Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 11
“ไอ้โรคจิต! น้องชายฉันมันเป็นไอ้โรคจิต!”
เคทลินตะโกนหาคริสต์จากกลางกระโจม เสียงของเธอดังเกินพอที่อาณาบริเวณโดยรอบจะได้ยินทั่วกัน อินกองรีบยกมือโบกปัดปฏิเสธขอกล่าวหา
“ม.. มันไม่ใช่อย่างนั้นครับ”
เขาทำพลาดลงไปแล้ว เขาเพึ่งจะขอให้เคทลินใช้ลมปราณอัดเขา ซึ่งพอคิดดีๆแล้ว มันก็ดูแปลกอยู่
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไอ้โรคจิต? ฉัตรยังคงเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุ 14 ปีเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น อินกองก็ไม่ได้มิรสนิยมแปลกประหลาดแบบนั้นด้วย
“จุ๊จุ๊ นายนี่ดูออกจะติ๋มๆ ไม่เคยคิดเลย…”
คริสต์ทำท่าจุ๊ปาก ดูเหมือนเขาจะชอบใจที่เห็นอินกองในสถานการณ์ตรงหน้า เคทลินหันหน้าไปมาระหว่างพี่ชายของเธอกับอินกอง แล้วก็พึมพำออกมาเบาๆ
“พวกโรคจิต…”
เธอมองมาที่น้องชายของเธอก็จริงอยู่ แต่ข้อความที่ส่งผ่านแววตานั้นบ่งบอกว่าอะไรหลายอย่างเปลี่ยนไป ดูเหมือนอินกองจะต้องรีบแก้ไขข้อเข้าใจผิดนี้ให้ไวที่สุด
“ผมจะบอกเหตุผลครับว่าทำไม!”
อินกองอธิบายไปว่าเขาสนใจเกี่ยวกับลมปราณมานานแล้ว เขาอยากลองสัมผัสมันกับตัวเท่านั้น
ถึงที่เขาเล่าไปมันจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด สองพี่น้องไลแคนโทรปก็ยังไม่หยุดหยอกล้อแกล้งเขา แต่ทั้งคู่ก็คลายข้อสงสัยเกี่ยวกับ ฉัตรเป็นไอ้โรคจิต ไปได้บางส่วน
คริสต์หยุดแกล้งแล้วเปลี่ยนมาทำสีหน้าจริงจังก่อนที่จะตบบ่าอินกองเบาๆ
“พูดในทางทฤษฎีแล้วมันก็เป็นไปได้อยู่ แต่เราไม่เคยได้ยินว่ามีใครปลุกลมปราณด้วยวิธีแบบนี้”
ลมปราณ ก็เปรียบเสมือนพลังชีวิต
สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตในทวีปอัสเซนบาฮ์ล้วนมีลมปราณอยู่ทั้งสิ้น จะต่างก็แค่สามารถปลุกมันขึ้นมาใช้ได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น
วิธีปลุกที่ง่ายที่สุด คือผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก
หากผ่านการกระทำเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็จะมีบางเวลาที่สัมผัสความรู้สึกอันน่าอัศจรรย์เอาไว้ได้ ถึงจะฟังดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แต่นี่ก็เป็นวิธีที่ส่วนมากใช้ปลุกลมปราณขึ้นมา
แน่นอนว่าเอกลักษณ์ของแต่ละเผ่าพันธุ์ก็มีส่วนด้วย
เผ่าไลแคนโทรปเป็นเผ่าที่มีพลังชีวิตสูง จึงสัมผัสลมปราณได้ง่าย ในทางกลับกัน ถึงแม้ออร์คจะเป็นเผ่าที่มีความทนทานตายยาก แต่ด้วยการที่ออร์คส่วนใหญ่มีบุคลิกง่ายๆ จึงมีเพียงส่วนน้อยที่จะปลุกลมปราณขึ้นมา
#เหมือนแบบ รู้สึกได้นะ แต่ไม่สนใจ กูไม่ใช้ ทำแบบนี้กูก็เก่งแล้ว
ถึงแม้เคทลินและคริสต์จะเป็นเผ่าไลแคนโทรป แต่การที่สามารถปลุกลมปราณขึ้นมาได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ ทำให้เรียกทั้งคู่ได้ว่าเป็นอัจฉริยะเลยทีเดียว
#เดี๋ยวพวกมึงเจออินกองกูก่อน ( ͡° ͜ʖ ͡°)
แม้ทั้งคู่จะมีพลังแฝงเยอะแค่ไหน ก็ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักจึงสามารถดึงออกมาใช้ได้ และด้วยการที่ฉัตรไม่เคยเห็นลมปราณมาก่อน มันจึงดูไม่แปลกนักที่เขาอยากจะลองสัมผัสกับมัน
เคทลินและคริสต์คิดด้วยสีหน้าจริงจังก่อนจะหันมาถามอินกอง
“หรือจะเพราะว่านายเป็นคนธรรพ์?”
