Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 10
#อ๊ากกกก ในที่สุดก็ต้องใช้ราชาศัพท์ ยุ่งยากเป็นที่สุดดดดด แปลนี่ว่ายากแล้วนะ หาคำมาใช้นี่ยากกว่าอีก ผิดตรงไหน ต้องแก้ไขอย่างไร กรุณาแจ้งด้วย จะรีบทำการแก้ไข
#เจ้าหญิงเจ้าชายนี่ต้องใช้ราชาศัพท์ระดับเจ้าฟ้าใช่ไหม?
# (ノಠ益ಠ)ノ彡┻━┻
#ใช้อาณัติตามเดิมนะครับ เพื่อความสะดวกของผู้แปล ฮาาาาา
ในโลกมารมีเผ่าพันธุ์อยู่หลากหลาย
เผ่ามังกรผู้สืบเชื้อสายจากเทพมังกรก่อเกิด ซัคคุบัสและอินคุบัสที่ไวต่อสเน่ห์ของบุคคล แวมไพร์ที่ให้ความสำคัญแก่โลหิตและวิญญาณ สุรที่มีความสามารถในการต่อสู้สูงที่สุด เอลฟ์รัตติกาลที่ถูกขับออกมาจากเผ่าเทพเดิม
ถ้าจะให้ไล่ทุกเผ่าพันธุ์ก็คงจะไล่ได้ไม่หมด
ในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมดที่มีปริมาณเท่าจำนวนเม็ดทราย มีเพียงหนึ่งหยิบมือเท่านั้นที่แสดงความสามารถอันโดดเด่นออกมา
เผ่าไลแคนโทรปเป็นหนึ่งในหยิบมือนั้น พวกมันมีพลังชีวิตที่สูงมาก ซ้ำยังคงทนต่อการผันเปลี่ยนของกาลเวลา และด้วยสัญชาตญาณดิบของสัตว์ป่าที่มีติดตัวตั้งแต่เกิด ทำให้เผ่าไลแคนโทรปถือได้ว่าเป็นสุดยอดนักล่า
เหล่าไลแคนโทรปกำลังหายใจอย่างรุนแรง
ลักษณะภายนอกของพวกมันสามารถจำแนกได้หลากหลาย เสือ หมาป่า หมี และอื่นๆ
พวกมันไม่ได้หายใจอย่างรุนแรงเนื่องความเหนื่อยล้า แต่เพื่อข่มตนไม่ให้สูญเสียสติไปกับสัญชาตญาณนักล่าที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
กลิ่นเลือดทั่วสมรภูมิรบเป็นสิ่งยั่วยวนอย่างดีสำหรับนักล่าเหล่านี้ บ้างที่สูญเสียการควบคุม กระโดดเข้ากัดแทะซากของเหล่าออร์คที่ล้มตาย
ในบรรดาเหล่าไลแคนโทรป มีหนึ่งตนที่ต่างออกไป
นางมีเส้นผมสีน้ำเงินกำมะหยี่ ในชุดหนังที่โชกเลือด
เคทลิน มูนไลท์
องค์หญิงลำดับแปดกำลังหลับตาลงเพื่อควบคุมลมหายใจของนาง
ถึงแม้เธอจะเป็นเพียงลูกผสมระหว่างไลแคนโทรปกับสุร แต่ไม่มีใครกล้าปฎิเสธตัวตนของเธอ
หลังจากสูดดมกลิ่นอยู่นาน เธอก็ลืมตาขึ้นมองไปโดยรอบแล้วขมวดคิ้ว
‘มันหนีไปได้’
เธอถล่มกองทัพของไคชินสำเร็จ แต่พลาดในการสังหารไคชินและไคดุม
‘มันช่วยไม่ได้’
ในการตะลุมบอนที่เกิดขึ้น ทั้งสองเป็นพวกขี้ขลาดที่หนีทัพ
#ก็นะ ถ้าไม่หนีทัพ พระเอกเราก็อดผลงานสิ
‘ใช่แล้ว มันช่วยไม่ได้’
เธอพยายามเกลี้ยกล่อมตัวเองแต่ก็ไร้ผล เธอเตะพื้นดินโดยรอบด้วยความหงุดหงิด
“ใต้ฝ่าพระบาทเพคะ”
เคทลินหันไปมองทหารที่มาเรียกเธอ
“มีอะไรหรือ เซร่า”
ที่คุกเข่าคำนับอยู่เบื่้องหน้าคือทหารองครักษ์ประจำตัวของเธอ ไลแคนโทรปเสือดาว เซร่า แม้เส้นผมสีทองของเธอจะชโลมไปด้วยเลือด แต่เธอไม่มีอาการเสียสติแต่อย่างใด
“บาดเจ็บตรงไหนไหม?”
