Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 131
บททดสอบเพื่อเป็นจอมมารสามารถแบ่งออกอย่างคร่าวได้สามส่วน
อย่างแรกคือผลงานความสำเร็จ แน่นอนว่าผู้ที่มีความดีความชอบสูงย่อมได้รับการสนับสนุนจากทางวังจอมมารมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลรวมถึงสถานที่บางแห่ง การช่วยเหลือจากขุนนางอำมาตย์ เรียกได้ว่าความสำเร็จเป็นเงื่อนไขที่ส่งผลมากที่สุดเมื่อเทียบกับอีกสองอย่าง
ถัดมาก็คือพละกำลังความแกร่งกล้า โลกมารเป็นดินแดนที่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด สิ่งนี้ยังเป็นตัวชี้วัดตัดสินในการรับภารกิจทั้งหลายอีกด้วย ส่งผลต่อโอกาสในการสร้างผลงานตามเงื่อนไขแรก และอย่างไรเสียหากเกิดการต่อสู้แย่งชิงกัน แน่นอนว่าพละกำลังย่อมเป็นปัจจัยสำคัญ
สิ่งสุดท้ายก็คือเครือข่ายสายสัมพันธ์ ยิ่งมีพันธมิตรช่วยสนับสนุนมากเท่าไรยิ่งเป็นผลดี ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าองครักษ์หรือเจ้าปกครองหัวเมืองทั้งหลาย ความสัมพันธ์เยี่ยงนี้ย่อมส่งผลต่อปัจจัยอย่างความสำเร็จและพละกำลัง การมีเครือข่ายเส้นสายที่กว้างขวางย่อมทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรเสียก็มีหลายกรณีที่ชื่อเสียงนำมาซึ่งศัตรูมากกว่ามิตร
อีกหนึ่งเหตุผลของเครือข่ายก็คือความนับหน้าถือตา แม้ว่าตัวจอมมารจะเป็นที่ศรัทธามากเพียงไร ใช่ว่าฝูงชนจะแสดงความรู้สึกเช่นนั้นให้กับทายาท
ความสำเร็จ ความแกร่งกล้า ความสัมพันธ์ จึงเรียกได้ว่าสามสิ่งนี้คือบททดสอบหลักในการที่จะขึ้นเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครอง…
ถึงจะขึ้นเป็นจอมมารได้แต่หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็มิอาจปกครองโลกมารได้ รอเพียงวันเกิดกบฏปฏิวัติ
&
“องค์ชาย ตื่น ตื่น นี่มันสายมากแล้ว”
สัมผัสของมืออันหยาบกระด้างจับไหล่ทั้งสองเขย่า
อินกองลืมตาขึ้นพบกับใบหน้าของเจ้าออร์คคารัคตามคาด เมื่อพบว่าเขาตื่นแล้ว คารัคก็ยื่นแก้วบรรจุของเหลวสีเขียวชนิดหนึ่งให้เขา
“กินซะ ยานี่จะช่วยลดอาการเมาค้างได้”
อินกองไม่มีเรี่ยวแรงในการถกเถียง เขาจึงยอมดื่มของเหลวปริศนาอย่างเสียมิได้ ไม่ว่าจะด้วยรสชาดอันสุดแย่หรือสรรพคุณของตัวยา อินกองก็รู้สึกถึงสัมปชัญญะที่กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว
คารัคหัวเราะให้กับท่าทีของอินกอง พลางยื่นน้ำเปล่าให้เขา
“ดูนายไม่เป็นอะไรเลยนะคารัค”
อินกองกล่าวออกมาพลางกุมขมับนวดบริเวณที่เขารู้สึกปวดตึง เจ้าออร์คตีอกตัวเองหัวเราะ
“หึหึ ร่างนี้มีไว้เพื่อเหล้าโดยเฉพาะ หลังจากแกหลับข้าก็ยังดื่มต่อ แต่ก็อย่างที่เห็นว่าข้าปกติดี”
ผิวสีเขียวของเจ้าออร์คทำให้อินกองไม่สามารถบอกได้ว่ามันมีอาการเมาค้างหรือไม่ อินกองจึงตัดสินใจพยักหน้ารับ
“นั่นมันเรียกว่ายอมเยี่ยมไปเลย”
‘ร่างที่มีไว้เพื่อเหล้า? อะไรวะ? หรือจะบอกว่ามันอาบเหล้าแทนน้ำ?’
