Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 101
“เจ้าชายลำดับที่สี่ซิลวาน ดูมเบลด ถวายบังคมราชินีเอเลน พระพุทธเจ้าข้า”
“เวลาได้ล่วงเลยมานานจากที่เราพบเจ้า ยังคงสบายดีหรือไม่?”
ซิลวานและเอเลนกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม ซิลวานที่ทะเล้นและขี้เล่นสามารถแสดงมารยาทออกมาได้อย่างเหลือเชื่อ ในทางตรงกันข้ามเอเลนกลับดูผิดแปลกไปจากทุกครั้ง
ไม่เกี่ยวว่าเรื่องดีหรือร้าย เพียงแค่นี่คือราชินีเอเลนในมุมมองที่อินกองไม่เคยเห็น
นี่คือเอเลนในมาดจักรพรรดินี นางอาจจะมีรูปลักษณ์อันไร้เดียงสาเช่นเดียวกับเคทลิน แต่การวางตัวและน้ำเสียงของนางให้ความรู้สึกอันน่าเคารพยำเกรง
นอกจากนี้ถ้อยคำของนางเป็นการสนทนาอย่างราชวงศ์ ต่างไปจากคำพูดเป็นกันเองในยามที่สนทนากับอินกอง
การทักทายของทั้งสองดำเนินต่อท่ามกลางความประหลาดใจของอินกอง
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระพุทธเจ้าข้า”
ซิลวานคำนับแล้วถอยหลังออกเว้นให้เฟลิซีก้าวเข้ามาแทนที่
“เจ้าหญิงลำดับที่หกเฟลิซี ดูมเบลด ถวายบังคมราชินีเอเลนพระพุทธเจ้าข้า”
ต่างไปจากเฟลิซีที่อินกองคุ้นเคย นี่เป็นเฟลิซีในมาดงานพิธีการ
เอเลนกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าได้เติบโตขึ้นเป็นโฉมงามในเร็ววัน เหตุวุ่นวายในป่าแมงมุมสร้างความหวั่นเกรงให้เรายิ่งนัก”
กัมมะได้เดินทางเพื่อขอกำลังเสริมจากเหล่าไลแคนโทรป ไม่แปลกที่ข่าวสำคัญขนาดนี้จะรับรู้ถึงเอเลน
เฟลิซีก้มหน้าลงเล็กน้อย
“เป็นพระคุณยิ่งนักสำหรับกำลังเสริมของเหล่าไลแคนโทรป ผู้พิทักษ์แห่งป่าแมงมุมได้ร่วมแสดงความสำนึกบุญคุณมาด้วย ณ ที่นี้ พระพุทธเจ้าข้า”
ในความเป็นจริงเหตุการณ์ได้จบลงก่อนเหล่ากำลังเสริมจะมาถึง กระนั้นเหล่าไลแคนโทรปก็ได้รีบเคลื่อนพลเพื่อสนับสนุน และเหล่าพรานป่าก็ได้รับปากเฝ้ามองสถานการณ์ของป่าแมงมุมอย่างรัดกุม ทั้งหมดนี้มากพอให้แสดงความขอบคุณ
เอเลนตอบกลับอย่างอ่อนโยน
“เจ้าถือเป็นลูกของเราเช่นกัน ทั้งหมดเป็นเรื่องปกติ”
แม้อาจไม่มีพันธะทางสายเลือด แต่เด็กเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนลูกในสายตาของเอเลน
เฟลิซีถวายบังคมก้าวถอยหลังกลบเกลื่อนอาการเขินอาย ถึงคราวของเคทลิน
“กลับมาแล้วค่ะท่านแม่”
ไม่มีการตอบสนองใดใดจากเอเลน ราวกับนางไม่ได้ยินคำพูดของเคทลินแต่อย่างใด
เคทลินกัดริมฝีปากของนางแล้วคำนับ
“เจ้าหญิงลำดับที่แปดเคทลิน มูนไลท์ ถวายบังคมราชินีเอเลน พระพุทธเจ้าข้า”
“เรายินดีที่เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย”
เอเลนยิ้มรับคำกล่าวทักทายของนาง เคทลินแสดงท่าทีต้องการกอดนางแต่ก็ไม่เป็นผล เอเลนหันหน้าไปอีกทางแล้วพูดขึ้น
“เจ้าชายเก้า”
เคทลินจำใจก้าวถอยออก อินกองกลืนน้ำลายแล้วแสดงความคำรพเลียนแบบซิลวาน
“เจ้าชายลำดับที่เก้าฉัตร อิกษณา ถวายบังคมราชินีเอเลน พระพุทธเจ้าข้า”
ผิวเผินดูเป็นการแสดงความเคารพที่ไม่แตกต่าง แต่น้ำเสียงและท่าทางดูต่างออกไปเล็กน้อย
อินกองชำเลืองมองเอเลนผู้แสดงรอยยิ้มอันต่างไปจากที่ผ่านมา
“นั่นเป็นแววตาที่ไม่เลวเลย”
เสียงอันอ่อนโยนเป็นเพียงฉากบังหน้าของสัตว์ร้าย อย่างที่อินกองคาดคิด เอเลนต่างจากเคทลินอย่างสิ้นเชิง ไม่มีเหตุอันควรให้เหล่าองครักษ์แสดงความภักดี นั่นทำให้เหลือเพียงดาฟเน่
“บุตรีแห่งสนมลำดับที่ห้าอิโค่ ดาฟเน่ถวายบังคมราชินีเอเลนพระพุทธเจ้าข้า”
เสียงของนางเกร็งสั่นคลอนเล็กน้อย แต่ทวงท่าของนางไม่แสดงถึงความผิดปกติอย่างใด เอเลนจ้องมองดาฟเน่อย่างขบขันก่อนสายตาของนางจะเลยไปเห็นแรคคูนตัวน้อยถัดจากดาฟเน่ แววตาของเจ้าแรคคูนดูไม่พอใจ
“ขอต้อนรับสู่ราชวังไลแคนโทรป ที่อยู่ข้างกายเจ้าคือสัตว์เลี้ยงรึ?”
คำถามจากเอเลนทำให้สมาชิกคณะอินกองตัวแข็งทื่อในทันที ดาฟเน่พยายามอ่านอารมณ์ของอมิตาภาก่อนตอบคำถาม
“เรื่องนั้น… ”
“สมาชิกเดินทางพระพุทธเจ้าข้า”
อินกองพูดแทรกเข้าช่วยดาฟเน่ เคทลินรีบก้าวขึ้นช่วยอธิบายเพิ่ม
“แรคคูนตัวนี้คือสุดยอดช่างฝีมือ อมิตาภาที่ร่ำลือกันค่ะท่านแม่”
การพูดแทรกต่อหน้าจักรพรรดินีเรียกได้ว่ามีโทษ แต่พวกเขาก็เลือกที่จะรับโทษนั้นด้วยความเกรงกลัวอารมณ์ของอมิตาภา ทว่าเอเลนไม่ได้กล่าวตำหนิติเตียนอย่างใด นั่นเพราะนางเคยได้ยินชื่อของอมิตาภามาก่อน
“ยินดีที่ได้พบอมิตาภา เจ้าพออภัยในความรู้ไม่ทั่วทันของเราได้หรือไม่?”
