Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 105
“หยุดก่อน หยุดเลย! ห้ามเข้ามานะฮะ! ห้ามพูดอะไรด้วยฮะ! องค์ชายพาพวกนี้เข้ามาทำไมฮะ? คุยกันไว้ว่าเป็นความลับนิฮะ! แบบนี้นอกเหนือข้อตกลงนี่ฮะ!”
อมิตาภาใช้หางทุบพื้นอย่างเกรี้ยวกราด
เกรี้ยวกราดยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ถึงกระนั้นสมาชิกทั้งหมดก็เมินเฉยต่อการกระทำของเจ้าแรคคูนเช่นเคย
“แรคคูนใส่แว่นน่ารักที่สุดเลยย!”
เคทลินพูดพลางยิ้มแก้มแทบปริ
ภาพตรงหน้าทำให้นางตาโตเป็นประกาย
นอกเหนือจากแว่นวงกลมที่อมิตาภาใส่อยู่แล้ว เจ้าแรคคูนยังนั่งบนพื้นถักลวดลายลงบนผืนผ้าที่ดาฟเน่ถืออยู่
“เจ้าแรคคูน นี่แกกำลังทำอะไรอยู่?”
คารัคถามคำถามที่สมาชิกทั้งหมดสงสัยอยู่ออกมา นั่นเรียกเสียงทุบพื้นจากอมิตาภาได้อีกครั้ง
“เห็นแล้วยังไม่เข้าใจอีกหรอฮะ? อมิตาภากำลังถักลายอยู่ไงฮะ!”
เส้นด้ายหลากสีสนเข็ม ผืนผ้าสีเขียวที่ดูเข้ากับดาฟเน่ ทว่ามีเพียงเฟลิซีเท่านั้นที่แสดงอาการประหลาดใจออกมา
นั่นเพราะลวดลายเหล่านี้มิได้มีเพื่อความสวยงามแต่เป็นอาคมซับซ้อนระดับสูง
ทว่าว่าสิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือมือแรคคูนน้อยที่กำลังจับเข็ม
“น่ารักที่สุดดดด!”
เคทลินร้องขึ้นอีกครั้ง ทั้งเดเลียและเซร่าต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“อิชย์! องค์ชายพาเจ้านี้มาทำไมฮะ?! ส่วนแก! ห้ามยิ้มห้ามหัวเราะทั้งนั้น! สีหน้าแบบนั้นมันน่าหงุดหงิดชะมัด!”
อมิตาภาร้องอย่างไม่พอใจพลางชูมือที่ถือเข็มชี้ไปยังปราชญ์ดาบ คุณลุงผู้ที่กำลังหัวเราะชี้มาทางเจ้าแรคคูนเช่นกัน
“อมิตาภาใส่สร้อยที่ดูแปลกตาเสียจริง เจ้าเปลี่ยนอาชีพเป็นสัตว์เลี้ยงไปแล้วหรือกระไร?”
ปลอกคอแสดงให้เห็นว่าสัตว์ที่สวมมันอยู่มีเจ้าของ แม้อมิตาภาจะสวมมันเพื่อตบตามิให้เป็นที่สังเกต อย่างไรเสียปลอกคอก็คือปลอกคอ
“ไม่! นี่มันเป็นแฟชั่น! แฟชั่น!”
อมิตาภากระโดดขึ้นกล่าวอ้าง นั่นทำให้ปราชญ์ดาบหัวเราะยิ่งขึ้นกว่าเดิม ดาฟเน่เข้ากอดเจ้าแรคคูน
“ไม่เป็นไรหรอกอมิตาภา มันเข้ากับเธอมาก”
“โอ้… ”
ถ้อยคำปลอบโยนที่กลับมิได้ปลอบโยน อมิตาภาไหล่ตกหลังจากได้ยินว่าปลอกคอดูเหมาะสมกับตัว เจ้าแรคคูนส่งเสียงตอบกลับมาอย่างเหนื่อยอ่อน
“แล้วตกลงพาตาลุงนี่เข้ามาทำไมฮะ? อมิตาภาคุยให้เก็บเป็นความลับแล้วนิฮะ”
เมื่อหมดข้อโต้แย้ง อมิตาภาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อินกอง แต่ปราชญ์ดาบก็พูดตอบแทรกขึ้น
“ข้าขอให้เจ้าชายชวนเอง เมื่อได้ข่าวว่าเจ้าชายฉัตรกลับมาพร้อมกับสัตว์เลี้ยงแรคคูน ข้าก็คิดว่าบางทีอาจะเป็นอมิตาภา”
คณะของอินกองไม่มีสัตว์เลี้ยงดังกล่าวเมื่อตอนปราสาทธันเดอร์ดูม นั่นทำให้ปราชญ์ดาบค่อนข้างมั่นใจว่าต้องเป็นอมิตาภาอย่างมิผิดเพี้ยน
“ยังไงเสียนี่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ ถึงข้าจะบอกสถานที่ของเจ้าไป แต่ข้าก็ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะยอมรับคำขอ และถึงขั้นตามกลับมายังวังหลวง”
“เรื่องมันยาวนะ ค่อนข้างยาว… ”
อมิตาภาถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้ในที่สุด
เฟลิซีมองชำเลืองไปยังผ้าที่อมิตาภากำลังถักลวดลายก่อนจะถามขึ้นอย่างระวัง
“นี่อมิตาภา เธอทำไปถึงไหนแล้ว?”
