Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 13
อินกองไม่ได้เพิ่มขั้นให้ลมปราณเพียงเพราะต้องการทำให้พี่น้องไลแคนโทรปตกใจเท่านั้น
เพียงแต่ในตอนนี้ ลมปราณมีประโยชน์มากกว่าเทเลคิเนซิส
เขาสามารถใช้ลมปราณเสริมพลังให้ร่างกายได้
ถึงจะไม่สามารถเทียบเท่านักกีฬาโอลิมปิคได้ก็ตาม แต่ก็ได้อย่างน้อยสักครึ่งหนึ่ง มันทำให้เขาสามารถแสดงพลังออกมาได้โดยไม่ต้องพึ่งเทคนิคสำคัญแต่อย่างใด
ในการต่อสู้ ถ้าไม่นับเทคนิคต่างๆเข้าแล้ว ผู้ที่ว่องไวและแข็งแรงกว่าย่อมเป็นผู้ชนะ
‘เทเลคิเนซิสต้องใช้การฝึกฝนค่อนข้างเยอะ เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้มันฆ่าศัตรูได้ตั้งแต่เนิ่นๆ’
เขาไม่ได้จะทิ้งมันไปเลย เพียงแต่ยังไม่คิดจะเพิ่มระดับให้มันเท่านั้น
อินกองได้เก็บแต้มพิเศษที่เขาได้จากการเพิ่มเลเวลเอาไว้ตลอด นั่นก็ด้วยเหตุผลสองประการ
ประการแรก เขายังไม่มั่นใจว่าทักษะอะไรเหมาะแก่การใช้แต้มทั้งหมดที่เขามี
ประการที่สอง การพัฒนาในระดับที่สูงขึ้น ก็ใช้แต้มที่มากขึ้นไปด้วย เขาคิดที่จะเก็บแต้มเหล่านี้ไว้ใช้ยามสำคัญเสียมากกว่า
มันเป็นความคิดพื้นฐานสำหรับคนเล่นเกม
แต่หลังจากที่เขาต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเข้าจริงๆ เขาก็เปลี่ยนความคิด
แต้มทักษะ? แน่นอนว่าหากเขาตายไป ทั้งหมดก็จะสูญเปล่า เขาจึงเลือกที่จะใช้มันเพื่อให้อยู่รอด แทนที่จะเก็บไว้ใช้ให้เต็มประสิทธิภาพ
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพอเก็บแต้มไว้นิดหน่อย เผื่อในกรณีที่เขาเรียนรู้ทักษะที่เขาต้องใช้ อย่างเช่นลมปราณ
‘เอาจริงๆ นี่ก็ไม่ใช่เวลามาเรื่องมากเท่าไรนะ’
เขายังพอมีตัวเลือกอยู่บ้าง นั่นก็ต้องขอบคุณคารัคกับเหล่าทหารออร์คทั้งหลาย ถ้าเขาอยู่เพียงตัวลำพัง เขาคงเลือกทักษะพวกที่เพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้เขาโดยไม่ต้องเสียเวลาลังเล
“ความสามารถระดับนี่นี้มันสุดยอดอัจฉริยะเลยนะ มันน่าแปลกใจที่ไม่มีข่าวลืออะไรเล็ดลอดมาเลย”
คริสต์พูดด้วยสายตาชื่นชมปนสงสัย
“บางทีก็ไม่ใช้ว่าทุกคนจะค้นพบความสามารถที่แท้จริงตั้งแต่เกิด”
เคทลินพูดจากข้างๆอินกอง เขาไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ดูที่เธอพูดอย่างภาคภูมิใจ มันเหมือนกับเธออยากจะอวดว่า ‘น้องชายของฉันสุดยอดที่สุด!’