เอเลนยิ้มแล้วก้มศีรษะของนางลงเล็กน้อย อมิตาภาจ้องมองกิริยาท่าทางของนางแล้วส่ายหน้ากอดอก
“อมิตาภาไม่ถือสา”
“ขอบใจ”
ไม่ว่าจะเพื่อทำให้เอเลนรู้สึกไม่สบายใจหรือเหตุผลบางประการ อมิตาภาพูดตัดบทเสียงสั้นห้วน บรรยากาศที่เริ่มคุกรุ่นทำให้เอเลนรับรู้ว่านางไม่ควรตอแยเจ้าแรคคูน นางเลือกที่จะเปลี่ยนหัวข้าสนทนาโดยกล่าวแนะนำชายที่อยู่ข้างนาง
“ท่านผู้นี้คือปรมาจารย์บรูซ ไลแคนโทรปผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้มากที่สุดในอณาจักร”
#เขียนตกคำว่า ‘ลี’ อ่าวไม่ใช่หรอ? ขอโทษครับ (─‿‿─)
ปรมาจารย์บรูซเป็นชายสูงใหญ่ร่างกำยำ ศีรษะมีขนสีขาว ประดับด้วยขนเป็นระเบียบทั่วร่าง กล้ามเนื้อเป็นมัด ความสูงใกล้เคียงคารัค
บรูซแต่งกายเช่นเดียวกับคริสต์ เสื้อคลุมหนังสัตว์ทำให้ดูราวกับโจรป่า หรือในความคิดของอินกอง ชายผู้นี้คือต้นแบบการแต่งกายของคริสต์นั่นเอง
ในเกมบทกวีแห่งผู้กล้าไม่มีบทบาทของบรูซแต่อย่างใด มีเพียงคำกล่าวว่าเป็นปรมาจารย์การต่อสู้ของไลแคนโทรป เสียชีวิตก่อนเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าไลแคนโทรปราวสองสัปดาห์
บรูซจ้องมองอินกองอย่างเงียบเชียบ สายตาของนักสู้ระดับสูงชวนให้อินกองนึกถึงแววตาของปราชญ์ดาบ
ทว่าที่ไม่ใช่เวลาระลึกถึงเรื่องส่วนตัว
เอเลนมองสำรวจสมาชิกทั้งหมดแล้วกล่าว
“เราแปลกใจกับการเรียกตัวเล็กน้อย แม้เราจะไม่รับรู้ถึงสาเหตุแต่เราคาดเดาว่าไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า อย่าได้วิตกและใช้เวลาในวันนี้พักผ่อนให้สบายเถิด”
ท่าทางอันอ่อนโยนของนางให้ความรู้สึกดี เอเลนหันไปบอกกับคริสต์ที่อยู่ถัดจากนาง
“คริสต์ เราขอให้เจ้านำทางพี่น้องเข้าพักผ่อนได้หรือไม่?”
“พระพุทธเจ้าข้า”
คริสต์ตอบอย่างขึงขัง ซิลวานมองคริสต์ด้วยสีหน้าลำบากใจแต่คริสต์เลือกที่จะเมินเขา
เอเลนเพิกเฉยทั้งสองแล้วเรียกอินกอง
“เจ้าชายเก้า เรามีเรื่องพูดคุยกับเจ้า”
เฟลิซีสะดุ้งหรี่ตาจับจ้องเอเลนในทันที แต่อินกองแสดงอาการราวกับเป็นไปตามคาด
“พระพุทธเจ้าข้า”
แล้วทั้งหมดก็แยกเป็นสองกลุ่ม
คริสต์นำทางไปยังที่พัก ส่วนลุดวิกและกองพลโลหิตนำทางอินกองและเอเลน
นอกจากลุดวิกแล้ว เหล่ากองพลโลหิตต่างรักษะระยะห่างจากอินกองกับเอเลน นั่นทำให้ทั้งสามอยู่ในระยะนอกเหนือการได้ยินของเหล่าองครักษ์
เมื่อพวกเขาเดินทางมายังบริเวณสวนราชวัง เอเลนก็พูดออกมาในทันที
“แล้ว ตัดสินใจได้หรือยัง?”
มาดพิธีการของเอเลนหายไปในพริบตา
อินกองแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของนาง แต่เอเลนก็ทำเพียงยักไหล่
“อย่างที่บอก เจ้าเปรืยบเสมือนลูกของข้า ยิ่งกว่านั้นเจ้ายังเรียนรู้เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพจากทั้งคริสต์และเคทลินไม่ใช่รึ? นั่นยิ่งทำให้เจ้าเสมือนเป็นลูกของข้ายิ่งขึ้น หรือบางทีเจ้าอยากให้ข้ากอด?”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทำให้นางดูต่างจากเคทลิน แทนที่จะกอดเคทลินในร่างโฉมงาม อินกองเลือกตอบคำถามอย่างรววดเร็ว
“ผมเก็บไปคิดจนได้คำตอบแล้วครับ”
แม้จะมีคำตอบอยู่ในใจ อินกองยังคงลังเลอยู่เล็กน้อย เอเลนเห็นสีหน้าของเขาแล้วหัวเราะพลางเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้
“น่าสนใจมาก แล้วพอจะบอกเราได้ไหม?”
