Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 986 เริ่มงานประเมินหิน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 986 เริ่มงานประเมินหิน
ตรงตำแหน่งริมหน้าต่างหอสุรา ชายในชุดสีดำคนหนึ่งนั่งอยู่ ยังอายุน้อยมาก ผิวขาวเนียน แฝงกลิ่นอายความเย่อหยิ่งเย้ายวน
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นลูกหลานตระกูลร่ำรวยคนหนึ่ง ข้างกายยังมีสาวใช้วัยแรกแย้มคู่หนึ่งคอยรินเหล้าและคีบอาหาร ปรนนิบัติอย่างไม่ขาดตก
ก่อนหน้านี้เป็นเขานี่แหละที่บอกว่าสามารถสังหารเทพมารหลินได้อย่างง่ายดายเหมือนเชือดไก่
“สหายคนนี้พูดเกินไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรการที่เทพมารหลินนั่นฆ่าอสูรเฒ่าแรดดำซึ่งเป็นบุคคลในระดับราชันได้ ย่อมไม่ธรรมดา” มีคนไม่เห็นด้วย
ชายชุดดำหลุดขำ “เพราะเจ้าไม่รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าแข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้นแม้อสูรเฒ่าแรดดำจะเป็นราชัน แต่กลับเป็นราชันปลอม พึ่งจะก้าวสู่ระดับราชันสิบกว่าปีเท่านั้น ถือว่าเป็นราชันที่อ่อนแอที่สุด ถูกสังหารไปก็ไม่มีอะไรน่าตกใจ”
เขาผ่อนคลายมาก การพูดจาเผยความย่ามใจเต็มประดา
นี่ทำให้หลายคนดูแล้วขัดตาพลันพูดว่า “ราชันก็คือราชัน แม้จะเป็นราชันที่อ่อนแอที่สุด ก็ใช่ว่าใครจะสามารถวิจารณ์ได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นหากเทพมารหลินนั่นอยู่ เจ้ายังกล้าพูดเช่นนี้หรือ”
ชายชุดดำดื่มเหล้าจอกหนึ่งอย่างสบายๆ พูดเรียบๆ “เท่าที่ข้ารู้ พลังปราณของเขาอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติเท่านั้น การจะสังหารเขาง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ข้าไม่เพียงกล้าพูดเช่นนี้ ยังกล้ากำจัดเขาให้สิ้นซากภายในฝ่ามือเดียว!”
หลินสวินอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก อดเหลือบมองคนผู้นี้ปราดหนึ่งไม่ได้ เจ้าหมอนี่กลิ่นอายเย้ายวน แม้ไม่ได้เผยความเผด็จการและอวดดีอันใด แต่กลับดูเย่อหยิ่งและจองหองอย่างที่สุด
ความย่ามใจเช่นนี้ชวนให้รู้สึกเอือมระอามากจริงๆ พลันมีคนพูดว่า “เทพมารหลินที่มาจากแดนฐิติประจิมคนนี้เป็นเพียงแค่คนหนุ่มคนหนึ่ง พลังปราณก็บรรลุสู่ระดับกระบวนแปรจุติแล้ว นี่ก็น่าตกใจมากแล้ว ขอถามหน่อยว่าสหายเจ้าอยู่ในระดับใด”
“ข้าผู้ไร้สามารถ ก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติตอนอายุสิบสี่” ชายชุดดำพูดสบายๆ
ทันใดนั้นทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างตะลึง ตระหนักได้ว่าชายชุดดำจะต้องเป็นบุคคลแห่งยุคคนหนึ่งอย่างแน่นอน มิน่าถึงได้กล้าจองหองเช่นนี้
“ขอถามว่าคุณชายมีนามว่าอะไร” มีคนอดถามไม่ได้
“หนานกงสุ่ย”
“ใช่หนานกงสุ่ยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์หรือไม่”
“ฮ่าๆ หรือบนโลกนี้ยังมีข้าคนที่สองด้วยหรือ” ชายชุดดำยิ้ม มุมปากปรากฏองศาเย่อหยิ่ง