อินกองหลับตาพยายามจินตนาการถึงภาพอันสุดพิศดาร ก่อนเจ้าออร์คจะจับไหล่เขย่าอีกครั้ง
“นี่องค์ชาย ข้ารอจนท้ายที่สุดถึงค่อยปลุกแกนะ แต่ว่ามันเหลือเวลาไม่มากแล้ว”
เช่นเดียวกับหลังจากปราบกบฏเผ่าสายฟ้าชาด แม้พวกเขาจะได้รับชัยชนะอย่างล้นหลามแต่นั้นไม่ใช่จุดสิ้นสุด พวกเขายังมีงานต้องทำอยู่ ไม่ว่าเป็นการกู้ฟื้นป้อมปราการที่ละทิ้ง การเสริมกำลังเพื่อต่อต้านการรุกรานที่อาจเกิดขึ้นตามมาในอนาคต
เนื่องจากผู้บัญชาการภารกิจนี้คืออินกอง แน่นอนว่าความรับผิดชอบในส่วนนึ้ก็ตกเป็นของอินกองเช่นกัน หัวหน้าที่คอยบัญชาอยู่แต่เบื้องหลังย่อมไม่สามารถเรียกความนับถือจากลูกน้องได้
“เพราะงั้นลุกได้แล้ว รีบกินอาหารแล้วเตรียมตัวซะ เหลือเวลาแค่นิดเดียว”
“ขออีกน… นาตาช่า?”
อินกองชำเลืองมองแผนที่ย่อเห็นว่านาตาช่ากำลังเข้ามาหา
พร้อมกับที่นาตาช่าเข้ามาในกระโจมพร้อมกับถาดอาหารจำนวนหนึ่ง
“ใต้ฝ่าพระบาทเพคะ พระกระยาหารมาถึงแล้วเพคะ”
นาตาช่ากล่าวพลางจัดสำรับอาหารบนโต๊ะที่ใกล้เคียง ท่ามกลางสายตาของอินกองที่ยังคงสับสน
“อาหารเป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย หากใต้ฝ่าพระบาททรงไม่เสวยจักเป็นภยันตรายต่อใต้ฝ่าพระบาทเพคะ”
อินกองรับรู้ได้ถึงความประสงค์ดีของนาง แน่นอนว่าการมีหญิงงามเช่นนาตาช่าทำให้เขารู้สึกดีแต่ก็เขินอายในเวลาเดียวกัน หรือว่าบางทีนางพยายามจะสร้างความโปรดปราน?
อินกองจ้องนางสักพักก่อนจะหันไปมองสำรับอาหาร
กลิ่นหอมกรุ่นของซุปร้อนพร้อมขนมปังที่เพิ่งออกจากเตา ชีสที่ยังยืดกับควันร้อนบ่งบอกว่าอาหารเหล่านี้เพิ่งทำเสร็จ
“โฮ่ ทั้งหมดนี้แกทำเองหมดเลยสินะ?”
คารัคขยับตัวเข้ามองอาหารพร้อมกล่าวอย่างชื่นชม ก่อนนาตาช่าชักมีดจ่อไปบริเวณใต้ราวอกของมัน
“ถอยห่างจากสำรับพระกระยาหารเดี๋ยวนี้เจ้าออร์ค”
เสียงอันเย็นชาทำให้คารัคหยุดชะงักก่อนถอยห่างออกอย่างอับอาย
อินกองรู้สึกชื่นชมนาตาช่ามากยิ่งขึ้น นอกจากนางจะไม่หลงเสน่ห์ของเจ้าออร์คแล้วยังไม่แยแสมันอีกด้วย ถือเป็นประสบการณ์ใหม่เลยทีเดียว
“ขอบใจมาก เราจะทานอย่างตั้งใจ”
อินกองยิ้มพลางเริ่มรับประทานอาหารเช้า ภาพตรงหน้าทำให้สีหน้าเย็นชาของนาตาช่ากลับกลายเป็นยิ้มอย่างอบอุ่นในทันที เจ้าออร์คมองสลับไปมาระหว่างทั้งสองพลางแสดงสีหน้าเจ็บปวด
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง อินกองที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จออกจากกระโจมเพื่อไปเข้าร่วมประชุม แน่นอนว่านาตาช่าพยายามจะตามเข้าไปด้วย ทว่าองครักษ์ของอินกองคือคารัค
‘จะว่าไปในเกมเรามีนาตาช่าตามติดตลอด’
เรียกว่านางเป็นทั้งที่ปรึกษาและองครักษ์ส่วนตัว
“องค์ชาย สีหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง?”
