Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 112
ทำเลที่ตั้งของเอเวียงมีลักษณะคล้ายคลึงกับวังจอมมาร เป็นเมืองหลักทางฝั่งตะวันออกที่รายล้อมหัวเมืองเล็ก
เอเวียงมีทำเลติดเขตชายแดนที่เป็นแหล่งชุกชุมของเหล่าชนเถื่อน ชนเถื่อนที่ว่าก็คือกลุ่มชนที่เลือกไม่อยู่ใต้การปกครองของจอมมาร
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกมารมิได้มีเพียงสถานที่ตั้งกับฤดูกาล แต่ยังรวมถึงพลังทั้งหลายที่ทั้งสถิตหรือล่องลอย และความแข็งแกร่งของธาตุธรรมชาติในบริเวณนั้น
สภาพอากาศของเอเวียงเป็นเมืองหนาวคล้ายคลึงดินแดนทางเหนือ ผืนดินที่แห้งแล้งกับเหล่าชนเถื่อนที่อยู่ไม่ไกลทำให้ดินแดนแห่งนี้ยากแก่การดำรงชีวิต
ถึงกระนั้นทางวังจอมมารก็ไม่สามารถปล่อยละเลยดินแดนเอเวียงนี้ ยิ่งการยกให้กับเหล่าชนเถื่อนยิ่งเป็นเรื่องที่น่าอดสู
หัวเมืองเล็กรายล้อมเอเวียงก็มิใช่สถานที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยเช่นกัน โลกมารอาจมีกฎเกณฑ์ทั่วไปอยู่บ้างแต่มิใช่กับเอเวียง ดินแดนไร้ระเบียบที่หมาบ้าแจ็คสามารถอาละวาดไปทั่ว ทว่าเมืองทาก้าก็สามารถนำข้อนี้มาใช้ประโยชน์ ไร้ข้อบังคับย่อมหมายถึงการตรวจตราเพียงเล็กน้อยกับศีลธรรมที่หละหลวม
หัวเมืองทาก้าจึงกลายเป็นสถานเริงรมย์ สิ่งทั้งหลายที่ลักลอบกระทำในตลาดมืดสามารถตั้งตระหง่านได้อย่างเปิดเผย
แน่นอนว่าเมืองทาก้าได้มอบของขวัญเล็กน้อยให้กับวังจอมมาร นั่นทำให้เหล่าผู้บริหารระดับสูงเลือกที่จะมองข้ามการกระทำหลายอย่างในเมืองแห่งนี้
#คอรัปชั่น!! ไม่สิอันนั้นทำแบบลักลอบ ทำอย่างเปิดเผยแบบนี้เรียกว่าอะไรดี?
อินกองมองสำรวจผ่านแผนที่ย่อของเขาเพื่อเลือกเส้นการเดินทางให้กับคณะมุ่งสู่ปราสาทเอเวียง ทางหนึ่งคือแวะผ่านเมืองทาก้า อีกทางหนึ่งคือตัดตรงไปยังเอเวียง
‘แต่เราอยากไปแวะทาก้า’
เนื่องจากนี่อยู่ระหว่างภารกิจ พวกเขาจึงไม่สามารถแวะนอกเส้นทางได้มากนัก ทำได้เพียงชั่วครู่
‘เอาวะ ข้ออ้างว่าเติมวัตถุดิบที่คิดเมื่อวันก่อนน่าจะพอใช้ได้’
อินกองผงกหัวให้กับความคิดที่ผุดขึ้นมา ก่อนจะหันไปทางเฟลิซี
“เอ่อ นูนะครับ”
เฟลิซีที่กำลังเตรียมตัวพักผ่อนหันขวับมาทางเขาก่อนจะจะพูดอย่างเจ้าเล่ห์
“ทำไมรึ? อยากแวะไปทาก้าละสิ?”