“ถึงว่า ที่แท้ก็เป็นหนานกงสุ่ยหนึ่งในหกผู้สืบทอดแท้จริงแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ในแคว้นกู่ชางน้อยมากที่จะมีคนรุ่นเดียวกันสู้เขาได้”
“คู่ผู้กล้าตระกูลหนานกง พี่ชายหนานกงสุ่ย น้องชายหนานกงหั่ว ปัจจุบันล้วนเป็นบุคคลที่สะดุดตาในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์”
ทุกคนในหอสุราอุทานด้วยความตกใจ วิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา เห็นได้ชัดว่าล้วนเคยได้ยินเรื่องของหนานกงสุ่ย
แต่หลินสวินกลับอึ้งงันไป
จู่ๆ เขาก็นึกถึงตอนที่อยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่า แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เคยส่งคนมาเยือนโลกชั้นล่างและไปถึงสำนักศึกษามฤคมรกต
หนานกงหั่วก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตอนนั้นข้ารับใช้คนหนึ่งที่ติดตามหนานกงหั่ว เล่นงานลูกศิษย์สำนักศึกษามฤคมรกตจนไม่มีใครสามารถต้านทานได้
จากนั้นก็เพราะตนลงมือ จึงกำราบพวกเขาได้
หลินสวินจำได้แม่นว่า ตอนนั้นหนานกงหั่วเองก็หยิ่งผยองมากเช่นกัน แต่กลับถูกตนเตะจนก้นลาย แทบคลั่งอยู่แล้ว
สุดท้ายเพราะสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันที่ชื่อเยวี่ยซิวออกหน้าไกล่เกลี่ย จึงคลี่คลายสถานการณ์ตอนนั้นได้
สิ่งที่หลินสวินคิดไม่ถึงคือ กลับเจอพี่ชายของหนานกงหั่วที่นี่!
‘หรืออีกฝ่ายเดาฐานะของข้าออกแล้ว จึงแสดงท่าทีดูถูกข้าเช่นนี้’ หลินสวินใคร่ครวญ
……
ช่วงบ่าย งานประเมินหินเริ่มขึ้นตามกำหนด
บริเวณชานเมืองพลันคึกคักขึ้นมาในชั่วขณะ ท้องฟ้ามีรุ้งศักดิ์สิทธิ์บินออกมาเป็นระยะๆ ผู้คนแออัด ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์
พวกเขาต่างเร่งรีบไปที่สวนขนาดใหญ่แห่งนั้น
หลินสวินเองก็มาแล้ว เพียงแต่เขาในตอนนี้กลับอยู่ในชุดภิกษุสีดำ ในมือถือลูกประคำ ศีรษะหน้าผากใสสะอาด ใช้เคล็ดวิชามหาไร้รูปแปลงกายเป็นภิกษุหนุ่มคนหนึ่ง
ถ้ามู่เจิ้งผู้เป็นหนึ่งในสิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์อยู่ที่นี่คงโกรธจนกระอักเลือด เพราะรูปลักษณ์ที่หลินสวินแปลงออกมาก็คือเขา
พอหยิบป้ายคำสั่งที่เกาเทียนอีให้ออกมา หลินสวินก็เข้าไปในสวนแห่งนั้นได้อย่างราบรื่น
ทอดสายตามองไป ที่แห่งนี้มีทั้งศาลาห้องโถง ต้นไม้เก่าแก่เขียวชอุ่ม ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นเงาร่างผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์ทุกแห่งหน ในขณะเดียวกันก็มีผู้ฝึกปราณจำนวนมากทยอยเข้ามา
ฟิ้ว!
แสงศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่ามสายหนึ่งกวาดผ่านท้องฟ้า นั่นเป็นยานสำเภาลำหนึ่ง แสงมงคลหมื่นสายกดข่มชั้นเมฆ ตรงลงมายังส่วนลึกของสวน
ผู้คนฮือฮาขึ้นมาทันที สายตาต่างมองไป
“บุคคลสำคัญและผู้โดดเด่นแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มาแล้ว!”
