Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 16
#พวกเราชอบราชาศัพท์(?) เย่
#เซร่า ฉันเกลียดเธอว์
#คารัค ไอ เลิฟ ยูว ยศฐาบรรดาศักดิ์คืออะไร ข้าไม่รู้จัก (´ ε ` )♡
หลังการต่อสู้จบลง บรรดาออร์คต่างพากันทิ้งตัวนั่งพักกับพื้น อินกอง เคทลิน คารัค และเซร่า รวมตัวกันนั่งล้อมวงหารือกันตรงกลาง
“นี่ก็ชัดเจนเลยว่าพวกเผ่าสายฟ้าชาดไม่ได้ใช้เส้นทางในถ้ำนี่อย่างแน่นอน”
อินกองถามขึ้นหลังจากที่คารัคเสนอความคิดขึ้น
“เพราะว่ามีสัตว์อสูรอาศัยอยู่นะหรือ?”
“ใช่แล้ว ถ้าพวกมันใช้ทางพวกนี้ พวกแมงมุมศิลาไม่น่าจะมาทำรังอาศัยอยู่ได้”
พวกแมงมุมศิลาโผล่พรวดออกมาจากทุกทิศทาง ด้วยขนาดของออร์คแต่ละตนแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เหล่าแมงมุมจะละเลย
‘จะว่าไปแล้ว คารัคนี่มันถือเป็นอัจฉริยะในบรรดาออร์คปะเนี่ย?’
อินกองมองคารัคอย่างชื่นชม เซร่าที่เงียบมาตลอดการเดินทางก็พูดขึ้นมา
“ขอพระราชทานกราบทูลทราบฝ่าพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่เผ่าสายฟ้าชาดจะควบคุมสัตว์อสูรเหล่านี้ ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่ายังไม่ควรจะถึงแก่การนิ่งนอนใจ ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพิจารณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม”
เซร่าแสดงให้เห็นถึงความรอบคอบแม้ว่าเธอจะยังเยาว์วัย
อินกองที่มองข้ามความเป็นไปได้นี้รีบหันมาถามคารัค
“คารัค ในบรรดาเผ่าสายฟ้าชาด มีผู้สามารถควบคุมสัตว์อสูรได้เยอะเท่าไร?”
มีอาชีพของออร์คที่ควบคุมสัตว์อสูรได้ด้วยงั้นหรือ?
คารัคตอบอินกองกลับมาโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
“ข้าไม่ได้อยู่เผ่าพวกมัน ข้าจะรู้ได้ยังไง?”
เป็นอีกครั้งที่อินกองพ่ายแพ้ต่อตรรกะของออร์ค
อินกองที่หน้าแตกหันกลับไปมองเซร่าอีกครั้ง แต่ตัวช่วยของเขากลับมาจากอีกทิศทาง
“ถ้าพวกมันทำแบบนั้นได้จริง พวกมันน่าจะนำสัตว์อสูรไปใช้ในการรบ มากกว่าที่จะใช้เฝ้าถ้ำนะ จริงไหม เซร่า?”
“องค์หญิงตรัสได้ถูกต้องแล้วเพคะ”
เท่าที่ฟังจากน้ำเสียงของนาง เหมือนนางจะคิดอย่างนั้นอยู่แล้ว
‘เดี๋ยวนะ แล้วเธอจะถามเราทำไมแต่แรก? หรือว่า…ลองเชิง? เธอกำลังลองเชิงเราอยู่งั้นสินะ?’