เคทลินถามอย่างอ่อนโยน
“เป็นพระกรุณาที่ทรงห่วงใย ข้าพระพุทธเจ้าไม่เป็นอะไร ข้าพระพุทธเจ้ามีเรื่องจะกราบทูล ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดกล้าโปรดกระหม่อม”
“หืม? มีอะไรรายงานงั้นหรือ?”
การต่อสู้จบลงไปแล้ว เคทลินไม่คิดว่าจะมีอะไรต้องรายงานอีก เซร่าขยับเข้าใกล้เพื่อรายงาน
“ขอพระราชทานกราบทูลทราบฝ่าพระบาท ไคชินและไคดุม ทั้งคู่ถูกสังหารเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพคะ”
เป็นข่าวดี แต่เคทลินรู้สึกสงสัยมากกว่าจะยินดี
“ฝีมือใคร?”
ทั้งคู่หนีทัพตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น จะบอกว่ามีทหารบางส่วนไล่ตามไปก็ไม่น่าใช่
เซร่ากระแอมเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“องค์ชายฉัตรเพคะ”
“ฮ่ะ?”
เคทลินสงเสียงออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ นั่นเพราะชื่อของฉัตรโผล่ออกมาอย่างไม่มีใครคาดคิด
เซร่าเข้าใจความคิดของเคทลิน เธอรายงานต่อไปด้วยร้อยยิ้มแห้งๆ
“องค์ชายทรงเข้าขัดขวางการหลบหนีของทั้งคู่ ทั้งนี้พระองค์ท่านทรงปลิดชีพไคดุมด้วยตัวพระองค์เองเพคะ”
เคทลินได้แต่จ้องมองอย่างงงงวย เซร่าเข้าใจอาการของเจ้านายของเธอเป็นอย่างดี
‘เราก็คิดเหมือนกัน’
แต่อย่างไรก็ตาม นี่คือความจริง
องค์ชายลำดับที่เก้า ฉัตร อิกษณา
องค์ชายที่อ่อนแอที่สุดเป็นผู้ได้รับความดีความชอบมากที่สุดจากการจับกุมไคชินและไคดุม
&
เขาได้รางวัลจากการจับศัตรู
เขาเพิ่มเลเวลขึ้นมาสามเลเวล และเรียนรู้ทักษะเทเลคิเนซิส
มันเป็นเรื่องที่ดี แต่อินกองก็ไม่รู้สึกสบายใจมากนัก
‘มันคืออะไรกันนะ?’
สตรีชุดขาวที่เขาเห็นในระหว่างการต่อสู้
นางสวมชุดสีขาวและมีมงกุฎสีทองอยู่บนหัว ตาของนางข้างหนึ่งสีแดง ข้างหนึ่งสีน้ำเงิน นางดูสง่างามเกินกว่าที่จะมีตัวตนจริง
‘ไม่สิ แทนที่จะบอกว่าสง่างาม…นางดูต่างออกไป?’
พูดโดยง่ายว่านางไม่ใช่คนปกติทั่วไปอย่างแน่นอน
แต่ว่านางเป็นใครกันแน่? นางไม่เคยปรากฎตัวในบทกวีแห่งผู้กล้า
‘หรือว่านางเป็นตัวละครสำคัญที่จะโผล่แค่ในช่วงเวลาคับขัน?’
หรือบางที นางอาจจะเป็นคนที่พาเขามายังโลกนี้ก็เป็นได้
‘ลงทัณฑ์ ศิโรราบ ปกครอง’
คำที่นางบอกเขาโผล่ขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
อินกองเปิดหน้าต่างสถานะและทักษะขึ้นมา
[อาชีพรอง: อาชาแห่งอาณัติ ขั้น1] [อาณัติ ขั้น1] [ใต้ร่มเงากษัตริย์ ขั้น1]
ทักษะอาณัติเปิดทำงานและเปลี่ยนเป็นขั้น1 แต่ก็เหมือนพลังพระเอก เขาไม่สามารถเพิ่มขั้นให้ทักษะนี้ได้ผ่านทางแต้มของเขา
‘อาณัติ กับ อาชา’
มันเป็นทักษะและอาชีพที่ไม่มีให้ใช้ในบทกวีแห่งผู้กล้า
‘ใต้ร่มเงากษัตริย์เป็นทักษะเสริมพลัง… ความสามารถของอาณัติก็คือบารมีแห่งพระราชา… หรือว่านั่นจะเป็นเหตุที่สตรีชุดขาวสวมมงกุฎบนหัว?’
