ตาเป็นประกาย
ประโยคเดียวทำเอาทุกคนต่างใจเต้นไม่หยุด
เวลานี้เอง ห่างออกไปในบริเวณที่ประกายดาราสาดส่องทั่วฟ้าพลันมีเงาร่างหนึ่งพุ่งออกมา ทั่วร่างส่งเสียงวายุอสนีบาต สะดุดตาอย่างยิ่ง
……………………….