พระมารดาของฉัตร ผู้เป็นราชินีองค์ที่5 เป็นคนธรรพ์เผ่าอิกษณา
#อันนี้คิดว่าคนแต่งจงใจนะ คำว่า อิกษณา แปลว่า รู้แจ้ง พบเพียงครั้งแรกก็เข้าใจได้อย่างถ่องแท้
คนธรรพ์มีความสามารถเด่นเกี่ยวกับการสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นสายลม หรืออนูต่างๆในอากาศ
คริสต์คิดแล้วก็ดูเข้าเค้า เขาจึงหันมาถามอินกองด้วยความสงสัย
“เอ่อ…นั่นก็ด้วยครับ แต่จริงๆ ผมก็แค่อยากจะลองสัมผัสดูแค่นิดหน่อย”
“นายอยากจะลองสัมผัส…”
คริสต์ส่งสายตาขี้เล่นออกมา เขาบีบไหล่ของอินกองเล็กน้อย ก่อนที่จะหัวเราะหลังจากถูกเคทลินจ้องเขม็ง
“ได้ งั้นฮยองคนนี้จะทำให้เบาที่สุดละกัน”
เขาเงื้อกำปั้นขึ้นมา ลมปราณมหาศาลปกคลุมมือเขาจนสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดูเหมือนว่าถ้ากำปั้นนี่ทุบใส่อินกองแล้วละก็ เป็นไปได้ยากว่าเขาจะรอด
“อ๋า…คือถ้าให้เลือกแล้ว ผมขอให้นูนะเป็นผู้ลงมือดีกว่าครับ”
อินกองเหลือบมองเคทลิน คริสต์ก็ส่งแววตาขี้เล่นของเขาไปด้วย ทำให้เคทลินถอนหายใจ
“ก็ได้ ฉันจะลองดู”
เคทลินเคลื่อนที่มายืนต่อหน้าอินกอง เธอชำเลืองมองร่างของเขา มองว่าจะตีบริเวณไหนดี
“เอ่อ เอาเป็นที่แขนหรือไหล่ดีไหม?”
อินกองขยับไหล่ให้พี่สาวเขา แม้ว่าเลเวลเขาจะเพิ่มขึ้นมาแล้วก็ตาม เขาก็ยังคาดเดาได้ ว่านี่จะต้องเป็นอะไรที่เจ็บปวดแน่นอน
เคทลินพยักหน้ายืนยันแล้วเงื้อมือของเธอขึ้นมา ต่างไปจากคริสต์ ลมปราณที่ปกคลุมฝ่ามือของเธอให้ความรู้สึกที่เย็นยะเยือก
“ให้ลงมือเลยไหม?”
“ครับ”
อินกองรู้สึกเกร็ง แต่เคทลินตื่นเต้นเสียยิ่งกว่า แทนที่จะฟาดใส่อินกอง เธอแค่แตะไหล่เขาเบาๆ
“แบบนี้ใช่ไหม?”
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่การแตะไหล่ธรรมดาก็ตาม
อินกองหัวเราะสร้างความมั่นใจให้เคทลิน
“ขอแรงกว่านี้หน่อยครับ”
“ประมาณนี้?”
เคทลินตบไหล่อินกองเบาๆ เขารู้สึกถึงบางอย่างแต่ก็ยังไม่ชัดเจนนัก
“แรงอีกครับ!”
เคทลินหันไปมองคริสต์ด้วยสีหน้าลังเล อินกองไม่เข้าใจว่าทำไม แต่เขารู้สึกชื่นชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นั่นเพราะใบหน้าลังเลของเคทลินดูน่ารักไม่เบาเลยทีเดียว
‘ใจเย็น นี่ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องแบบนี้ ตั้งสติก่อน สติ!’