“ฮะ? อย่าถามฮะ! ที่อมิตาภาเกลียดที่สุดก็คือพวกชอบเร่งงานฮะ!”
อมิตาภาส่ายแขนขาตีโพยตีพายภายใต้อ้อมกอดของดาฟเน่ ทำให้เฟลิซีรีบพูดอธิบาย
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดเร่ง แค่สัปดาห์นี้ซิลวานต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่างไปจากพวกเรา ฉันอยากให้เขาได้อาวุธใหม่ก่อนหน้านั้น”
“ลิซซี่”
ซิลวานหันมองน้องสาวอย่างน้ำตาคลอ เฟลิซีพลักเขาให้ออกห่างแล้วถามอมิตาภาต่อ
“พอจะทันไหม?”
สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง อมิตาภายอมจำนนก่อนจะส่ายหน้า
“อมิตาภาวาดแบบร่างเสร็จเรียบร้อยฮะ แต่ยังไม่ได้เริ่มสร้างจริงจังฮะ ท่าเร่งตีดาบก็พอได้ แต่ว่า… ”
อมิตาภาชำเลืองมองสองพี่น้องก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง นั่นเพราะคำพูดของเฟลิซีทำให้ซิลวานแสดงท่าทีคาดหวังออกมา
“ยังไงซะอมิตาภาก็เบื่องานชุดป้องกันฮะ แต่รูปร่างภายนอกอาจจะเรียบง่ายหน่อยฮะ คงคล้ายๆดาบของอิชย์ฮะ”
อมิตาภาตอบพลางมองไปยังดาบที่ห้อยอยู่ที่เอวของปราชญ์ดาบ
“เรียบง่ายนี่หละเจ๋งที่สุด”
อินกองได้เห็นปราชญ์ดาบแสดงฝีมือที่ปราสาทธันเดอร์ดูม ตัวดาบไร้ซึ่งการประดับตกแต่งใดใด ด้ามจับเป็นเพียงแผ่นไม้ประกบ ฝักดาบก็มีต่างกัน
นั่นกลับทำให้ซิลวานพอใจมาก
“ขอบคุณมาก เราจะรอคอยอย่างจดจ่อ”
คล้ายกับดาบของปราชญ์ดาบคือเหตุผลที่ทำให้ซิลวานตื้นตัน ไม่มีข้อเสนอใดจะดีไปมากกว่านี้
หลังจากอมิตาภารับคำ เฟลิซีก็หันไปทางเคทลินกับอินกองพลางก้มหัวขอคมา
“ฉัตร เคทลิน ฉันต้องขอโทษด้วย แต่ว่า… ”
“ไม่เป็นไรครับนูนะ ผมเข้าใจ”
“เช่นกันค่ะออนนี่”
ทั้งสองต่างตอบกลับอย่างไม่เป็นปัญหา
เคทลินชื่นชอบจิตใจอันงดงามของพี่สาว ส่วนอินกอง… หลายรายการเป็นของอินกอง
‘แล้วก็… ยังไงซะเราก็จะพาอมิตาภาไปด้วย’
จุดหมายปลายทางของซิลวานต่างออกไป การเร่งทำอุปกรณ์ของซิลวานก่อนจึงดูสมเหตุสมผล
“เอ่อ ทำไมจู่ๆอมิตาภาก็รู้สึกหนาวขึ้นมาฮะ”
ราวกับได้ยินความคิดของอินกอง เจ้าแรคคูนทาสสั่นเทาขึ้นมาอย่างกระทันหัน
“จะว่าไปแล้ว นี่จะเดินทางกันอีกครั้งในสัปดาห์นี่หรอฮะ?”