อินกองคิดอยู่นานก็คิดไม่ตก
‘เฮ้อ ช่างมันเถอะ ถ้านางไม่ใช่ตัวประกอบ ไปเรื่อยๆเดี๋ยวนางก็โผล่มาอีกแหละ’
เขามีข้อมูลน้อยเกินไป คิดไปก็ไม่มีคำตอบ เขาจึงหยุดคิดแต่เพียงเท่านี้
‘นี่ถ้าเราไปที่หอสมุด มันน่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่’
หอสมุดในวังของจอมมารได้รับการดูแลโดยเอลเดอร์ลิช (elder lich) ข้อมูลในนั้นได้รับการบันทึกรักษามานาน เพราะฉะนั้นก็น่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับอาชาแห่งอาณัติอยู่บ้าง
‘แต่จะขอเข้าไปหาข้อมูลได้ เราก็ต้องเก่งกว่านี้ก่อนละนะ’
มีกฎติ๊งต๊องอยู่ในโลกมารและวังจอมมาร
หากเลเวลน้อยเกินไปจะไม่สามารถใช้สถานที่บางอย่างได้ ยิ่งถ้าจะใช้ร้านเหล็ก และหอเวทก็ยิ่งต้องการเลเวลที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก
#อารมณ์แบบ เลเวลน้อยยังไม่พร้อม เข้าไปก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ จะเจ็บตัว หรือว่าสถานที่เสียหายก็ว่าไปอย่าง
หอสมุดต้องใช้เลเวลสูงพอสมควร แม้แต่แซเฟียร์ก็ไม่สามารถเข้าไปใช้ได้ในช่วงต้นเกม
‘แค่นี้ก็ถือว่าดีพอละ’
ตอนนี้เขาเลเวลแปด แม้จะยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของคารัค แต่ก็ถือว่าไม่น้อยหากดูเวลาที่เขาเพึ่งมาอยู่
‘จะว่าไปแล้ว’
อินกองเพึ่งจะฆ่าออร์คตายคามือ แต่เขากลับไปรู้สึกอะไรทั้งสิ้น
‘เอิ่ม จริงๆตอนนี้เราน่าจะกระทบกระเทือนทางจิตใจปะ?’
หรือเขาจะเป็นพวกวิกลจริต? นั่นก็ไม่ใช่ บางทีอาจจะด้วยเพราะเขาอยู่ในการต่อสู้ ไม่ฆ่าก็ถูกฆ่า
#ใช่แล้ว ไม่ฆ่าก็ถูกฆ่า แต่กฎหมายก็ถือว่าผิดนะเอ้อ
‘อาจจะเป็นเพราะว่านั่นมันคือออร์ค’
ถึงจะดูจะผิดต่อคารัคอยู่บ้าง แต่อินกองยังไม่ถือว่าออร์คเป็นเพื่อนร่วมโลก อาจจะด้วยรูปร่างที่ต่างกันอย่างสุดขั้ว
#เพราะมันคิดกันแบบนี้ไง ถึงได้เกิดสงคราม
“องค์ชาย”
“ฮ่ะ?”
อินกองเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียกของคารัค คารัคมองอินกองด้วยสายตาราวกับมองคนบ้า พลางชี้ไปที่ทางเดินข้างนอก
“ใครสักคนกำลังเดินทางมา”
“ใคร?”
อินกองถามแต่ไม่มีคำตอบ เขาจึงชะโงกหน้าออกไปดูที่ตีนเขา
‘เคทลิน?’
เคทลินเดินทางขึ้นเขามาด้วยเวลาอันรวดเร็ว ทำให้เขามีเวลามองสำรวจได้ไม่นานนัก
“เป็นอะไรไหม? บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
เคทลินถามอย่างเป็นห่วง พลางมองดูเสื้อผ้าเปื้อนเลือดของอินกอง
“เธอ… ไม่สิ แล้วนูนะละ ไม่บาดเจ็บใช่ไหม?”