แต่มันก็ทำให้อินกองคิดถึงความเป็นไปได้ที่เขามองข้าม อินกองระงับอาการตื่นตระหนกของเขา แล้วหันไปพูดกับทุกคน
“ถ้างั้นเรามาตรวจดูสถานการณ์กันก่อนเถอะ ขอกระเป๋าหน่อย คารัค”
“รับทราบ”
คารัคส่งกระเป๋าที่มันแบกอยู่มาให้ อินกองล้วงมือเข้าไปแล้วเปิดช่องเก็บของ เขาหยิบ กระดาษ แผนที่ และอุปกรณ์การเขียนทั้งหลายออกมา
‘จะอธิบายให้เคทลินฟังก็ค่อนข้างจะลำบากละนะ’
เขาอาจจะบอกนางเกี่ยวกับช่องเก็บของในอนาคต แต่ยังไม่ใช่ในตอนนี้
“ฮ่ะ? นี่ข้าแบกของพวกนี้มาด้วย?”
“ใช่แล้ว ช่วยเงียบไปก่อน”
อินกองโกหกหน้าตายไป ก่อนจะคลี่แผนที่ออกมา มันเป็นแผนที่ภูมิประเทศขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงแนวภูเขาและบึงต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียง
‘อัตราส่วนของแผนที่นี่กับแผนที่ย่อของเรา…’
ถึงเขาจะพยายามเพ่งสักแค่ไหน ก็มองไม่เห็นถ้ำที่เขาอยู่ในแผนที่ อินกองวาดภูเขาลงในกระดาษ เพราะมีแผนที่กางอยู่ข้างๆ จึงใช้เวลาไม่นานนัก
เคทลินที่มองอินกองถามขึ้นมา
“เธอพยายามจะวาดแผนที่งั้นหรือ?”
“ครับ ถ้าผมลองวาดแผนที่ของถ้ำเทียบกับภูเขา เราน่าจะรู้ได้คร่าวๆว่าตอนนี้พวกเราอยู่ตรงส่วนไหน”
เคทลินพยักหน้ารับ ในขณะที่คารัคถามอย่างสงสัย และเซร่าบ่นพึมพำเบาๆ
“องค์ชาย นี่เราเดินกันมาไกลมากนะ?”
“นั่นสิ”
อินกองไม่ปริปากแล้ววาดแผนที่ต่อไป เทียบกับครั้งแรกที่เขาวาดแผนที่ให้คริสต์กับเคทลิน วิชาการอ่านแผนที่ช่วยเขาได้มากทีเดียว
ตอนแรกเซร่าก็มองอย่างปกติ แต่แล้วแววตาของเธอก็แสดงให้เห็นว่าไม่เชื่อสายตาตัวเอง นางคาดว่านี่เป็นเพียงการวาดแผนที่อย่างคร่าวๆ แต่มันละเอียดเกินไป
“ใต้ฝ่าพระบาททรงจดจำเส้นทางทั้งหมดได้หรือเพคะ? แต่ถึงกระนั้น…”
มันไม่ใช่แค่การจดจำ ด้วยการที่เส้นทางในถ้ำมีลักษณะคดเคี้ยวไปมา แม้จะคล้ายกับแนวภูเขา แต่การประมาณทิศทางและระยะไม่สามารถทำได้ง่าย
คนปกติทำอะไรแบบนี้ได้ด้วย? หรือว่าเขาจะมีเข็มทิศในหัว?
“ฉันบอกแล้วใช่ไหม ว่าฉัตรสุดยอด!”
เคทลินพูดอวดขึ้นมาแทนอินกองอย่างภาคภูมิใจ
อินกองหัวเราะให้กับความน่ารักของเคทลิน แล้วกลับไปตั้งใจวาดแผนที่ต่อ หลังจากผ่านไปราว 5 นาที อินกองก็วาดเส้นทางเสร็จและเริ่มเขียนรายละเอียดทั้งหลาย
“พวกเราเดินกันมาได้ราวครึ่งทางละนะ”
อินกองได้เดินทางมาถึงกลางหุบเขา ไม่ว่าจะมุ่งหน้าไปทิศไหน ระยะทางก็ไม่ต่างกัน
“นี่เซร่า เผ่าสายฟ้าชาดตั้งอยู่บริเวณนี่ใช่ไหม?”