“ช่างเป็นกลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งนัก แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์สมกับที่เป็นสำนักอันดับหนึ่งของแคว้นกู่ชาง ผู้สืบทอดที่บ่มเพาะออกมาล้วนแข็งแกร่งจนน่าตกใจ”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หลายคนต่างเห็นเงาร่างสีทองเคลื่อนผ่าน นี่คือชายหนุ่มในชุดคลุมสีทอง เขามีมาดบริสุทธิ์งดงาม ร่างกายสูงโปร่ง อาบแสงสีทองรอบกาย ดูเหมือนสุริยันดวงใหญ่ที่สว่างไสว กลิ่นอายน่าตกใจ ดุจดั่งเทพองค์หนึ่งไม่มีผิดเพี้ยน
ข้างหลังเขา กลุ่มหนุ่มสาวชายหญิงล้อมเข้ามาราวกับดาวล้อมเดือน ยิ่งขับเน้นให้ชายหนุ่มชุดคลุมทองดูไม่ธรรมดา
ฉู่เป่ยไห่!
บางคนไม่จำเป็นต้องจงใจแสดงออก เพียงแค่การกระทำอย่างง่ายๆ ก็ดูไม่ธรรมดาแล้ว ฉู่เป่ยไห่ก็เป็นเช่นนี้อย่างไม่ต้องสงสัย บุคลิกลักษณะองอาจห้าวหาญ ท่วงท่าโดดเด่น ราวกับนกกระเรียนในฝูงไก่ ประกายสีทองอร่ามสว่างไสวรอบกาย งดงามโดดเด่น
ตอนนี้หญิงสาวรุ่นเยาว์หลายคนต่างเผยสีหน้าหลงใหลคลั่งไคล้ ส่วนผู้ฝึกปราณชายเหล่านั้นก็เผยสีหน้าเคารพนับถือและชื่นชมเช่นกัน
คนผู้หนึ่ง เพิ่งจะปรากฏตัว บุคลิกก็ครอบงำทั้งลานแล้ว!
แม้แต่หลินสวินยังต้องยอมรับว่า ฉู่เป่ยไห่นี่ช่างสมกับที่เป็นบุคคลแห่งยุคผู้หนึ่ง บุคลิกยอดเยี่ยม อยากไม่สังเกตเห็นยังยาก
แน่นอนว่าบุคคลเช่นนี้หลินสวินเห็นมามากแล้ว อย่างน้อยก็ซุ่นไป๋เสวียน อวี่หลิงคง หรือแม้แต่มู่เจิ้งที่เขาจงใจปลอมตัวในตอนนี้ก็ไม่ด้อยไปกว่าคนผู้นี้
เขาไม่ได้สนใจนัก ที่ทำให้เขาประหลาดใจจริงๆ คือ เขาเห็นคนรู้จักคนหนึ่งในบรรดาชายหญิงที่อยู่ด้านหลังฉู่เป่ยไห่
นั่นเป็นชายหนุ่มในชุดคลุมขาว รูปร่างงามสง่า เป็นกู้อวิ๋นถิงนั่นเอง!