อินกองส่ายหน้าแล้วหันไปบอกเคทลิน
“แรง แรง เลยครับ!”
คริสต์พยักหน้าให้เคทลิน เธอหลับตาแล้วตีแขนอินกองอย่างรุนแรง
“เคือก!”
อินกองร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้น เขาถูกตีเข้าทีแขนก็จริง แต่ร่างกายเขาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
“ฉัตร?”
“เฮ่! ทำใจดีๆไว้?”
เคทลินและคริสต์รีบเข้ามาด้วยอาการตกใจ เขาร้องเสียงดังมากจนได้ยินไปถึงภายนอกกระโจม
อินกองทนต่อความเจ็บปวดแล้วพยักหน้ากลั้นน้ำตาเล็กน้อยที่เล็ดลอดออกมา นั่นก็เพราะสิ่งที่เขาต้องการ ได้สัมฤทธิ์ผล
[คุณได้เรียนรู้ ลมปราณ ขั้น1]
“หึหึ”
แต่เขาก็รู้สึกแย่ลงเมื่อพลังงานบางอย่างได้แผ่ไปทั่วร่าง
“เฮ่! เฮ่! ทำใจดีๆไว้?”
เสียงของคริสต์ดูห่างไกลออกไป แค่โดนตีที่แขนทำเขาถึงกับเป็นลมเอาได้? หรือว่าจะเป็นผลข้างเคียงจากการบังคับให้ลมปราณในตัวตื่นขึ้น?
“ฉัตร!”
อินกองยิ้มด้วยความพอใจ ในขณะที่ใบหน้าปนน้ำตาของเคทลินค่อยๆจางลง
#เฮ้ย เดี๋ยว แกยังไม่ตาย ไม่ต้องทำตัวเหมือนพระเอกหนังโศกนาฏกรรม
&
อินกองตกอยู่ในความมืดมิด
หนังตาของเขาหนักอึ้ง จึงไม่แปลกใจที่เขามองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
เขาเห็นกลุ่มคนมารวมตัวกันที่บริเวณด้านหน้า ถึงแม้รอบข้างจะมีแต่ความมืดก็ตาม
เขาเห็นสตรีผมขาวมีมงกุฎประดับบนศีรษะ นางคือสตรีในชุดขาวที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้
แต่นางไม่ได้อยู่เพียงลำพัง มีเงาตะคุ้มสามเงาอยู่ข้างนาง
ผู้หญิงผมสีบลอนด์ออกแดงราวกับเปลวไฟ พร้อมรัศมีสีแดงรอบกายนาง
ผู้ชายผอมโซเห็นจนถึงกระดูกในชุดดำทมิฬ ยากที่จะแยกเขาจากความมืดโดยรอบ
เงาสุดท้ายเป็นของผู้ชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน เขาปิดบังใบหน้าด้วยหมวกเหล็กรูปกระโหลกศีรษะ
อินกองต้องการเคลื่อนที่เข้าใกล้เพื่อสังเกตทั้งสามให้ชัดขึ้น แต่ไม่ว่าเดินเท่าไรก็ไม่ถึง
สตรีในชุดขาวหันหน้ามามองอินกอง ดวงตาสีน้ำเงินและแดงของนางจ้องมองเข้าไปในลูกตาของเขา แล้วเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้น
“แกไม่เป็นไรนะ?”
“เหวอ!”
ทันทีที่เขาลืมตา อินกองเห็นใบหน้าของออร์คอยู่ตรงหน้าอย่างใกล้ชิด เขาพยายามเคลื่อนตัวออกห่างอย่างเร่งรีบ
“แฮ่ก แฮ่ก…ทำเอาตกใจหมด”
มันก็หน้าตกใจอยู่ ที่ในขณะกำลังมองหญิงงาม ใบหน้านั้นก็เปลี่ยนเป็นออร์คอย่างกระทันหัน
เจ้าออร์คตัวนี้ก็คือคารัค มันจ้องมองอินกองแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“แกฝันร้ายใช่ไหม?”