อินกองเป็นห่วงเคทลินมากกว่าตัวเขาเองเสียอีก เสื้อผ้าของเขามีรอยเลือดเพียงเล็กน้อย ผิดกับเคทลินที่แม้แต่เส้นผมของเธอก็กลายเป็นสีเข้มจากคราบเลือด
เคทลินยักไหล่ให้กับอินกอง
“เลือดพวกนี้ไม่ใช่ของฉัน”
‘โห ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีคนใช้คำพูดนี้จริงๆ’
เคทลินขยับเข้าใกล้อินกองแล้วจ้องเข้าไปในตาของเขา
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ผมจะเล่าให้ฟังครับ”
อินกองสรุปเรื่องโดนสั้นให้เธอฟัง เขาเจอถ้ำในระหว่างลาดตระเวน เข้าไปสำรวจข้างใน พบกับกลุ่มของไคชินที่ทางออก
‘เรื่องอาวุธดวอฟ ให้มันอยู่เงียบๆในช่องเก็บของไปเถอะนะ’
อินกองมองไปที่ช่องเก็บของอย่างกระสับกระส่ายก่อนจะมองกลับมาที่เคทลิน
‘เธอจะมีปฏิกริยายังไงบ้างละนิ?’
เคทลินเป็นคนวางแผนแบ่งกำลังในการประชุมเมื่อวาน บางทีที่เธอใจดีอาจเป็นเพราะเขาดูไม่มีพิษภัยก็เป็นได้ ทว่าตอนนี้ อินกองกลับได้ความดีความชอบไปมากที่สุด นั่นอาจจะทำให้ทีท่าของเธอเปลี่ยนไป
เคทลินจะมีอาการอย่างไรนะ?
เธออาจจะระแวง? หรือเธอจะปฏิบัติกับเขาแบบเดียวกับที่แซเฟียร์ทำ?
“สุดยอด”
“อ๋า?”
“มันสุดยอดมาก ที่เธอสร้างผลงานทั้งหมดขึ้นเอง!”
มันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด เคทลินหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ในหน้าของเธอดูงดงามมาก แม้ร่างของเธอจะเต็มไปด้วยคราบเลือดก็ตาม แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าดอกไม้แรกแย้ม
#แรกแย้มในกองเลือด…ไม่มั้งเพื่อน
เคทลินดูต่างไปจากเมื่อวาน ดูเหมือนเธอยินดีจากก้นบึ้งของหัวใจที่น้องชายเธอมีผลงานซะที
‘เอิ่ม สงสัยเราจะมองโลกแง่ร้ายมากไป’
อินกองรู้สึกแย่กับความคิดดำมืดของเขา
‘แซเฟียร์เล็งกำจัดคนแบบนี้เนี่ยนะ? สมกับที่เป็นแซเฟียร์จริงๆ’
แซเฟียร์กำจัดญาติพี่น้องทั้งหมดเพื่อให้หมดสิ้นเสี้ยนหนาม มันคงยากที่จะผูกมิตรกับคนแบบนั้น
อย่างน้อยข้อสงสัยในหัวข้ออินกองก็หมดไปอีกหนึ่ง ทั้งเคทลินและสตรีชุดขาวต่างเรียกได้ว่าเป็นหญิงงามทั้งคู่ จะต่างกันก็ตรงที่เคทลินดูเป็นคนจริงๆ ในขณะที่สตรีชุดขาวดูไม่ใช่มนุษย์
“เธอเก่งกว่าที่ฉันคิดเอาไว้นะ แบบนี้สิค่อยดูพึ่งพาได้หน่อย”
เคทลินตบไหล่อินกองเบาๆ แต่ในขณะนั้น อินกองกลับคิดไปอีกอย่าง
‘เราเรียนเทเลคิเนซิสมาได้ เพราะโดนมันอัดเข้าใช่มะ?’
โชคร้ายที่อินกองไม่รู้จักนักบุญที่สามารถใช้รัศมีเทพได้ จะนักเวทที่ใช้เวทมนตร์ หรือนักรบที่ใช้ลมปราณ ก็อยู่ไกลเกินเอื้อม
แต่ว่าตอนนี้ มีเคทลินอยู่ต่อหน้าอินกอง
“นูนะครับ ผมขออะไรหน่อยสิ”
“ฮ่ะ? จะขออะไร? ไหนลองว่ามาซิ?”
เธอยิ้มเหมือนเธอดีใจที่เห็นน้องชายคิดจะพึ่งพาเธอ อินกองตอบเธอไปอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด
“ช่วยใช้ลมปราณอัดผมเข้าซักทีสิ”
เคทลินเปลี่ยนสีหน้าในทันที
คำฝากจากผู้แต่ง: จตุรอาชาแห่งวันโลกาวินาศ
ม้าขาวแห่งอาณัติ/ ม้าแดงแห่งรณการ/ ม้าน้ำเงินแห่งอาสัญ/ ม้าดำแห่งทุพภิกขภัย
#conquest war death famine