ปีนั้นยามอยู่ในสำนักศึกษามฤคมรกต กู้อวิ๋นถิงคนนี้เป็นถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงไม่เป็นสองรองใคร มีพรสวรรค์กายสุวรรณมรรคอัคคี ได้รับความเคารพนับถือจากคนในรุ่นเดียวกันมากมาย
แต่หลินสวินเคยขัดแย้งกับเขา แม้ไม่เคยสู้กันอย่างจริงจัง แต่ความสัมพันธ์กลับแย่ลงมาก
วันนี้หลังจากผ่านไปหลายปี พอมาเจอกันในแดนชัยบูรพาแห่งนี้ก็ทำให้หลินสวินอดแปลกใจไม่ได้
อันที่จริงเมื่อไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้ว ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของจักรวรรดิจื่อเย่าที่เดินทางมายังดินแดนรกร้างโบราณในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นไป๋หลิงซี เซี่ยอวี้ถัง หรือกู้อวิ๋นถิงที่เห็นตรงหน้าตอนนี้ ล้วนแยกย้ายเข้าไปฝึกปราณในสำนักโบราณแต่ละแห่ง
กลับเป็นเขาหลินสวินที่ดูย่ำแย่ที่สุด จนถึงตอนนี้ยังคงตัวคนเดียว ต่อสู้เพียงลำพัง
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความแตกต่างระหว่างการมีและไม่มีสำนัก
ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ากู้อวิ๋นถิงมีชีวิตที่ไม่เลวเลย ติดตามอยู่ด้านหลังฉู่เป่ยไห่ แม้ความเฉียบคมจะถูกอีกฝ่ายบดบังไป แต่จากเรื่องนี้สามารถดูออกว่า ฐานะของเขาในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไม่ต่ำเลย
เพียงแต่เมื่อเทียบกับฉู่เป่ยไห่ยังด้อยกว่าบ้างก็เท่านั้น
ทันใดนั้นหลินสวินก็สังเกตเห็นคนคุ้นเคยอีกคน เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมหยกแดงเพลิง แต่งตัวเต็มยศ ใบหน้าหล่อเหลาและหยิ่งผยอง เป็นหนานกงหั่วที่เคยถูกเขาเตะจนก้นลาย
ไม่นานหลินสวินก็เก็บสายตา
เขารู้ดีว่าในลูกศิษย์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษามฤคมรกตล้วนถูกส่งมาฝึกปราณในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ เพราะฉะนั้นการจะเจอคนรู้จักที่นี่บ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก
“ภิกษุ อย่าขวางทาง!”
เสียงตวาดเย้ายวนดังขึ้นข้างหู ทีแรกหลินสวินยังไม่รู้ตัว จากนั้นจึงตระหนักได้ว่านี่เป็นคำที่กำลังสั่งตน
พอหันมาหลินสวินก็เห็นหนานกงสุ่ยที่ประกาศกร้าวว่าสามารถฆ่าเขาเหมือนเชือดไก่
ชายชุดดำที่เย้ายวนเอามือไพล่หลัง ยังคงจองหองและเย่อหยิ่ง มีสาวใช้สองคนคอยติดตาม ตอนนี้กำลังจ้องตนด้วยสีหน้าเย็นชา
“ที่แท้ก็เป็นสหายยุทธ์หนานกง” หลินสวินยิ้มพูด
หนานกงสุ่ยชะงัก ขมวดคิ้วพูด “เจ้าเป็นใคร”
“อาตมามู่เจิ้ง” หลินสวินประสานมือทั้งสอง บุคลิกเคร่งขรึม เลียนแบบลักษณะท่าทางอันสง่างามและสงบนิ่งของมู่เจิ้งได้เหมือนมาก
“ข้ารู้จักเจ้าหรือ” หนานกงสุ่ยแปลกใจ
“อาตมารู้จักสหายยุทธ์หนานกงก็พอแล้ว” หลินสวินยิ้มพูด แม้ตอนนี้มรรควิถีของเขาจะลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ แต่นิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นกลับไม่ได้เปลี่ยนไปนัก
หนานกงสุ่ยคนนี้เคยประกาศกร้าวว่าจะกำจัดเขาให้สิ้นซากภายในฝ่ามือเดียว ถ้าเขาไม่ได้ยินก็ช่างเถอะ แต่เขากลับได้ยินเข้า นี่ไม่ต่างอะไรกับการท้าทายเขาต่อหน้า
“คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร” หนานกงสุ่ยรู้สึกว่าภิกษุที่อยู่ตรงหน้าดูอย่างไรก็ผิดปกติ แปลกประหลาดมาก
“เพราะหากมีโอกาส ไม่แน่ว่าสหายยุทธ์อาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากข้า” หลินสวินพูดอย่างจริงจัง
“ช่วยอะไร ภิกษุ เจ้าอย่ามาใช้อุบายเล่ห์เหลี่ยมกับข้าให้มากนัก” หนานกงสุ่ยแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นเยียบ
“ธรรมนั้นมิอาจพูด ยังไม่ถึงเวลา ฝืนมิได้” หลินสวินพูดเนิบนาบ กล่าวจบก็หันหลังเดินไป
“เจ้าลาหัวโล้นนี่ อายุแค่นี้ก็ลวงคนเป็นแล้ว ข้าว่าพวกบำเพ็ญธรรมใช้ไม่ได้สักคน!”