“ผมจะขึ้นเป็นจอมมาร”
คำตอบด้วยเสียงที่ไม่สะทกสะท้าน เอเลนเอียงศีรษะเล็กน้อยพลางถามต่อ
“เพราะอะไร?”
“ผมอยากรักษาบางอย่างเอาไว้”
เก็บรักษาสิ่งสำคัญ…
นั่นอาจไม่ใช่แรงจูงใจทีดูวิเศษ แต่ก็เพียงพอให้เอเลนพึงพอใจ
“ไม่เลว ไม่เลว ไม่ใช่ว่านั่นเป็นเหตุผลเดียวกับเรารึ?”
เอเลนเลือกไม่ถามถึงสิ่งที่อินกองต้องการรักษาเอาไว้ นางหันหน้าไปอีกทางแล้วเดินต่อ อินกองรีบก้าวเท้าเดินตามนางครู่นึงจนนางปริปากอีกครั้ง
“ฉัตร เผ่าไลแคนโทรปจะให้การสนับสนุนเจ้า อย่างที่คริสต์เคยกล่าวไว้ อนาคตที่เจ้าขึ้นเป็นจอมมารเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเผ่าเรา”
“แค่นั้นหรือครับ?”
“ถูกต้องแล้ว การรักษาสถานะเอาไว้ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเหมือนคำพูด ถ้าบอกว่าข้าไม่ต้องการสิ่งที่ดีกว่าก็คงเรียกว่าโกหก”
นางหัวเราะอย่างขบขัน ก่อนสีหน้าของนางจะเปลี่ยนอีกครั้ง นางหรี่ตาลงขมวดคิ้วใช้ความคิด
“ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชายหนึ่ง เจ้าชายสอง หรือว่าเจ้าหญิงสี่ ถ้าหนึ่งในสามนี้ขึ้นเป็นจอมมาร สถานะของเผ่าไลแคนโทรปคงเปลี่ยนแปลงแน่ กำลังพลทางฝ่ายแม่ของพวกนั้นมีมากมาย ต่างไปจากนักรบโง่เง่าอย่างสุรที่มีเพียงหยิบมือ”
ราชินีของเผ่าสุรไม่สนใจการแก่งแย่งทางการเมือง แม้แต่กาลาฮัดผู้เป็นหนึ่งในห้าแม่ทัพองครักษ์หลวงก็ทำเพียงเฝ้าประจำการปกป้องวัง
ทว่าเผ่ามังกรและเผ่าไนท์แมร์ไม่คิดเช่นนั้น
“เผ่าเอลฟ์รัตติกาลก็มีข้อกังวลที่ไม่ต่างกัน ครองใจพวกนั้นซะ โดยเฉพาะราชินีซิลเวียกับเจ้าหญิงเฟลิซี สองคนนี้สำคัญกว่าซิลวาน… แต่ดูเหมือนเราไม่ต้องกังวลอะไร แววตาของนางบ่งบอกว่าเจ้าได้ใจนางมาแล้ว”
ภาพเฟลิซีจ้องเขม็งมาที่นางก่อนจะแยกตัวไปทำให้เอเลนหัวเราะขึ้น อินกองได้แต่ยิ้มอย่างเขินอาย
“เพราะว่าองค์ชายห้าเป็นผู้ชายสินะครับ?”