‘แต่ถ้าเทียบแล้วเราก็เป็นน้องของคริสต์เหมือนกันนะ’
อินกองหัวเราะพลางกวาดสายตาไปทางคริสต์ คริสต์ได้แต่พยักหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เสียของจริงๆ เราชักอยากได้เจ้าหนูนี่มาเป็นลูกศิษย์ซะแล้วสิ”
หลังจากพบเห็นพรสวรรค์ในลักษณะนี้ ผู้คนส่วนใหญ่จะมีการตอบสนองในสองทางเท่านั้น
ชื่นชมไม่ก็อิจฉา
พวกเขาต้องการที่จะปั้นอัจฉริยะคนนี้ ไม่ก็ปล่อยให้เน่าตายอยู่อย่างลำพังเดียวดาย
เป็นการดีที่คริสต์และเคทลินจัดอยู่ในจำพวกแรก
‘แต่ว่า คงจะยากเอาการ’
ความสัมพันธ์ระหว่างลูกของราชินีและลูกของเหล่านางกำนัลค่อนข้างที่จะซับซ้อน การที่คริสต์กับเคทลินญาติดีไม่ได้หมายความว่าทั้งคู่จะมาเขาร่วมกองกำลังของอินกองแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น นีเป็นการสอนการใช้ลมปราณพื้นฐานอินกองเสียมากกว่า
ผู้ที่เทียบเท่าเหล่าไลแคนโทรปในเรื่องของลมปราณได้ ก็มีเพียงน้อยนิดเท่านั้น ดังนั้นการสอนเคล็ดลับของเผ่าจึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน
มันน่าหงุดหงิดก็จริง แต่อินกองทำได้แค่ถอดใจเท่านั้น ทว่าคริสต์กลับคิดไปอีกอย่าง
“นี่ ฉัตร”
คริสต์พูดพลางกางแขนของเขามาโอบไหล่อินกองไว้ เขาเปลี่ยนมากระซิบถามอินกองเบาๆราวกับมีความลับอะไรบางอย่าง
“สนใจจะให้ฮยองคนนี้สอนไหม? ถึงแม้จะแค่ในช่วงเวลาระหว่างทำภารกิจนี้ก็ตามเถอะ”
องค์ชายคริสต์แห่งเผ่าไลแคนโทรปจะสอนวิธีการควบคุมลมปราณให้อินกองด้วยตนเอง
จากมุมมองของฉัตรแล้ว นี่เป็นข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธ แต่อินกองก็เลือกที่จะคิดให้รอบคอบก่อนที่จะตอบรับข้อเสนอนี้
‘เราควรจะเอายังไงดี?’
ในบรรดาลูกๆของจอมมาร ก็มีการแบ่งพันธมิตรแบ่งฝั่งกันออกเป็นหลายฝ่าย
มีปัจจัยหลายอย่างในการเข้าร่วมฝ่าย แต่ที่สำคัญที่สุดก็คงไม่พ้นความสัมพันธ์ทางฝั่งแม่
ไม่ว่าตัวเด็กจะคุ้นเคยกันหรือไม่ก็ตาม ถ้าแม่ของพวกเขาสนิทกันหรืออยู่ฝั่งเดียวกัน พวกเขาก็จะเข้าร่วมฝ่ายเดียวกัน และในทางตรงกันข้าม แม้พวกเขาจะรักกันแค่ไหน ถ้าแม่พวกเขาเป็นศัตรูกัน เด็กๆก็จะลงเอยด้วยการเป็นศัตรูกัน อย่างที่มีให้พบเห็นทั่วไปในละคร เช่นโรมิโอกับจูเลียต
ถึงแม้บทกวีแห่งผู้กล้าดำเนินเรื่องขึ้นในปี 513 ซึ่งเป็นเวลาอีกหนึ่งปีถัดจากนี้ แต่ข้อมูลเกี่ยวกับฝ่ายต่างๆที่อินกองมีอยู่ ก็สามารถนำมาใช้วางแผนได้
‘มีลูกจอมมารเพียงสามตนเท่านั้นที่ไม่สังกัดกับฝ่ายใด’
ฉัตร คริสต์ และเคทลิน
คริสต์และเคทลินไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ส่วนฉัตรก็อยู่อย่างเดียวดายเพราะไม่มีฝ่ายใดต้องการ
‘ถ้าเรามองดีๆ นี่เป็นโอกาสผูกมิตรกับทั้งคู่’
ถึงครอบครัวทางฝั่งแม่ของเขาจะไม่มีอิทธิพล แต่ฉัตรก็ซ่อนเร้นความสามารถไว้เยอะ พรสวรรค์ของเขามันเกินกว่าที่จะมองข้ามไปได้ นี้เป็นข้อเท็จจริงที่แม้แต่คริสต์ก็ยอมรับ
ยิ่งอินกองกำลังต้องการพันธมิตรที่แข็งแกร่งคอยช่วยเหลืออยู่ในขณะนี้ การผูกมิตรกับทั้งคู่ยิ่งดูเป็นอะไรที่ปฏิเสธยาก
ถ้าหากจะพูดถึงข้อเสีย ก็คงมีเพียงข้อเดียว นั่นก็คือชาติกำเนิดของเคทลิน
มันเป็นเรื่องที่สามารถเอามาคุยได้สนุกปาก แต่นั่นยิ่งทำให้มันเป็นปัญหาได้ง่าย – หากเกิดเรื่องขึ้นมา เขาต้องถูกดึงเข้าไปพัวพันด้วยอย่างแน่นอน
‘เพราะอย่างนั้น เราจะไม่ยอมให้มีเรื่องเกิดขึ้นเด็ดขาด’
อินกองหันหน้าไปถามเคทลิน
“นูนะคิดว่ายังไงครับ?”