“เปล่า ไม่มีอะไร แค่กำลังคิดเกี่ยวกับจัดสรรบุคลากรนิดหน่อย”
#โยกย้ายข้าราชการ
คารัคถามว่าอินกองต้องการสื่ออะไร แน่นอนว่าอินกองไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนตัวองครักษ์ เขาเพียงรู้สึกสนุกในการหยอกล้อเจ้าออร์ค
อินกองตบบ่าคารัคพร้อมเร่งฝีเท้า
ภายในสถานที่ประชุมมีเฟลิซีกับเคทลินรออยู่แล้ว พร้อมด้วยองครักษ์ของทั้งคู่ เดเลียกับเซร่า
“ฉัตร… นูนะไม่ไหวแล้ว… แบ่งมรดกครึ่งนึงของนูนะให้ซิลวานด้วย… ”
เฟลิซีนอนพิงพนักข้างหนึ่งของเก้าอี้รับรองกล่าวด้วยเสียงอิดโรย แน่นอนว่าเป็นอาการเมาค้างจากการดื่มสุราเมื่อคืน
อินกองเคลื่อนตัวเข้าใกล้นางก่อนยื่นมือร่ายเวทมนตร์
“รีโคเวอรี่”
เวทมนตร์ชำระล้างสถานะผิดปกติขั้นสูง เรียกได้ว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุที่ใช้เวทมนตร์ระดับสูงเช่นนี้กับอาการเมาค้าง แน่นอนมันแสดงผลได้อย่างสมบูรณ์
“นูนะคงอยู่ต่อได้อีกสักพัก”
เฟลิซีบ่นอิดออดพลางลุกขึ้นนั่ง ท่าทีของนางยังคงแย่ แต่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่
“ทำไมนูนะไม่ร่ายมนตร์ชำระล้างละครับ?”
“เอ่อ ฉันปวดหัวเกินกว่าจะรวมสมาธิร่ายเวทอะไรก็ตามนะ”
เฟลิซีหลับตาจิบน้ำพลางขมวดคิ้ว อินกองหันไปมองทางเคทลิน
“แล้วนูนะละครับ? ไม่ปวดหัวอะไรใช่มั้ยครับ?”
“อืม ฉันสบายดี”
เคทลินเข้าพักผ่อนทันทีหลังจากจบการต่อสู้
นางยิ้มให้อินกองก่อนเอียงคอถามอย่างสงสัย
“จะว่าไปเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกันแน่? จู่ๆลมปราณเธอก็ปะทุออก ราวกับมีบางอย่างช่วยเธอกระตุ้นลมปราณ”
เคทลินเชื่อมโยงกับอินกองผ่านพันธะระหว่างแก่นจันทรากับแก่นบริวาร ในระหว่างการดวลอินกองได้กระตุ้นการทำงานพันธะทำให้เคทลินสามารถรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างของเขา
เซร่ายืนอยู่หลังคารัคด้วยท่าทีอยากรู้ ด้านเดเลียกับเฟลิซีแสดงท่าทีไม่ใส่ใจอาจด้วยเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับลมปราณ ในแผนที่ย่อของอินกองบ่งบอกว่าไม่มีผู้อื่นอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ก่อนเขาเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น
“ช่วยเก็บเป็นความลับด้วยนะครับ”
แน่นอนว่านี่เพิ่มความอยากรู้ให้กับเหล่าสมาชิก และเมื่อสิ้นสุดการอธิบาย
“ฉัตรสุดยอด!”
ดวงตาเป็นประกายของเคทลินบ่งบอกความชื่นชมของนาง
แม้แต่เฟลิซีก็ประหลาดใจเช่นกัน
“ใช่แล้ว ยอดเยี่… สุดยอด!”
“ถูกต้อง นายท่านยอดเยี่ยมที่สุด สุดยอด!”