“ใช่แล้วเพคะ”
เคทลินหยิบหินก้อนเล็กขึ้นมาวาง
“ดูแล้วน่าจะมีทางออกตรงบริเวณนี้”
ถ้ามีทางออกโผล่ข้างหลังที่ตั้งของเผ่าสายฟ้าชาดจริง พวกเขาสามารถที่จะวางแผนภารกิจบุกจู่โจมได้ ส่งทหารบางส่วนบุกเข้าโจมตีจากด้านหน้า และที่เหลือลอบเข้ายึดจากด้านหลัง
“เอ่อ แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้นได้ก็หลายวันอยู่ เราขนเสบียงกันได้แค่พอสำหรับหนึ่งวันเท่านั้น”
คารัคพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เส้นทางในถ้ำมีการคดเคี้ยวไปมาพอสมควร
แม้จะเดินทางกันมานาน แต่พวกเขาก็มาถึงแค่กลางทางเท่านั้น มิหนำซ้ำที่ห้องโถงนี้ก็มีเส้นทางแยกออกไป 5 เส้น การจะสำรวจให้ทั่วคงต้องใช้เวลาอีกหลายวัน
“ถ้าเคทลินนูนะเจอเส้นทางที่เชื่อมต่อกลับไปยังถ้ำเมื่อไร พวกเราก็กลับกันได้ง่าย”
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็น่าจะไปตามทางนี้?”
คารัคชี้ไปยังเส้นทางที่ดูสั้นที่สุดที่มุ่งหน้าไปยังฐานของเผ่าสายฟ้าชาด
“แล้วดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องฝ่าบึงไปด้วย”
อย่างที่เดาได้ คารัคถือว่าฉลาดทีเดียว
อินกองพยักหน้าแล้วแกล้งทำเป็นเก็บแผนที่ใส่กระเป๋า เขาเก็บมันใส่ช่องเก็บของ จากนั้นก็หันไปถามเคทลิน
“ถ้างั้นเราเดินทางกันต่อเถอะครับนูนะ ที่นี่ดูไม่เหมาะกับการหยุดพักสักเท่าไร”
ซากศพของแมงมุมศิลาไม่ได้ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างใด แต่อินกองก็ไม่อาจมองข้ามความเป็นไปได้ ที่จะมีสัตว์อสูรอื่นตามกลิ่นมา
“งั้นฉันจะเดินตามอยู่ข้างหลังเหมือนเดิมนะ”
เคทลินคลุมศีรษะแล้วไปท้ายกองทหาร เซร่าที่เดินตามนางไปติดๆ
“เอาละ หยุดอู้แล้วเดินทางกันต่อได้!”
“ขอรับ!!!”
คารัคส่งเสียงดังสั่งเหล่าออร์ค แล้วการสำรวจก็ดำเนินการต่อ
&
โชคดีที่ทางเดินไม่ได้คดเคี้ยวมากนัก อินกองเหยียดมือไปในอากาศขณะที่เขาเดินตามคารัค
‘ถ้าเราใช้มันบ่อยๆ พวกทักษะก็จะเลื่อนขั้นเอง’
วิธีการเพิ่มขั้นให้ทักษะในบทกวีแห่งผู้กล้ามีสองวิธี
อย่างแรกคือใช้แต้มเพิ่มขั้นทันที
อย่างที่สองก็คือใช้วิชานั้นให้บ่อย แล้วมันก็จะเลื่อนขั้นได้เอง
ซึ่งเป็นธรรมดาที่วิธีที่สองจะใช้เวลามากกว่าวิธีแรก เขาต้องเก็บค่าประสบการณ์ของทักษะนั้น
‘แล้วก็ยังมีอีกวิธี แต่ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้’
เป็นวิธีที่ไม้ต้องฝึกทักษะ หรือแต้มแต่อย่างใด แต่ก็เป็นวิธีที่ออกจะยุ่งยาก นั่นก็คือเมื่อเขามีเลเวลถึงระดับหนึ่ง หรือในบางสถานการณ์คับขัน ทักษะของเขาจะเลื่อนระดับเอง
อินกองจัดกลุ่มทักษะของเขาออกเป็นสี่ประเภท
หนึ่ง ทักษะสำคัญที่คู่ควรแก่การใช้แต้มทักษะเพิ่มขั้น เช่น ลมปราณ เทเลคิเนซิส
สอง ทักษะที่เขาทยอยใช้ไปตามมีตามเกิดให้มันเพิ่มขั้นเอง เป็นทักษะที่ไม่คุ้มที่จะใช้แต้มเพิ่มขั้น อย่างเช่นวิชาการอ่านแผนที่
สาม ทักษะที่อินกองไม่สามารถใช้แต้มเพิ่มขั้นได้ พวกทักษะเกี่ยวกับอาณัติ และพลังพระเอกถูกจัดไว้ในกลุ่มนี้
และสุดท้ายกลุ่มที่สี่ พวกทักษะพื้นฐาน อย่างเช่นวิชาดาบพื้นฐาน
‘เราเอาแต้มที่ได้เพิ่มขั้นให้ลมปราณต่อเลยจะดีไหมนะ?’