“ใช่แล้ว มีภารกิจมอบหมายใหม่มา”
เฟลิซีตอบคำถาม อมิตาภาหรี่ตาลงก่อนหันไปทางอินกอง
“เอ่อ… องค์ชายส่งพสุธากัมปนาทกับโล่ชีวาตม์มาหน่อยฮะ อมิตาภาจะรีบปรับแต่งสองอย่างนี้ฮะ อมิตาภาต้องเร่งมือแล้วฮะ”
“จะเสร็จทันหรือ?”
“อมิตาภาต้องดูก่อนฮะ เพราะนี่ไม่ได้สร้างใหม่แต่เป็นแค่การปรับแต่งฮะ”
ทั้งพสุธากัมปนาทและโล่ไวท์อีเกิ้ลต่างเรียกได้ว่าเป็นอาวุธหลักของอินกอง ช่วงเวลาที่ไม่สามารถใช้ของวิเศษทั้งสองได้ย่อมเป็นข้อเสียเปรียบ การปรับแต่งของวิเศษทั้งสองจึงควรเป็นในระหว่างที่พวกเขามีเวลาและอยู่ในที่ปลอดภัย
“หืม เป็นเรื่องดีที่ได้เจอเจ้าอีกครั้ง ข้าคงไม่ได้แวะมาวังหลวงบ่อยนัก ไว้มาคราวหน้าข้าจะแวะมาเยี่ยม”
ปราชญ์ดาบกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ อมิตาภารีบโบกปัดอย่างไม่ชอบใจ
“แกมาก็ก่อกวนอมิตาภา ไม่ต้องมาเลย ห้ามมา! ห้ามหัวเราะด้วย!”
“อมิตาภา”
ดาฟเน่พูดปลอบเจ้าแรคคูนอย่างอ่อนโยน ปฏิกิริยาของเจ้าแรคคูนบ่งบอกว่ามันได้ผลอย่างมาก
# ดาฟเน่ used ปลอบประโลม
# It’s super effective!
“จะว่าไปแล้ว อมิตาภามีบางอย่างให้ดูฮะ เพิ่งทำเสร็จไม่กี่วันเองฮะ ทำรายการเสร็จนี่มันรู้สึกดีมากฮะ”
“โอ้ มันคืออะไร?”
คารัคถามอมิตาภาตามบรรยากาศ
“โล่ของแก เป็นรายการขององค์ชายก็จริง แต่คนที่ใช้คือแก!”
“โอ้ว!”
“ตามมาที่เตาหลอมเลย”
อมิตาภากระโดดออกจากอ้อมอกของดาฟเน่เดินออกจากห้อง คารัคหันมามองอินกองขออนุญาตก่อนเขาจะผงกหัว
จากนั้นคารัคก็เดินตามอมิตาภาไป ปราชญ์ดาบที่มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยร้อยยิ้มพูดขึ้นอีกครั้ง
“แบบนี้อมิตาภาก็มีเพื่อนเพิ่มขึ้นสินะ องค์ชายทำได้ดีมาก”
“ทั้งหมดเป็นเพราะความกรุณาของปราชญ์ดาบ”
“ไม่ว่าใครก็สามารถได้รับจดหมายแนะนำได้ แต่มิใช่ทุกคนที่อมิตาภาจะยอมรับ อย่าถ่อมตัวไปเลย”
คุณลุงผู้อาวุโสกล่าวขึ้น เฟลิซียกมือขึ้นพูดถาม
“ฮาราบอจี่ เรื่องวันนี้มันยังไงกันแน่? พอจะมีข้อมูลศัตรูเพิ่มเติมไหมคะ?”