กรีนวินด์ปรากฏกายเนื้อขึ้นกอดอินกอง นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งทำให้เหล่าสมาชิกไม่แปลกใจอีกต่อไป
เรื่องที่อินกองดูดซับแก่นมังกรของพยานอันเคลเป็นที่รับรู้ของเหล่าสมาชิก ที่น่าอัศจรรย์ก็คือในตอนนี้อินกองยังสร้างแก่นมังกรขึ้นในตนเองอีกด้วย แม้จะมีขีดจำกัดบางอย่าง แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อ
เคทลินเข้าใจในที่สุด
“นั่นก็เลยทำให้เธอลมปราณเธอพุ่งออกมาได้รุนแรงมากขึ้น แล้วก็ทำให้เธอคล้ายคลึงไบคาลโอราเบียวนิ ฉัตรสุดยอด”
เคทลินแสดงความชื่อชมออกมาอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ ทว่าเฟลิซีกลับแสดงท่าทีที่ต่างไปจากทุกครั้ง
“องค์เอเรบอสทรงโปรด ปกติฉัตรก็เก่งจนโดดเด่นอยู่แล้ว แน่นอนว่าการฉัตรแกร่งขึ้นมันเป็นเรื่องที่สุดยอด แต่นี่มันสุดยอดเหนือไปกว่านั้นอีก รู้มั้ยว่าการที่ฉัตรสร้างแก่นมังกรขึ้นในตัวหมายความว่าอะไร?”
“เอ่อ หรือว่าองค์ชายจะมีเขางอก? หรือผิวจะมีเกล็ดหุ้ม? หรือว่าจะมีหาง?”
คำถามจากคารัคทำให้เคทลินตาโต นางจ้องมองไปยังบริเวณก้นของอินกอง
เฟลิซีส่ายหน้าปฏิเสธความเป็นไปได้
“ไม่ใช่อะไรแบบนั้น นี่ยังคุยเรื่องเดียวกันอยู่ใช่มั้ย? ทำไมฉัตรถึงจะมีหางงอกออกมา ไหนจะเกล็ดอีก? แต่ว่ามีเขางอกนี่คงเท่น่าดู!”
หรือก็คือเฟลิซีเห็นด้วยกับคารัค ก่อนนางจะยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างเขินอาย
“อุ ทำไมถึงมีฉันเป็นจอมเวทอยู่คนเดียวเนี่ยยย? ทำไมกัน?”
“องค์หญิง ทรงตั้งสติก่อนเพคะ”
เดเลียพยายามช่วยพูดตักเตือนเฟลิซีทำให้นางใจเย็นลง
“แก่นมังกรคือจุดรวมพลังของมังกรตนนั้นๆ อาจเรียกว่าเป็นอวัยวะ หัวใจก็ว่าได้ แก่นมังกรคือสิ่งที่สามารถทำให้มังกรเป็นมังกร”
“ถ้าอย่างนั้น ฉัตรก็จะสามารถพ่นไฟได้?”
เคทลินถามหลังจากได้ยินว่า ‘มังกรเป็นมังกร’ ทำให้คารัคตาลุกโพลน
“องค์ชาย นี่แกพ่นไฟได้แล้ว?”
สายตาทั้งหมดจ้องมองมาที่ปากของอินกอง อิงกองยกมือขึ้นปิดปากของเขา คำว่า ‘ไฟ’ ผุดขึ้นมาในหัวทันที
เฟลิซีส่า่ยหน้าให้กับท่าทีของเหล่าสมาชิก
“ไม่ใช่อะไรแบบนั้น มันสำคัญและยอดเยี่ยมไปกว่านั้น! ฉัตร เธอน่าจะรู้ใช่มั้ย?”
เฟลิซีถามพลางจดจ้องไปที่อินกอง สายตานางบ่งบอกว่านีเป็นสิ่งที่เขาควรจะรับรู้ได้เพราะมันเกิดขึ้นภายในร่างกายเขา
อินกองพยายามนึกคิดถึงข้อมูลที่เขารับรู้จากเกมบทกวีแห่งผู้กล้า ข้อมูลเกี่ยวกับแก่นมังกร สิ่งที่มีเพียงมังกรเท่านั้นที่สามารถทำได้
ในที่สุดคำตอบก็งอกเงย อินกองกล่าวออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
“เวทมนตร์มังกร”
เวทมนตร์ที่มีเพียงเหล่ามังกรเท่านั้นที่สามารถใช้ได้
“ถูกต้อง เวทมนตร์มังกรหรือเวทมนตร์ดั้งเดิม! ในเมื่อฉัตรมีแก่นมังกร ฉัตรก็น่าที่จะสามารถใช้เวทมนตร์เหล่านี้ได้!”
เฟลิซีกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้นของนักวิทยาศาสตร์
ทว่าสมาชิกที่เหลือกลับมิเป็นเช่นนั้น แม้เคทลินกับเดเลียจะพอรับรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์อยู่บ้าง แต่ก็เพียงผิวเผินมิใช่ในระดับนักค้นคว้าอย่างเฟลิซี
ทันใดนั้นคารัคที่ห่างไกลกับคำว่าเวทมนตร์มากที่สุดก็ยกมือขึ้นถาม
“องค์หญิง แล้วใครจะสอนองค์ชายละ? เวทมนตร์มังกร… ก็น่าจะต้องเรียนรู้จากมังกรใช้มั้ย?”
“เอ่อออ บางที?”
การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเวทมนตร์ดั้งเดิมมีเพียงไม่มาก ตัวเฟลิซีเองก็รู้เพียงว่าเป็นเวทมนตร์ยุคโบราณที่มีเพียงเหล่ามังกรเท่านั้นที่ใช้ได้ เป็นเวทมนตร์ที่มีพลังทำลายล้างสูง
คารัคหรี่ตาลงถามเฟลิซี
“องค์หญิงพอจะรู้จักมังกรซักตนไหม?”
“ไม่รู้”
“ฉันก็ไม่รู้”
เคทลินตอบเช่นกัน นั่นทำให้เฟลิซีหายตื่นเต้นในที่สุด
มีความเป็นไปได้ในการเรียนรู้เวทมนตร์ดั้งเดิม แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะไปเรียนรู้อย่างไร
“ใจเย็นลงก่อนนะครับ อย่างน้อยพวกเราก็รับรู้ถึงความเป็นไปได้ ส่วนเรื่องจะเรียนรู้จากที่ไหน ผมว่าปราชย์ดาบหรืออมิตาภาน่าจะพอมีข้อมูล”
นั่นคือสิ่งที่อินกองคาดคิด
‘แล้วก็…’
มีอีกชื่อที่อินกองคิดแต่มิได้พูดออกมา นั่นเพราะเขาไม่สามารถเข้าถึงสถานที่นั้นได้ในตอนนี้
หลังจากการสนทนากลับสู่ปกติไม่นาน เวนแดลก็เข้ามาที่ประชุมพร้อมหารือแผนการ
&
เอเวียงอาจเรียกได้ว่าเป็นเขตแดนหิมะตลอดปี แต่ก็สามารถแบ่งฤดูกาลออกได้เป็นฤดูเยือกแข็งกับฤดูอบอุ่น และในขนะนี่ก็เริ่มเข้าใกล้ฤดูเยือกแข็ง
หลังจากหารือแผนการเสร็จสิ้น คณะของอินกองก็เริ่มกระจายคำสั่งตระเตรียมการเคลื่อนพลเพื่อยึดคืนป้อมปราการที่ห้า หก เจ็ด และชิงป้อมปราการที่สี่คืนจากเหล่าชนเถื่อนที่ยังอาจหลงเหลือ
เนื่องจากป้อมปราการที่ห้า หก และเจ็ดไม่หลงเหลืออะไร จึงไม่น่ามีเหล่าชนเถื่อนกบดาน อินกองจึงแบ่งเสบียงของแต่ละฐานที่มั่นให้กับกำลังพลของป้อมปราการนั้นนั้น นี่ทำให้ควมเร็วในการเคลื่อนทัพลดลงแต่ไม่ส่งผลอะไรมาก
ตกยามค่ำคืนอีกครั้ง
อินกองเข้าพักผ่อนในกระโจมของตน เขามองสำรวจผ่านที่ย่อว่าจะไม่มีผู้ใดมารบกวนก่อนนำหมอนจำลองฝันออกมา
‘เอาละ ทีนี้ก็พร้อมลุย’
อินกองถอนหายใจพร้อมเอนตัวนอนเข้าสู่ห้วงนิทรา
เสียงดังอึกทึกของสนามรบดังขึ้นพร้อมกับตัวอินกองที่ลืมตาในฝันของตนเอง
#ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรทั้งสิ้น นอกจากโลมานอนอู้ (つω`。)