หรือเทเลคิเนซิสดี?
‘แต่เราก็อยากเรียนพวกเพลงดาบหรือกระบวนท่าต่อสู้เหมือนกัน’
ถึงเขาไม่อยากใช้แต้มไปกับวิชาดาบพื้นฐาน แต่มันก็ถือเป็นอีกเรื่องสำหรับทักษะการต่อสู้ขั้นสูง
#เพลงดาบล่องนภา นาคานพเศียร! โทษๆ มันอดไม่ได้ (・ω<)☆
อย่างเพลงดาบที่แซเฟียร์ใช้ เพลงดาบจอมราชัน แค่ชื่อก็ดูทรงพลัง แล้วไหนจะ เพลงดาบราพณาสูร ของผู้กล้าล็อคค์อีก
#천지 패왕 검 โลก กษัตริย์ ดาบ ดาบจอมราชันแหละนะ ส่วนของล็อคค์จะเรียก เพลงดาบทำลายล้าง Hyper beam แบบโปเกม่อนก็กระไรอยู่
ชื่อเทคนิคต่อสู่หลากหลายโผล่ขึ้มาในหัวของเขา
‘แล้ว เราจะใช้อะไรดี?’
มีวิชาลับมากมายที่ต้องปลดเงื่อนไขถึงจะเรียนรู้ได้ อย่างเปิดหีบสมบัติที่มีอสูรกายเฝ้า ขุดค้นซากอารยธรรมโบราณ จับเป็นแล้วเค้นเอาจากเฉลยศึก
‘ตอนนี้ฝึกที่มีให้ชำนาญไปก่อนละกัน’
อินกองจัดระเบียบความคิดตนเองแล้วรวมลมปราณเพื่อใช้กำลังภายใน
“องค์ชาย”
เสียงเรียกของคารัคทำให้เขาเสียสมาธิ เขาสยบลมปราณที่แตกพล่านแล้วหันไปมองตัวการ
“มีอะไร?”
“มีบางอย่างอยู่ด้านนั้น”
คารัคชี้ไปยังห้องเล็กหลังซุ้มประตูที่อยู่บริเวณใกล้เคียง มันพอมองเห็นได้เล็กน้อยท่ามกลางความมืดมิด
อินกองหยุดกองทหารแล้วเดินเข้าไปสำรวจกับคารัค มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาด 49 ตารางเมตรโดยประมาณ
เพดานและผนังทำให้ดูเหมือนห้องปกติทั่วไป แต่ลวดลายบนพื้นบ่งบอกอีกอย่าง
“ประตูมิติ?”
“ฮ่ะ? แกรู้ว่ามันคืออะไรงั้นหรือ?”