“อย่างที่รู้กันว่าเผ่าเอลฟ์รัตติกาลให้ความสำคัญกับเพศแม่ เหล่าสตรีวางแผน เหล่าบุรุษรบอย่างกล้าหาญ ผู้กุมอนาคตของเผ่าจึงเป็นเจ้าหญิงหกมิใช่เจ้าชายห้า และในขณะเดียวกันเจ้าชายห้าก็คอยปกป้องดูแลเจ้าหญิงหก ความสัมพันธ์ของของทั้งสองไม่ต่างจากคริสต์กับเคทลิน แค่สลับบทบาท”
อย่างที่อินกองคาดเดาเอาไว้ บทบาทหลักของซิลวานคือการเฝ้าคุ้มครองเฟลิซี
เอเลนหันกลับมาทางอินกองอีกครั้ง
“เราเอ็นดูเจ้าเสมือนลูก แต่ไม่มีโลหิตเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเรา เมื่อขึ้นเป็นจอมมารเจ้าอาจทรยศเราก็เป็นได้ เราจึงไม่หวังอะไรมาก นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เราหวังเพียงว่าความสัมพันธ์นี้จะเป็นไปในทางที่ดีในอนาคต”
เอเลนกล่าวว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นตื้นเกินไป นั่นเพราะฉัตรเป็นคนธรรพ์ มิใช่ไลแคนโทรป
“ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอีกหลายความล… ข้อผูกมัดที่ทำให้ความสัมพันธ์นี้ไม่อาจเติบโตได้”
เอเลนขยิบตาให้เขาแล้วหันหน้าหนี
หัวข้อสนทนาจบเพียงเท่านี้
อินกองพูดถามบางอย่างเพิ่ม
“พอจะมีข้อมูลเกี่ยวกับการเรียกตัวในครั้งนี้บ้างมั้ยครับ?”
“อย่างที่เรากล่าวไว้ ต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่ แต่เรื่องนั้นดูจะไม่เกี่ยวกับเหล่าทายาท อย่าห่วงเลย จอมมารไม่เคยโกรธเคืองลูกๆของเขาหรอก”
อย่างน้อยนี่ก็ทำให้อินกองโล่งใจว่าไม่ใช่เรื่องของเคทลินแน่นอน มิฉะนั้นเอเลนคงไม่ปล่อยวางถึงเพียงนี้
แล้วในครั้งนี้เอเลนก็เป็นฝ่ายถามกลับมา
“แล้วเจ้าคิดจะเดินทางกลับวังจอมมารอย่างไร?”
“ผมคิดว่าพวกเราจะกลับไปด้วยกันบนเรือเหาะของซิลวาน”
หมายความว่าคณะของอินกองจะไม่ใช้ค่ายกลเคลื่อนมิติ และนั่นทำให้เอเลนแปลกใจ
“เหตุผล?”
“ไหนๆก็มีโอกาสขนาดนี้ ผมจะใช้มันกระตุ้นพวกที่วังซักหน่อย”
คำตอบที่ทำให้เอเลนหัวเราะร่าออกมา
“เราชอบความคิดของเจ้ามาก คริสต์จะต้องให้การสนับสนุนเป็นอย่างดีแน่นอน”
เอเลนหยุดเดินก่อนจะ ‘หืมม’ ขึ้นแล้วพูดบางอย่างเพิ่ม
“จบการสนทานาไว้เพียงเท่านี้ ถ้าเราดึงตัวเจ้าไว้นานกว่านี้ เจ้าหญิงหกคงจะเป็นกังวลน่าดู เจ้าคิดว่านางน่ารักไหมละ?”
“เป็นนูนิมที่น่ารักมากครับ”
อินกองตอบกลับอย่างเคอะเขินเล็กน้อย เอเลนผงกหัวแตะไหล่อินกอง
“ไว้เราค่อยคุยกันใหม่ภายหลัง”
“ไว้โอกาสหน้าครับ”
กองพลโลหิตสองนายก้าวเข้ามานำทางอินกอง เอเลนจ้องมองทั้งสามจนหายลับสายตาก่อนจะเหยียดไหล่นางออก
“น่าสนใจมาก เราเลือกคนได้ไม่เลวเลย”
นางมีสีหน้าที่พึงพอใจ ทว่าลุดวิกกลับไม่คิดเช่นนั้น
“นูนิม ที่เจ้าชายบอกว่า ‘กระตุ้น’ หมายความว่ายังไงหรือ?”