“ดูเป็นความคิดที่ดีนะ”
เคทลินพยักหน้ารับอย่างจริงจัง
คริสต์พูดตัดบทขึ้นมา
“เรียนกับเราดีกว่าเรียนกับเคทนะเอ้อ ถ้าพูดถึงเรื่องลมปราณ เราควบคุมได้ละเอียดอ่อนกว่าเธอเยอะ… ไม่สิ จะผลัดกันสอนก็ดูไม่เลวอยู่ เฮ่ เคท คิดว่ายังไง?”
“ไม่มีปัญหา นูนะคนนี้จะสอนเธอทุกอย่างเอง”
เคทลินตอบขึ้นมาทันที ในแววตาที่เธอมองอินกองส่อประกายความมุ่งมั่นออกมา
“ขอบคุณครับ ผมต้องขอความกรุณาด้วยแล้ว”
“ดีมาก งั้นเรามาคุยเรื่องงานกันต่อเถอะ”
คริสต์ยิ้มเยาะแล้วเดินไปยังแผนที่สมรภูมิที่ถูกปล่อยทิ้งไว้
คริสต์อธิบายสถานการณ์ทั้งหมดให้โดยคร่าว ต้องขอบคุณแผนที่บนโต๊ะ อินกองจึงเห็นขบวนทัพตามจุดต่างๆ ได้อย่างครอบคลุม
“สถานการณ์ตอนนี้ทางฝั่งเรากำลังเป็นต่อ และถ้ายังคงดำเนินแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทัพของเราจะเคลื่อนไปถึงฐานที่มั่นของเผ่าสายฟ้าชาด ซึ่งตรงนั้นต้องเกิดการปะทะอย่างรุนแรงแน่”
มันเป็นการต่อสู้ที่ไม่สามารถเลี่ยงได้
“ฉัตร นายลองวาดแผนที่ของถ้ำที่เจอได้ไหม?”
คริสต์หันมามองอินกองอย่างคาดหวัง ต้องขอบคุณถ้ำนั่น ทำให้การหลบหนีของไคชินถูกสกัดเอาไว้ บางทีถ้ำนั่นอาจจะยังใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นต่อได้
อินกองไม่ต้องการทำให้ทั้งคู่ผิดหวัง แต่เขาไม่มีความสามารถในการวาดรูปเอาเสียเลย
‘ไม่สิ เรายังมีแผนที่ย่ออยู่!’
ถ้าใช้แผนที่ย่อช่วย เขาน่าจะพอวาดแผนที่คร่าวๆได้
‘พอคิดดูแล้ว เราก็น่าจะพอวาดได้ละนะ’
สิ่งที่เขาต้องทำก็เพียงแค่มองแผนที่ย่อ แล้ววาดตามเท่านั้น
“เอ่อ รอสักครู่นะครับ ผมจะวาดมันให้เดี๋ยวนี้”
“ฮ่ะ?”
คริสต์อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ อินกองเลือกที่จะไม่สนใจเขา แล้วหันไปทางเคทลินแทน
“นูนะพอจะมีกระดาษ กับปากกาให้ผมยืมใช้หน่อยไหมครับ?”