คารัคถามหลังจากได้ยินเสียงที่อินกองพึมพำออกมา อินกองตอบพอเป็นพิธี
“เปล่า แค่เดาเอานะ”
ถึงเขาจะไม่มั่นใจ แต่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน อักขระบนพื้นก็มีลักษณะเช่นเดียวกับที่พบในวงเวทตามโขดหิน ที่ใช้เป็นประตูมิติในเกมไม่ผิดเพี้ยน
#สวัสดี แฟนๆ Diablo เราไปเยี่ยมทริสแทมกันเถอะ
‘น่าจะเป็นการเขียนของพวกดวอฟ’
เขาไม่เคยเห็นตอนที่เล่นแซเฟียร์ก็จริง แต่เห็นอยู่บ่อยครั้งตอนเล่นล็อคค์
‘ถ้าใส่พลังเวทเข้าไป มันจะทำงานได้ไหมนะ?’
เขามองไปโดยรอบ ก็พบคริสตัลสำหรับบรรจุพลังเวทในวงแหวนขนาดเล็ก
“เกิดอะไรขึ้น?”
เคทลินและเซร่าเดินเขามา
“นี่มันดูเหมือนจะเป็นประตูมิติ นูนะเห็นด้วยไหมครับ?”
เคทลินเอียงคองงกับคำถามของอินกอง
“เซร่า?”
“ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่าใช่เพคะ”
“ว่าแล้วเชียว”
แก้มเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย อินกองมองสำรวจวงเวททั้งหมดแล้วถามต่อ
“พอจะรู้ไหมว่ามันเชื่อมไปไหน?”
“(พึมพำ)มันดูเหมือนวงเวทของดวอฟ… ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่า น่าจะเชื่อมกับวงเวทสักแห่งไม่ห่างจากที่นี่เพคะ”
ขณะที่เซร่าตอบคำถาม คารัคก็ทักขึ้นมาจากอีกมุมพนึ่งของห้อง
“องค์ชาย ตรงนี้มีรูปภาพที่เหมือนจะเป็นข้อความอะไรบางอย่าง”
อินกองเดินไปดูแล้วก็พบตัวอักษรที่เขาไม่คุ้นเคย เคทลินที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นมา
“เป็นตัวอักษรของพวกดวอฟนะ”
“โอ้ สมกับเป็นองค์หญิง แล้วแกพอจะอ่านมันได้ไหม?”
คารัคถามด้วยความชื่นชม อินกองก็มองเคทลินด้วยสายตาคาดหวังเช่นกัน
เคทลินขมวดคิ้วแล้วพูดออกมาอย่างเขินอาย
“เอ่อ…เซร่า?”
เธอไม่สามารถอ่านมันได้ อินกองยับยั้งความต้องการที่จะยิ้มของเขาเอาไว้ แล้วหันไปมองเซร่า
“เอ่อ… คือ… ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่าเป็นภาษาดวอฟเพคะ”
“เรื่องนั้นรู้แล้ว องค์หญิงก็เพึ่งบอกมาตะกี้”
คารัคมองเซร่าราวกับเธอเป็นตัวตลก เซร่าได้แต่หลบหน้ามองไปทางอื่น
‘ก็ช่วยไม่ได้ละนะ’
พวกดวอฟอพยพไปแล้วหลายร้อยปี การที่ทั้งคู่รู้ว่าเป็นภาษาของดวอฟก็ถือว่าน่าชื่นชมแล้ว
“เป็นเรื่องธรรมดาน่าคารัค ก็นี่มันภาษา… ประตูมิติหมายเลขสองแห่งเทือกเขาจิชก้า มันเชื่อมไปยังประตูมิติหมายเลขสามแห่งเทือกเขาจิชก้า… เอ๋?”
อินกองพูดออกมาอย่างงงงวย นั่นทำให้คารัค เคทลิน และเซร่า มองเขาอย่างประหลาด
ทันใดนั้นเอง อินกองก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาในหัว
[คุณได้เรียนรู้ อักขระดวอฟ ขั้น1]