“เจ้าชายเก้ากำลังเป็นที่เพ่งเล็ง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีสายตาเฝ้ามอง หรือก็คือพวกนั้นเริ่มตื่นตัวแล้ว”
ผลงานที่เกิดขึ้นต่างยอดเยี่ยม กระทั้งจอมมารยังขานชื่อฉัตรในที่ประชุม เป็นเรื่องยากที่ทั้งหมดจะจบเพียงเท่านี้
“เมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ควรทำคืออะไร? ปล่อยเวลาเพื่อให้คู่แข่งเริ่มมองข้าม? หรือเบี่ยงเบนสายตาของพวกนั้นไปที่อย่างอื่น?”
“ขอที่เข้าใจง่ายๆหน่อยครับนูนิม”
เอเลนกระดกลิ้นให้กับคำขอร้องของลุดวิก แม้จะเป็นถึงหัวหน้าของหน่วยกองพลโลหิต แต่ลุดวิกก็ยังเป็นผู้ที่มีบุคลิกใส่ซื่อ
“เจ้าหนูซิลวานไม่เคยออกห่างจากเรือเหาะ ถ้าพวกนั้นใช้ค่ายกลเคลื่อนมิติ หมายความว่าเจ้าหนูนั่นก็จะกลับวังบนเรือเหาะอย่างเดียวดาย เป็นภาพลักษณ์ที่ไม่น่าดูเท่าไร”
“ภาพลักษณ์?”
“ลองคิดดูสิ ไม่ใช่หนึ่งหรือสอง แต่ห้าทายาทจอมมารรวมกลุ่มกลับวังหลวงพร้อมกัน พี่น้องคนอื่นๆจะทำเพียงหัวเราะแล้วมองอย่างเอ็นดูได้รึ?”
ลุดวิกตาโตในทันที ก่อนจะเริ่มนับนิ้วมือ
“5, 6, 7, 8, 9… นี่มันเกินครึ่ง… ”
ห้าทายาทจากเก้าทายาท
“ถูกต้อง เกินครึ่ง! แม้แต่ละคนอาจไม่มีอิทธิพลอะไร แต่ก็เรียกได้ว่าน่ายำเกรง ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งห้ายังไม่เคยรวมตัวกันมาก่อน นั่นทำให้ผู้คนจะมองหาต้นตอ หรือก็คือผู้คนจะมองหาว่าใครเป็นผู้นำของกลุ่มนี้”
แล้วคำตอบก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
คริสต์จะทำให้มั่นใจว่าทุกสายตาสามารถเห็นคำตอบได้ชัดเจน
“ไม่ใช่ว่านี้จะทำให้พวกนั้นยิ่งตื่นตัวขึ้นหรอกหรือ?”
ลุดวิกถามอย่างเป็นห่วง แต่เอเลนกลับส่ายหน้า
“อย่างที่เราบอกไปก่อนแล้วว่าพวกนั้นต่างเริ่มตื่นตัว ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าชายเก้าคิดต่างไปจากทายาทคนอื่น… เขาต้องการจะแสดงให้พวกที่วังรับรู้ว่าอีกหนึ่งขั้วอำนาจได้ถือกำเนิดขึ้นในวังจอมมารแล้ว”
นี่ไม่ใช่การแสดงให้ทายาทตนอื่นรับรู้ เป้าหมายของการเปิดตัวครั้งนี้คือ…
สายตาจากบรรดาขุนนาง
รวมไปถึงบรรดาลูกนางสนมกำนัลที่ยังไม่เลือกฝ่าย
เหล่าพ่อค้าที่ยังเป็นกลาง
“คิดว่ายังไง? อาจจะดูรีบเร่งไปหน่อย แต่เราค่อนข้างจะชอบ”
ขั้วอำนาจในวังจอมมารไม่ใช่สามอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นสี่ แถมฝ่ายที่สี่ยังไม่สามารถถูกมองข้ามได้แม้แต่น้อย
เอเลนถอนหายใจ ท่าทางขี้เล่นมลายหายไป นางพูดต่อด้วยสีหน้าของผู้เป็นแม่
“อาจจะเป็นเพียงความรู้สึก แต่เราคิดว่าสามารถฝากทุกอย่างไว้กับเจ้าหนูได้”
“นูนิม?”