“เอ่อ รอเดี๋ยวนะ”
เคทลินพยักหน้าอย่างงงงวยเล็กน้อย ก่อนจะไปหยิบอุปกรณ์มาให้ อินกองเริ่มทำการคัดลอกแผนที่ลงในกระดาษที่เคทลินเตรียม เขายังใส่รายละเอียดต่างๆที่เขาพบในการสำรวจลงไปด้วย
ตอนแรก ทั้งเคทลินและคริสต์แค่มองอย่างไม่แน่ใจ แต่สักพักสายตาของทั้งคู่ก็เริ่มเปลี่ยนไป ตัวเส้นทางเองไม่ได้มีความซับซ้อนอะไร แต่ตัวแผนที่ถือว่ามีความละเอียดสูงมาก
พออินกองวาดเสร็จ คริสต์ได้แต่จ้องมองแผนที่ก่อนจะหันมาทักเขาเบาๆ
“นายนี่มัน หรือว่าจะเป็นอัจฉริยะจริงๆ?”
“เส้นทางมันจำง่ายนะครับ”
แทนที่จะกล่าวถึงแผนที่ย่อของเขา อินกองเลือกที่จะตอบไปห้วนๆ
“ความจำเธอดีมากเลยนะ”
เคทลินพยักหน้าอย่างชื่นชม แต่ในครั้งนี้ น้ำเสียงของเธอแฝงด้วยความอิจฉาเล็กน้อย
อินกองได้แต่หัวเราะแห้งๆแล้วชี้ไปที่แผนที่
“ยังไงก็ตาม…ผมสำรวจไปถึงแค่ตรงนี้”
ในครั้งที่แล้วเขาแค่เดินตามทางไปตรงๆ แต่พอมาสังเกตดีๆแล้ว เขาพบว่ายังคงมีเส้นทางเล็กน้อยแอบซ่อนอยู่
พอลองคำนึงถึงที่ตั้งของเส้นทาง และตำแหน่งต่างๆของแนวเขาจิชก้า มีความเป็นไปได้สูงว่าเส้นทางนี้จะตัดตรงไปยังฐานที่มั่นของเผ่าสายฟ้าชาด
“ถ้ำนี่ ดูท่าจะต้องลองสำรวจจริงจังแล้วละ”
คริสต์เสนอความคิดขึ้น อินกองได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย
“ไคดุมพูดลอยๆไว้ ว่ามันใช้เส้นทางนี้เป็นครั้งแรก ไคชินไม่รู้ถึงการมีอยู่ของถ้ำนี่แต่อย่างใด”
มีเพียงส่วนน้อยในเผ่าสายฟ้าชาดที่รู้เกี่ยวกับถ้ำนี่ ไคดุมอาจจะเป็นตัวสุดท้ายที่รู้เกี่ยวกับมัน
นี่จึงถือเป็นข้อมูลลับทางทหารเลยก็ว่าได้
“พวกมันไม่รู้ว่าพวกเราพบเจอถ้ำนี่แล้ว”
พวกเขาสามารถใช้เส้นทางนี้ให้เป็นประโยชน์ได้ การบุกโดยไม่ทันให้อีกฝ่ายตั้งตัวถือเป็นกลยุทธที่ทรงประสิทธิภาพในสงคราม
คริสต์หันมายิ้มให้กับอินกอง มันเป็นรอยยิ้มในแบบฉบับของไลแคนโทรป รอยยิ้มของนักล่าที่พบเหยื่อ
คำฝากจากคนเขียน:
จอมมารมีราชินี 5 พระองค์ + นางกำนัลมากมาย
ราชินีทั้ง5 มีบุตรธิดารวม 9 พระองค์ แข่งขันชิงบัลลังค์กัน
นางกำนัลต่างๆเป็นสมาชิกของฝ่ายนั้นๆ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าลูกๆของเหล่านางกำนัลจะไม่มีโอกาส จะอยู่โลกมารได้ต้องแข็งแกร่ง
ส่วนสาเหตุที่จอมมารมีนางเยอะเหลือเกินก็ไม่ใช่ว่าเขาหื่นนะเอ้อ แค่เป็นเหตุผลทางการเมือง