หนานกงสุ่ยยิ้มเยาะ เขารู้สึกประหลาดใจมาก ตอนที่พูดเขาก็นำสาวใช้สองคนจากไปแล้ว
……
หลังจากเดินเล่นในสวนสักพัก หลินสวินก็มาถึงบริเวณที่ประมูลหิน
บนพื้นหญ้าสีเขียวขจี ศิลาอุกกาบาตสารพัดรูปแบบวางกองกระจัดกระจายอยู่ มีทั้งใหญ่และเล็ก ล้วนแผ่ประกายดาวสีเงินออกมา
นี่คือรอบนอกของงานประเมินหิน คุณลักษณะของศิลาอุกกาบาตที่จัดแสดงถือว่าอยู่ระดับทั่วไปเท่านั้น ยิ่งลึกเข้าไปเท่าไหร่ คุณภาพของศิลาอุกกาบาตก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
อย่างศิลาอุกกาบาตที่ดึงดูดให้ฉู่เป่ยมาเยือน ก็อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของสวน นั่นไม่ใช่สถานที่ที่ใครก็สามารถเข้าไปได้ง่ายๆ
ครั้งนี้หลินสวินเพียงแค่มาเสี่ยงดวงเท่านั้น ถึงอย่างไรป้ายคำสั่งที่เกาเทียนอีให้เขามา ก็เทียบเท่ากับแกนวิญญาณขั้นสูงสี่หมื่นก้อน หากไม่ใช้จะเป็นการสิ้นเปลืองเกินไป
เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ตั้งใจดูอย่างละเอียด ใช้จิตรับรู้ไปสัมผัส
ก่อนหน้านี้ตอนที่ขุดโอสถราชันสามต้นจากก้นทะเลสาบของหาดดาราขจร เขาเพียงแค่ได้มาด้วยความบังเอิญเท่านั้น ถือเป็นความโชคดีล้วนๆ
แต่ตอนนี้กลับแตกต่าง ศิลาอุกกาบาตทุกก้อนล้วนจัดแสดงอยู่ตรงนั้น ด้านบนระบุราคาที่แตกต่างกัน ให้คนได้เลือกและประเมิน
หากศิลาอุกกาบาตที่เลือกผ่าออกมาแล้วไม่มีสมบัติ นั่นก็เท่ากับเสียเงินไปเปล่าๆ
นี่คือสิ่งที่เรียกกันอย่างแพร่หลายว่า ‘การพนันหิน’
สำหรับการพนันหิน หลินสวินไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด จึงตัดสินใจลองหยั่งเชิงบริเวณรอบนอกนี้ก่อน ดูว่าศิลาอุกกาบาตนี่เลือกอย่างไรกันแน่ จะสามารถผ่าของดีอะไรออกมาได้หรือไม่
น่าสนใจ!
ไม่นานหลินสวินก็สังเกตเห็นว่า ภายในศิลาอุกกาบาตทุกชิ้นล้วนมีพลังคลุมเครือพลุ่งพล่านอยู่ สามารถสกัดกั้นการตรวจจับของจิตรับรู้ ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าภายในมีอะไรซ่อนอยู่
และไม่สามารถตัดสินได้ว่า นี่ใช่หินที่ไร้ประโยชน์หรือเปล่า
ทว่าพอหลินสวินใช้นัยน์ตาเฉาเฟิง ทุกสิ่งที่เห็นตรงหน้ากลับแตกต่างไป…
………………