“ข้าได้ยินมามากและบรรยากาศในวังหลวงก็ไม่เป็นมิตรเสียเลย ถึงจอมมารจะไม่ว่าที่ทายาทแข่งขันกันเอง แต่ก็ไม่ควรถึงขั้นทำร้ายกัน เอาเป็นว่าการที่ข้าพบองค์ชายเก้าก่อนถือเป็นเรื่องดี”
อย่างที่เฟลิซีคาดการณ์ไว้ ปราชญ์ดาบทำทั้งหมดไปเพื่อปกป้องฉัตร
ที่สำคัญคือคำพูดของปราชญ์ดาบทั้งหมดเป็นเรื่องจริง
กระทั่งในเกมก็ไม่มีเหตุการณ์ที่ทายาททำร้ายกันเองแต่อย่างใด นั่นเพราะจอมมารเกลียดชังเรื่องเหล่านี้ ผู้ใดที่ข้ามเส้นจุดยืนนี้ไปจะพบกับความพิโรธของจอมมารมิตร
จากนั้นปราชญ์ดาบก็ตอบคำถามของเฟลิซีต่อ
“ส่วนพวกศัตรู… แจกจ่ายข้อมูลเหล่านั้นเป็นหน้าที่ของกระทรวงเกียรติยศ ไม่มีข้อยกเว้นอย่างข้อมูลลับอะไรทั้งสิ้น”
หลังจากกลับจากที่ประชุมสภา คณะของอินกองก็เดินทางกลับมายังคฤหาสน์ทันที พวกเขายังมิได้แวะไปตรวจสอบข้อมูลของศัตรู
ปราชญ์ดาบกล่าวเสริม
“ข้าจะบอกแค่ว่า มีศัตรูในระดับมือหอกที่ปราสาทธันเดอร์ดูม แต่ยังไม่พบข้อมูลของศัตรูในระดับนั้น”
วังจอมมารได้มอบหมายแจกจ่ายภารกิจให้เหล่าทายาท
ทั้งหมดทำเพื่อกระจายกำลังเข้าป้องกันแต่ละท้องที่
แต่เมื่อลองถอยมาสักก้าวแล้วมองภาพรวมอีกครั้ง อินกองก็พบว่านั่นมิใช่ความจริงทั้งหมด ทางวังมอบหมายกระจายเหล่าทายาทเพราะรู้ว่าศัตรูกลุ่มไอพลังสีม่วงอาจเข้าโจมตี
การกระจายเหล่าทายาทไปตามจุดทำให้บริเวณเหล่านั้นมั่นคงขึ้น เป็นการทำลายความคิดเข้าจู่โจมบริเวณที่ว่า
แน่นอนว่าบริเวณที่เหล่าทายาทถูกส่งตัวล้วนเป็นพื้นที่สำคัญ
แผนการก็คือให้เหล่าทายาทคุ้มกันพื้นที่เหล่านี้ พลางสืบเสาะเบาะแสไอพลังสีม่วงไปในตัว
คำอธิบายจากปราชญ์ดาบทำให้อินกองหวนนึกถึงสีหน้าของแซเฟียร์
บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาต้องไปการไปยังเอเวียง
เป้าหมายในตอนนี้ของอินกองคือการต่อกรอาชาแห่งทุพภิกขภัยกับอาชาแห่งอาสัญ ทว่าเมื่อกล่าวถึงเป้าหมายหลักแล้ว ศัตรูที่แท้จริงย่อมเป็นแซเฟียร์
‘เราต้องเร่งมือแล้ว’
เขาต้องรีบเกณฑ์ตัวนาตาช่า และสั่งสมอิทธิพลเพื่อขึ้นสู่บัลลังค์จอมมาร
‘เราต้องเข้าหอสมุด ระดับเกียรติยศของเราตอนนี้ไม่รู้ว่าจะหาข้อมูลได้มากน้อยแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีข้อมูลเลย’
นี่เป็นอีกหนึ่งการเตรียมการต่อกรอาชาแห่งอาสัญ
ข้อมูลของอาณัติ รณการ ทุพภิกขภัย และอาสัญที่เข้าปะทะกับเหล่ามังกรบรรพกาล
ข้อมูลเกี่ยวกับชนเผ่าสาบสูญ
จุดประสงค์แท้จริงที่อาชาแห่งอาสัญบุกทำลายผู้พิทักษ์
ที่มาของแรงเกลียดชังอันมหาศาลจากทุพภิกขภัยและอาสัญที่มีต่ออาณัติ
การตายของพยานอันเคลเมื่อราวหนึ่งพันปีที่แล้ว…
มีข้อมูลมากมายกระจายตัว มันต้องมีบางอย่างที่ช่วยให้เขาสามารถเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านี้ได้
ระหว่างที่อินกองยังคงใช้ความคิด อมิตาภาและคารัคก็กลับมา
“ดูนี่สิองค์ชาย ยอดเยี่ยมไปเลยใช่ไหม?”
คารัคโอ้อวดโล่อย่างตื่นเต้น โล่ทรงเพชรสีดำ สร้างจากเกล็ดและหนังมังกรเป็นหลัก
“อาจให้ความรู้สึกหยาบไปนิดนะฮะ แต่มั่นใจได้เลยว่าทนทานแน่นอนฮะ”
อมิตาภากล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิ
อินกองถามคารัค
“ขอผมลองถือมันซักหน่อยสิ?”