“เอ่อ มันก็…”
อินกองส่งเสียงออกมาด้วยความสับสน เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะฝัน แต่ก็ไม่สามารถจดจำความฝันได้ ภาพมันเบลอไปหมดในหัว
“ช่างเถอะ มันก็แค่ความฝัน ว่าแต่แกขอให้องค์หญิงอัดทำไม เธอท่าทางกระสับกระส่ายมาก หลังจากที่แกสลบไป”
อินกองรีบตรวจดูนาฬิกา เวลาได้ล่วงเลยไปราวห้าชั่วโมง ทำให้เขารู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องก้าวออกจากกระโจมว่าข้างนอกมืดแล้ว
‘เธอจะเป็นกังวลขนาดไหนนะ?’
เขานึกภาพใบหน้าของเคทลินก่อนที่เขาจะสลบขึ้นมา ใบหน้าอันสับสนของเธอดูน่ารักมาก
“องค์ชาย?”
“อ่อ ไม่มีอะไร”
นี่ไม่ใช่เวลามาคิดอะไรไร้สาระเขานั่งเอนหลังพิงผนัง แล้วยื่นมือออกมาโดยไม่สนใจสายตาคารัคที่มองมาอย่างสงสัย
“แปปนะ”
เขาลองหลับตาตั้งสมาธิไปทั่วร่าง เขาสัมผัสถึงบางอย่างได้ในทันที
“โอ้ววว เรารู้สึกถึงมันได้แล้ว!”
นี่คือลมปราณ ถึงจะเป็นเพียงแค่ขั้นแรก แต่ก็เป็นลมปราณไม่ผิดเพี้ยน!
ตาของอินกองเป็นประกายในขณะที่คารัคมองมาด้วยความตกใจ
“ข้าสัมผัสได้ถึงบางอย่างในตัวแก”
“ลมปราณ ผมขอให้เคทลินนูนะใช้ลมปราณอัดผม เพื่อที่ผมจะได้รับรู้มัน”
“ฮ่ะ? จะบอกว่าแกปลุกลมปราณได้จากแค่การรับรู้มัน?”
คารัคถึงกับทึ่งไปเลย อินกองรีบโบกปัดปฏิเสธ
“มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น จะว่ายังไงดีละ มันอธิบายยากนะ”
เป็นเรื่องจริง มันยากที่จะอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
คารัคกัดฟันใช้ความคิด แล้วเขาก็พยักหน้า
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่ดีแล้วที่แกปลอดภัย เอ้อ ยินดีด้วยนะที่ปลุกลมปราณได้สำเร็จ”
“ขอบคุณ นายก็น่าจะฉลองนะ ผลงานจากการฆ่าไคชินมันไม่ใช่น้อย”
‘จะว่าไปความดีความชอบพวกนี้มันเอาไปแลกอะไรได้บ้าง?’
ในเกม ความดีความชอบสามารถนำไปแลกสิ่งของทดแทนได้ที่วังจอมมาร อย่างเช่นเพิ่มเบี้ยเลี้ยง แลกของวิเศษ แลกสิทธิ์ในการเข้าถึงสถานที่บางแห่ง
‘แลกเอาคารัคมาจะดีไหมนะ?’
เดิมทีคารัคเป็นเพียงนักรบท้องถิ่น
‘จะปล่อยมันไปก็เสียดาย เส้นทางนี้มันถูกสร้างไว้ตั้งแต่ที่เราเอาขวานให้มันละนะ’
ในอนาคตเขาอาจจะมอบอาวุธดวอฟอย่างอื่นให้มันอีกก็เป็นได้
ในระหว่างที่อินกองใช้ความคิด คารัคก็จ้องมามาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด มันมองไปโดยรอบ ก่อนจะส่งเสียงถามอย่างระมัดระวัง
“อันที่จริง ข้ามีเรื่องที่อยากถาม”
“นายอยากจะถามอะไร?”
“ก็ ตอนที่ข้าสู้กับไคชิน มันมีบางอย่างแปลกไป ตอนนั้น ข้ารู้สึกได้ถึงพลังมากมายที่เพิ่มขึ้นมาในร่างอย่างกระทันหัน แล้วก็…เอ่อ…”
“อะไรอีก?”
“มัน…มันอธิบายยาก แต่ข้ารู้สึกภักดีต่อองค์ชายขึ้นมา? เป็นความรู้สึกที่เร่าร้อนดั่งเปลวไฟ”
ใต้ร่มเงากษัตริย์
พระราชาสามารถที่จะปลุกพลังที่หลับไหลในตัวผู้ติดตามพระองค์ให้ตื่นขึ้นมาได้
อินกองตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ถูกต้องแล้ว ผมเพิ่มพลังให้นาย”
“โอ้ว? ถึงยังไง องค์ชายก็เป็นองค์ชายสินะ!”