น้ำเสียงเย้าหยอกมิใช่เย็นชาดั่งคราวก่อน นี่ทำให้อินกองถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วกล่าวเพิ่ม
“เอ่อ ผมคิดว่าจะเอาสมบัติไปประมูลขายนะครับ”
“อ่าฮะ”
เฟลิซียังคงพูดอย่างหยอกล้อนั่นเพราะท่าทางอันเขินอายของอินกอง
“ใช่แล้ว พวกเราควรจะแวะไปทาก้าพร้อมกับฉัตร ยังไงซะฉันก็นัดหมายไว้ที่ทาก้า”
“นัดหมาย?”
“ใช่แล้ว พวกไลแคนโทรปก็กำลังมุ่งหน้าไปทาก้าใช่ไหม?”
เฟลิซีหันหน้าไปถามเคทลิน เคทลินที่กำลังนั่งสมาธิโคจรลมปราณพยักหน้าก่อนจะลืมตาขึ้น
“ก็เพราะว่าฉัตรอยากไปเที่ยวทาก้า”
ต่างไปจากเฟลิซี เคทลินตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองพลางจดจ้องไปยังอินกอง
เฟลิซีหัวเราะให้กับท่าทางของเคทลินก่อนจะหันไปทางอินกองอีกครั้ง
“ฉันได้นัดหมายเอาไว้แล้ว ครั้งนี้เป็นภารกิจทางยุทธ กำลังเสริมไม่ว่าจะมากน้อยย่อมเป็นเรื่องที่ดี ฉันเตรียมไว้ตั้งแต่เธอเลือกจะมาเอเวียงแล้ว”
ในตอนที่อินกองเล่นเป็นแซเฟียร์ กำลังเสริมจากเผ่ามังกรก็มาสมทบเรื่อยไป กระทั้งในคราวปราบกบฏเผ่าสายฟ้าชาด ทั้งคริสต์กับเคทลินต่างก็มีทหารไลแคนโทรปร่วมร้อย
“ด้วยข้อจำกัดทางขนาดเหล่ากำลังเสริมจึงไม่สามารถเคลื่อนผ่านค่ายกลข้ามมิติจุดเดียวกับพวกเรา จุดหมายต้องเป็นค่ายกลที่มีขนาดใหญ่กว่านี้ และบังเอิญค่ายกลขนาดใหญ่ที่ว่าก็อยู่ใกล้เมืองทาก้า”
เฟลิซีขยิบตาท้ายประโยคของนาง เมืองทาก้าถูกกำหนดไว้เป็นจุดหมายแต่แรกเริ่มแล้ว ถึงกระนั้นนางก็ยังทำเย็นชาใส่เมื่ออินกองบอกว่าอยากไปเยือนตลาดทาส
เฟลิซีหัวเราะให้กับท่าทีของอินกอง ก่อนจะกล่าวเสริม
“แล้ว… เผ่าเอลฟ์รัตติกาลก็จะส่งกำลังเสริมมาด้วย… คือว่าฉัน… ฉันหมายความว่า… ”
เฟลิซีกระอักกระอ่วนพลางพยายามสังเกตสีหน้าของอินกอง นั่นเพราะอินกองไม่สามารถรับกำลังเสริมจากทางเผ่าคนธรรพ์ได้ ทั้งเฟลิซีกับเคทลินต่างเลือกติดตามเขาแต่ทั้งสองก็มีกำลังเสริม แต่ตัวเขาเองไม่มีแต่น้อย ทว่าแทนทีจะมีสีหน้าหงุดหงิดดังที่เฟลิซีคาดคิด อินกองกลับยิ้มออกมา
“ขอบคุณที่เป็นห่วงแต่ไม่เป็นไรครับ แล้วก็เพราะนูนะอยู่ที่นี้ทหารพวกนั้นก็เหมือนกำลังเสริมของผมด้วย”
นี่ก็เป็นกำลังเสริมของเฟลิซี แม้จะมองข้ามเรื่องที่พวกเขาอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้ว นางก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล
“ใช่ไหมครับ?”