เอเลนไม่ปริปากอะไรต่อ นางส่ายหน้าแล้วสวมใบหน้าเจ้าเล่ห์อีกครั้ง
“กลับกันเถอะ”
นางเดินตรงกลับไปยังหอกลางโดยไม่เหลียวหลัง
&
อีกหนึ่งวันผ่านไป
ตั้งแต่ที่ซิลวานเข้ากลุ่มคริสต์ เขาก็หยุดพูดคุย และคริสต์ก็เช่นกัน
แม้แต่หลังจากเรือเพลิงมังกรทมิฬลอยลำออกจากเขตแดนของไลแคนโทรป บรรยากาศอันเงียบนี้ยังคงดำเนินต่อ ทว่าทั้งสองกลับเป็นตัวของตัวเองในทันทีที่อีกฝ่ายหายไปจากสายตา
นี่ทำให้อินกองสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีตระหว่างคริสต์กับซิลวาน แต่คำถามนี้ค่อนข้างยากที่จะเอ่ย
หลายวันผ่านไป…
ระหว่างที่อมิตาภาออกแบบลวดลาย อินกองกับเคทลินฝึกฝนแก่นจันทราและแก่นบริวาร เรือเหาะเพลิงมังกรทมิฬก็คงเดินไปยังวังหลวง
คารัคมองดูคืนพระจันทร์เต็มดวงก่อนจะหยุดหันมาถามอินกอง
“ข้ารู้สึกไม่ค่อยดี มีบางอย่างเกิดขึ้นทุกครั้งเวลาที่เข้าเฝ้าฯจอมมาร ข้าสัมผัสได้ว่าต้องมีบางอย่างระเบิดขึ้นอีกครั้งแน่นอน”
คำพูดจากคารัคเป็นการป่าวประกาศถึงบางสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
อินกองรีบตบตัวคารัคในทันที
“ทำไมนายต้องพูดแบบนั้นตลอดเลยด้วยยยย?”
“สาเหตุก็เพราะองค์ชายไง ทั้งหมดก็เพราะองค์ชาย องค์ชายไม่คิดจะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเองบ้างหรือ?”
“ผมต้องเรียนรู้อะไร?”
“สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตย่อมเกิดขึ้นอีกในอนาคต วงจรนี้คงอยู่สำหรับทุกคน จากเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับองค์ชาย มันบ่งบอกได้ชัดเจนว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นอีกในอนาคตแน่นอน”
คารัคหัวเราะออกมา อินกองได้แต่ก้มหน้านิ่ง เขาพยายามคิดคำพูดแก้ต่างทว่าไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา
ในการประชุมสภาครั้งแรก จอมมารขานชื่อฉัตรขึ้น
ในการประชุมสภาครั้งที่สอง จอมมารมอบหมายภารกิจให้ฉัตรด้วยตนเอง ภารกิจที่ควรจะเป็นของแซเฟียร์
จากทั้งสองครั้งที่ผ่านมา อะไรจะเกิดขึ้นในครั้งนี้?
“วงจรสามารถเปลี่ยนแปลงได้”
“ข้ายังมีข้อกังขาอยู่ แต่ก็เอาเถอะ ไว้ถึงแล้วเดี๋ยวพวกเราก็คงรู้เอง?”
คารัคตอบกลับข้อแก้ตัวของอินกองพลางโบกปัดอย่างไม่แยแส อินกองชำเลืองมองไปด้านข้างก็พบกับซีพิร่ากำลังจดจ้องมาที่คารัค สีหน้าอันคุ้นเคยที่อินกองเห็นจากดาฟเน่ เซร่า เดเลีย และกัมมะ
“มองข้าแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”
“องครักษ์ของผมเป็นออร์คจริงๆด้วย”
“แน่นอนว่าข้าเป็นออร์ค หรือว่าบางทีข้าเป็นโอเกอร์?”
คารัคหัวเราะท่ามกลางความสับสนของอินกอง ทำไมกันหนอทหารคนสนิทของเขาถึงได้ดูเป็นพระเอกมากกว่าตัวเขาเอง?
แล้วในสองวันถัดมา…
คณะของอินกองก็เดินทางกลับมาถึงวังจอมมาร
จบบทที่ 16 – เข้าเฝ้าฯ เริ่มบทที่ 17 – โจทย์