“เอ้านี่”
คารัคส่งมอบโล่ให้อินกอง นอกจากรูปร่างที่ดูหยาบกระด้างแล้ว มันยังเรียกได้ว่าค่อนข้างหนักพอสมควร
ระหว่างที่อินกองมองสำรวจโล่ที่ว่า ข้อความแสดงสถานะของโล่ก็ผุดขึ้นมาให้เห็น
[พละกำลังเพิ้มขึ้น 5]
[ความทนทานเพิ่มขึ้น 5]
[ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 5]
[คุณได้เรียนรู้ทักษะพิเศษ รวมร่าง]
“ฮะ? รวมร่าง?”
อินกองพึมพำขึ้น นั่นทำให้อมิตาภาตาลุกโชน
“สายตาไม่เลวเลยฮะ องค์ชายเห็นสินะฮะ?”
“หา? คืออะไรกัน? รวมร่าง?”
คารัคถามตาโต สีหน้าของมันทำให้อมิตาภาหัวเราะออกมา
“ยังมีชิ้นส่วนเพิ่มเติมอีกฮะ ชิ้นส่วนเหล่านี้สามารถเข้าประกอบกับโล่นี่ได้ฮะ”
“ชิ้นส่วนเพิ่มเติม?”
“องค์ชายส่งโล่คืนให้เจ้าออร์คก่อนฮะ ออร์คระหัสคือ ‘คาลโตส’ ”
อินกองส่งโล่คืนให้คารัคตามที่อมิตาภาบอก เจ้าออร์คมองดูโล่ในมือขวาอย่างลังเลก่อนจะพูดระหัสคำออกมา
“คาลโตส!”
ทันทีที่สิ้นคำ มีเสียงดังขึ้นจากอีกห้องหนึ่ง เสียงราวกับบางอย่างพยายามดิ้น
อินกอง ซิลวาน และคริสต์ต่างหันไปยังต้นตอของเสียง ปราชญ์ดาบยกมือขึ้นห้ามทั้งสามเอาไว้ ไม่นานนักที่มาของเสียงก็เผยตัวขึ้น
“โอ้! โอ้ววว!”
ชิ้นส่วนเพิ่มเติมต่างลอยเข้ามาประกอบเข้ากับโล่ที่คารัคถืออยู่
เมื่อนับรวมชิ้นส่วนเหล่านี้แล้ว ขนาดของโล่เรียกได้ว่าใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า ราวกับบานประตูของปราสาท
“โล่นี่ลงอาคมสะท้อนเวทเอาไว้และยังเพิ่มพลังป้องกันขึ้นด้วยฮะ ถ้าคำนึงถึงพลังป้องกันเพียงอย่างเดียว โล่นี้มีมากกว่าโล่ชีวาตม์อีกฮะ ส่วนวิธีพกพาชิ้นส่วนอมิตาภาก็คิดไว้แล้วฮะ อย่าห่วงฮะ”
อมิตาภาเชิดคางขึ้นอย่างมั่นใจ ก่อนเสียงโอดครวญของกรีนวินด์จะดังขึ้นข้างหูของอินกอง
‘ไม่นะ บทบาทของข้า… ’
อินกองหัวเราะพลางถามอมิตาภา
“แล้วพอจะปรับแต่งไวท์อีเกิ้ลได้ไหม?”
“เป็นการท้าทายที่น่าสนใจมากฮะ”
อุปกรณ์วิเศษจากพญามังกร
กรีนวินด์ถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากที่อมิตาภาตอบถึงความเป็นไปได้ นอกจากนี้โล่ตรงหน้ายังเพิ่มความคาดหวังให้กับสมาชิกตนอื่น
ณ เวลานั้นเอง…
มีเสียงกริ่งดังขึ้นพร้อมกับฟลอร่าที่ก้าวเข้ามา ใบหน้าตื่นเต้นของสมาชิกทั้งหมดสร้างความประหลาดใจให้นางเล็กน้อย แต่นางก็เปลี่ยนสีหน้ากลับมาได้อย่างรวดเร็วสมเป็นมืออาชีพ
“มีสาส์นจากพระองค์เจ้าไบคาลมอบถึงใต้ฝ่าพระบาทเพคะ”
“จากไบคาลออราเบียวนิ?”
ฟลอร่าเมินเฉยต่อคำถามจากเฟลิซีพลางยื่นมอบจดหมายให้กับอินกอง
ทุกสายตาจดจ้องยังจดหมายปริศนาจากเจ้าชายลำดับที่หนึ่งไบคาล แร็กนารอส