“ถูกต้อง เพราะฉะนั้น รับใช้ผมซะ!”
“รับทราบพะย่ะคะ”
คารัคพูดล้อเลียนด้วยรอยยิ้ม แต่ด้วยใบหน้าของออร์ค มันก็ยังคงดูดุดัน
‘เราเอาคารัคเป็นองครักษ์ส่วนตัวเลยได้ไหมนะ? ในวันนี้มันสู้ได้เก่งมากเลย’
ถึงขุนพลคนแรกของเขาไม่ใช่สาวงามอย่างซัคคุบัสหรือเอลฟ์รัตติกาล แต่ขอทานไม่มีสิทธิ์เลือก
“จะว่าไป นายช่วยเล่ารายงานศึกวันนี้ให้ผมทีสิ? คริสต์ฮยองกับเคทลินนูนะไม่ได้บอกอะไรผมเลย”
ด้วยผลข้างเคียงจากการปลุกลมปราณ มันทำให้เขาดันสลบไปเสียก่อน
คารัคพยักหน้าพร้อมกำมือแน่นแล้วเริ่มอธิบาย
“องค์ชายคริสต์ กับองค์หญิงเคทลินตีแตกทัพของไคชิน ส่วนพวกเราได้สังหารไคชินกับไคดุม เพราะพวกเรา ศึกนี้ก็เลยเป็นชัยชนะอย่างสมบูรณ์ พวกเราก็เลยยึดกองบัญชาการของพวกมันไว้ได้”
อินกองคิดประมวลผลในหัวหลังจากที่ได้ยินรายงาน
“เดี๋ยวนะ กองบัญชาการ?”
“อย่าบอกนะว่าลืมไปเหมือนกัน?”
คารัคถามด้วยตาที่ตกใจเป็นไข่ห่าน
“ที่ถูกส่งมาปราบกบฎสายฟ้าชาดไม่ใช่ว่ามีแค่ ผม คริสต์ แล้วก็เคทลินหรอกหรือ?”
“แบบนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้ เผ่าสายฟ้าชาดไม่ได้ขาดแคลนในกำลังพลนะ”
ฟังดูมีเหตุผล ถ้านับคารัค กำลังพลของฉัตรก็มีแค่ออร์ค 31 ตน เคทลินก็มีมากกว่าเขาไม่มาก แล้วถึงแม้จะนับรวมคริสต์ด้วยก็ตาม ทั้งหมดก็จะมีเพียง 400 โดยประมาณ
ทั้งอินกอง เคทลิน และคริสต์ ไม่มีใครสามารถที่จะยึดฐานบัญชาการได้
“ใครเป็นผู้ยึดกองบัญชาการ?”
อินกองรีบถามในทันที เขาสังหรณ์ใจบางอย่าง
คารัคเกาหัวอย่างภูมิใจเล็กน้อยก่อนที่จะตอบ
“ท่านแม่ทัพแวนเดล”
โอเกอร์แวกเดล ผู้ที่มีกำลังเทียบเท่าทหารนับร้อย
แม่ทัพมือขวาของแซเฟียร์
คำฝากจากผู้แต่ง: คำถามพวกนี้น่าจะโผล่มาในไม่ช้า เพราะงั้นผมจะชิงตอบไปก่อนเลยละกัน
Q : จอมมารเป็นเผ่าอะไร?
A : สุร ครับ
#เผ่าที่รู้จักกันในทางโลกตะวันตกว่า sura(สุร) หรือ deva(เทวา)
เพราะฉะนั้น ลูกๆของจอมมารทุกคนเป็นลูกครึ่งของเผ่านั้นๆ + ครึ่งสุร
อย่างเช่น ฉัตร: สุระ + คนธรรพ์/ คริสต์ เคทลิน: สุร + ไลแคนโทรป (กาลาฮัดที่เป็นพ่อที่แท้จริงของเคทลินก็เผ่า สุร เหมือนกัน)
#กาลาฮัดเป็นสุรตนเดียวที่ชื่อออกไปทางอังกฤษเหมือนเผ่าไลแคนโทรป
ส่วนลูกๆคนอื่นๆก็จะค่อยๆเฉลยมา(ราชินีทั้ง 5 ไม่ซ้ำเผ่า)