“ฝ่ายไลแคนโทรปก็เหมือนกัน”
เคทลินรีบกล่าวเสริม อินกองยังไม่มีโอกาสพบเจอกับราชินีของเหล่าเอลฟ์รัตติกาล เผ่าไลแคนโทรปจึงเรียกได้ว่าเป็นพันธมิตรที่ทรงพลังที่สุดของเขา
เฟลิซีขบขันกับท่าทีของเคทลิน
“อย่างไรเสียพวกเราก็มีเวลาเที่ยวกันถมเถ กว่าทหารกำลังเสริมจะมาถึงก็น่าจะราว 2-3 วันได้”
“นี่องค์หญิง ทำไมเหมือนแกอยากแวะไปทาก้ามากกว่าองค์ชาย?”
คารัคที่ฟังอยู่มาตลอดกล่าวแทรกขึ้น เฟลิซียักไหล่ตอบมันอย่างกวน
“ก็นะ งานประมูลน่าสนใจอยู่ไม่น้อย นี่เคทลิน เธอคิดว่างั้นเหมือนกันไหม?”
“ออนนี่เคยไปทาก้าแล้วหรือคะ?”
เคทลินรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที เฟลิซีใช้ร่มพับของนางตบไหล่เคทลินเล็กน้อย
“ฉันเคยแวะไปอยู่บ้าง เพราะงั้นไม่ต้องให้ใครนำทางหรอก แล้วก็ในเมืองไม่เป็นอย่างที่ฉัตรหวังไว้หรอกนะ”
“ฮะ? อะไรนะครับ?”
อินกองสะดุ้งหลังจากถูกพาดพิง แต่เฟลิซีแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเขาพลางหันไปทางอมิตาภาแทน
“นี่ค่อนข้างน่าสนใจสำหรับอมิตาภาเชียวละ”
“ที่พลุกพล่านแบบนั้นน่ารำคาญออกฮะ”
อมิตาภาพูดด้วยถ้อยคำที่ไม่แยแสระหว่างแกะสลักอักขระบางอย่างลงอัญมณี ทว่ากลับมีเสียงหางตบพื้นกลับดังขึ้น
“เจ้าแรคคูนพูดมาก การปรับแต่งยังไม่เสร็จอีกรึ?”
กรีนวินด์ปรากฏกายเนื้อขึ้นเอ่ยถาม พวกเขาเดินทางมาได้หลายวันหลังแยกตัวจากวังจอมมาร ถึงกระนั้นการปรับแต่งก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์นัก เป็นเหตุให้อินกองต้องใช้พสุธากัมปนาทที่อยู่ระหว่างการปรับแต่ง
อมิตาภาชายตามองกรีนวินด์ก่อนใช้หางตบพื้นอย่างรุนแรง
“ปรับแต่งโดยไม่มีห้องทำงานมันก็ต้องนานอยู่แล้วฮะ!”
อมิตาภาสูดหายใจเข้าก่อนหันไปกล่าวเสริมให้อินกอง
“แต่น่าจะเสร็จภายในพรุ่งนี้ฮะ อย่าห่วงฮะ เสร็จก่อนถึงเอเวียงแน่นอนฮะ”
หากมองอย่างคร่าวการปรับแต่งที่ว่าก็ถึงขั้นตอนสุดท้าย การเจียรอัญมณีเพื่อประกอบเข้ากับถุงมือเหล็ก เฟลิซีรีบพูดปลอบประโลมเจ้าแรคคูนน้อย
“อย่าโมโหไปเลย ไว้เธออยากได้อะไรที่ทาก้าฉันจะซื้อให้หมด”
“คิดว่าอมิตาภาเป็นเด็กหรือไงฮะ? ของแบบนั้นซื้ออมิตาภาไม่ได้หรอกฮะ”
ทว่าหางของเจ้าแรคคูนกลับทรยศคำพูดของมัน
เฟลิซีพยายามกลั้นหัวเราะพลางส่งสัญญาณตาไปยังอินกอง แน่นอนว่าเคทลิน คารัค และสมาชิกที่เหลือต่างพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้เช่นกัน
ทว่ากลับมีผู้หนึ่งที่ไม่รับรู้ถึงสัญญาณนี้
“เจ้าแรคคูนพูดมาก เจ้าส่ายหางอย่างดีใจเชียวนะ”
อมิตาภาตัวแข็งทื่อทันที อินกองหันไปเคาะหัวกรีนวินด์เบาเบา
&
เมืองแห่งความบันเทิง ทาก้าแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกำแพง ภายนอกสามารถเข้าถึงได้ทุกชนชั้น แน่นอนว่าภายในกำแพงย่อมเป็นส่วนของเหล่าผู้ร่ำรวย ทั้งด้านความปลอดภัยและความหรูหรา
การพนันเป็นความบันเทิงเล็กน้อยที่เหล่าพวกนอกคอกต่างแสวงหา เนื่องจากเป็นแดนปลอดกฎหมาย การใช้กำลังแก้ความขัดแย้งจึงเป็นอีกหนึ่งความบันเทิงที่ผู้สัญจรสามารถรับชมได้หน้าบ่อนพนัน แน่นอนว่าย่อมมีการพนันผู้ชนะตามมา นอกจากนี้ร้านค้าแผงลอยทั่วไปยังมีสิ่งของต้องห้ามวางขายเกลื่อนกลาด
เฟลิซีอาจเคยมาเยี่ยมชมเมืองทาก้า แต่แน่นอนว่านั่นเป็นเขตแดนภายในกำแพง
เฟลิซีเดินนำทางคณะอินกองผ่านเส้นทางที่ค่อนข้างปลอดภัย นางกล่าวบอกบางสิ่งแก่ยามเฝ้าประตูกำแพง ครู่ต่อมาพนักงานในชุดสูทก็ปรากฎตัวเพื่อนำทางเหล่าสมาชิกไปยังส่วนพิเศษ
พนักงานนำทางพวกเขามายังห้องที่ใหญ่โตตกแต่งอย่างงดงาม นี่เป็นโรงแรมที่มีไว้ต้อนรับแขกระดับVIP หลังจากจัดเก็บของ เฟลิซีก็คว้าแขนเคทลินก่อนจะหันมาพูดกับอินกอง
“เธอเดินเล่นกับเจ้าออร์คละกัน ฉันจะพาเคทลินไปซื้อของ อมิตาภาจะมาด้วยกันไหม?”
เจ้าแรคคูนกระโดดเข้าอ้อมแขนของดาฟเน่ นางเลิ่กลั่กก่อนจะพยักหน้ารับคำเชิญจากเฟลิซีแทนอมิตาภา
เฟลิซียิ้มก่อนจะหันหน้าไปหาคารัค
“คารัค ฉันฝากเธอคุมความประพฤติฉัตรด้วย”
“ไม่มีปัญหา”
คารัคตีอกตัวเองอย่างภาคภูมิ
“คิดว่าผมจะทำอะไรกันเนี่ย?”
“ก็คงต้องรอดู?”
เฟลิซีขบขัน ส่วนเคทลินหรี่ตาจ้องอินกอง
“เจอกันอีกทีตอนบ่าย พวกเราต้องเตรียมตัวสำหรับงานประมูลตอนเย็น ฉะนั้นให้กลับกันมาก่อนงานจะเริ่มด้วย”
หลังเฟลิซีพูดเสร็จ นางก็แยกตัวออกไปพร้อมกับสมาชิกตนอื่น เหลือเพียงอินกองกับคารัคในห้อง
อินกองถอนหายใจก่อนหันไปสั่งคารัค
“งั้นพวกเราก็ไปตลาดทาสกันได้แล้ว”
สถานที่เพื่อค้นหาเบาะแสของนาตาช่า
คำสั่งจากอินกองทำให้คารัคตาเบิกโพลง
“หา? นี่แกสนใจจะซื้อทาสจริงๆ?”
“ผมไม่ได้สนใจ แค่อยากจะตรวจสอบอะไรนิดหน่อย”
“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ”
คารัคพยักหน้าพลางตบไหล่อินกองด้วยสีหน้าจริงจัง อินกองถอนหายใจพลางเดินทางสู่ตลาดทาส เขาตรวจสอบร้านค้าในย่านตลาดทาสกับคารัค ทว่าไม่มีสักร้านที่เขาพบข้อมูลที่ต้องการ
“ขอโทษด้วยครับคุณลูกค้า ทางเราไม่มีทาสชื่อนาตาช่าที่คุณลูกค้าถามหา”
บางทีนางอาจถูกลงทะเบียนไว้ในชื่ออื่น อินกองจึงเปลี่ยนวิธีตรวจสอบ เขาค้นจากรายการทาสเผ่าพันธุ์ซัคคุบัสแทน ถึงกระนั่นก็ยังล้มเหลว
‘มันก็พอเป็นไปได้’
อ้างอิงจากในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า แซเฟียร์พบนาตาช่าที่ลานประมูลทาสในปี 513 ทว่าเหตุการณ์ในตอนนี้ยังเป็นเพียงปี 512 มีความคลาดเคลื่อนถึงหนึ่งปี
‘ร้านสุดท้ายแล้ว ถ้ายังไม่เจอจะเอายังไงดี?’
อินกองเดินเข้าร้านค้าทาสด้วยสีหน้าหมดหวัง
ระหว่างที่อินกองตรวจดูเหล่าซัคคุบัส คารัคมองเจ้าชายตรงหน้าอย่างเอ็นดูปนเคลือบแคลง แทนที่จะหยอกล้อ มันกลับถามด้วยสีหน้าที่จริงจังมากที่สุด
“ซัคคุบัสที่ชื่อนาตาช่านั่น สำคัญกับองค์ชายมากเชียวหรือ?”
“นางสำคัญมาก”
ไม่เพียงแต่เพราะนางเป็นขุนพลตนโปรดในยามที่เขาเล่นเกมบทกวีแห่งผู้กล้า นางยังเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การกวาดล้างเผ่าไลแคนโทรป
ท่าทีของอินกองทำให้คารัคหรี่ตาลงถามเพิ่ม
“องค์ชายพอจะบอกรูปพรรณสัณฐานนางได้ไหม? ข้าจะได้บอกพวกนายหน้าไว้ หากมีทาสที่ตรงตามที่บอก จะได้ให้พวกนั้นรีบติดต่อเรา”
“วิธีนั้นก็ไม่เลว”
นาตาช่าปรากฏตัวในหนึ่งปีให้หลังที่ลานประมูลทาส หากเป็นเช่นนั้นจริง นางก็ควรจะมาถึงเมืองทาก้าภายในไม่กี่เดือนถัดจากเวลานี้
อินกองพยายามอธิบายลักษณะเด่นของนางเท่าที่เขาจำได้
“นางมีเส้นผมสีชมพู ใบหน้านางจัดว่าเลอโฉมแม้แต่ในหมู่ซัคคุบัสด้วยกัน นางคล้ายคลึงกับฟลอร่า… หมายถึงบรรยากาศรอบตัวนางนะ บุคลิกนางเย็นชาคล้ายฟลอร่า นางมีเขาทั้งสองสีเหลืองสด ส่วนสูงนางประมาณเฟลิซีนูนะ? ผิวนางขาวเหมือนเคทลินนูนะ ดวงตานางสีน้ำเงินอ่อน นาง… ”
“นางมัดผมทรงหางม้าด้วยหรือเปล่า? หางม้ายาวจนถึงสะโพกได้”
คารัคพูดขัดคำบรรยาย นั่นทำให้อินกองตาโต
“ใช่แล้ว นายรู้ได้ยังไง?”
คารัคไม่ตอบ มันกลับชี้ไปยังสตรีนางหนึ่งที่กำลังพูดคุยกับนายหน้าค้าทาส เครื่องแต่งกายบ่งบอกว่านางมิใช่ทาสแต่เป็นลูกค้าที่มาติดต่อ
แน่นอนว่าอินกองรู้จักนาง
‘นาตาช่า?’
ซัคคุบัสนาตาช่า ผู้ปรากฏตัว ณ ลานประมูลทาสในเวลาหนึ่งปีให้หลัง
เพียงแค่ว่าในตอนนี้นางยังคงเป็นไท