Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 20
#เอลฟ์รัตติกาล อมนุษย์จำพวกหนึ่ง เทียบเท่ากับดาร์คเอลฟ์(dark elf) อมนุษย์ที่เป็นพื้นฐานของโลกแฟนตาซี ซึ่งก็มีรากกำเนิดที่แท้จริงมาจาก เอลฟ์(ช)(ælf)/เอลเว็น(ญ)(ælfen) ภูติตามความเชื่อพื้นบ้านของนอร์ส(norse)
ภูติเอลฟ์มีรูปร่างลักษณะเยาว์วัย มีความซุกซนเหมือนเด็ก มีพลังเหนือธรรมชาติ ซึ่งพลังนี้จะถูกนำมาใช้ช่วยเหลือหรือระรานก็ตามแต่ภูติตนนั้น
ในภายหลัง เอลฟ์(elf)ได้ถูกรู้จักกันใหม่ในฐานะเผ่าพันธุ์หนึ่งที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ มีอายุยืนยาว คอยอาศัยและปกป้องต้นไม้ เคารพและบูชาเทพแห่งผืนป่า มีความชำนาญในด้านธนู แต่ก็มีบางพวกที่บูชาเทพองค์อื่น และเรียนรู้ศาสตร์เกี่ยวกับการควบคุมธรรมชาติ
พวกนี้จึงถูกขับไล่ออกมาโดยถือว่าเป็นพวกนอกรีต ซึ่งศาสตร์การควบคุมธรรมชาติที่ว่า ก็คือเวทมนตร์ และพวกที่ถูกเนรเทศออกมานี้ ก็ถูกรู้จักกันในนาม ดาร์คเอลฟ์(dark elf)
#โอเกอร์(ogre) อมนุษย์จำพวกหนึ่งจากตำนานและนิทานปรัมปราของฝรั่งเศษ รูปร่างอัปลักษณ์ น่าเกลียดน่ากลัว ศีรษะและปากใหญ่โต โครงร่างคล้ายสัตว์ป่า ร่างกายส่งกลิ่นเหม็น นิสัยดุร้าย กินสัตว์และมนุษย์เป็นอาหาร สามารถใช้เวทมนตร์ปรับเปลี่ยนร่างกายของตนได้ มีพละกำลังมหาศาล ฉลาดแต่ไม่เฉลียว
นิทานที่โด่งดังว่ามีการปรากฏของโอเกอร์ก็คือ พุซอินบูตส์(Puss in Boots) เจ้าหญิงนิทรา(Sleeping Beauty) หากนำมาเปรียบเทียบกับฝั่งซี(SEA) โอเกอร์สามารถเทียบเคียงได้กับยักษ์ของบ้านเรา หรือ โอนิ(oni)ของญี่ปุ่น
#โอเกอร์ที่โผล่มาในนิยายนี้ก็มีแค่แวนเดลนี่ละครับ ตอนแรกว่าจะไม่เขียนอธิบายแต่ไปๆมาๆ เดี๋ยวหาว่าลำเอียงก็เลยเขียนซะหน่อยละกัน(ฮาาา)
เนื่องจากพวกเขาอยู่ห่างออกไป ทำให้ไม่สามารถรู้รายละเอียดมากนัก แต่มันก็ชัดเจนว่ามีการสู้รบกันอยู่
ฐานทัพของเผ่าสายฟ้าชาดถือว่าอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่ดีมาก มีเทือกเขาจิชก้าเป็นปราการตามธรรมชาติด้านหลัง ด้านหน้าก็เป็นที่ราบไม่มีที่ซ่อนให้กับทัพของศัตรู ซึ่งที่มุมหนึ่งของที่ราบนี้ ได้กลายเป็นสนามรบ
“ผมมองไม่เห็นอะไรเลย มีใครเห็นอะไรบ้างไหม?”
อินกองพูดพลางหันไปถามที่เหลือ เขาเดาคำตอบได้จากสีหน้าจริงจังของสองพี่น้องไลแคนโทรป พวกเขากำลังใช้สมาธิจดจ่อดูการต่อสู้
“องค์ชาย ข้าก็ไม่เห็นอะไรเลยเหมือนกัน”
คำตอบของคารัคดูไม่ช่วยอะไรนัก
เคทลินตอบกลับมา แต่สายตาของนางยังคงจดจ่ออยู่ที่การศึก
“ฉัตร รวมลมปราณไปที่ตาของเธอซะ”
จริงอยู่ที่ลมปราณสามารถเสริมพลังให้ส่วนต่างๆของร่างกายได้ แต่รวมลมปราณไปที่ตางั้นรึ?
‘เหลือเชื่อไปเลย นี่มันชัดมาก!’
พอเขารวมลมปราณไปที่ตา เขาก็สามารถมองออกไปได้ไกลและคมชัดกว่าเดิม จุดเล็กๆที่เขาเห็น เริ่มจะมองดูเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
“ออร์ค… ไม่สิ? นั่นไม่ใช่ทั้งออร์คทั้งโอเกอร์?”
ไม่ใช่แค่เพียงสีผิวที่ต่างออกไป ทั้งออร์คและโอเกอร์จะใส่ชุดเกราะป้องกันแค่ตามจุดสำคัญ เพื่อลดภาระให้ร่างกายที่ใหญ่โตของพวกมัน แต่พวกที่สู้รบอยู่ มีรูปร่างเล็กเพรียว ในชุดสีออกโทนม่วงและดำ
‘ขีดจำกัดของเรามาถึงแค่นี้สินะ’
เขาพยายามรวมลมปราณให้มากขึ้น แต่ก็ไม่ช่วยอะไร อันที่จริง การที่จะสังเกตการรบจากระยะห่างไกลขนาดนี้ ก็ฟังดูเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว
สีหน้าของคริสต์กับเคทลินก็บ่งบอกว่าทั้งคู่ไม่สามารถเก็บรายละเอียดได้ครบ คริสต์ที่ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงจากลมปราณปริมาณมาก ขมวดคิ้วก่อนจะบ่นออกมา
“นั่นไม่ใช่กำลังพลของแม่ทัพแวนเดลแน่นอน นอกจากจะไม่มีกำหนดการณ์รบในวันนี้แล้ว ปริมาณทหารก็ดูน้อยเกินไป”
แน่นอนว่าการรบเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อในยามสงคราม แต่นี่คือฐานทัพของเผ่าสายฟ้าชาด ไม่ใช่ของแวนเดล มันไม่มีความจำเป็นอันใด ที่จะบุกโจมตีนอกเหนือกำหนดการณ์ที่ตั้งไว้
พวกนั้นไม่ใช่กองทัพของแวนเดล แต่เป็นมือที่สาม
อย่างที่คริสต์บอก สัดส่วนมันดูเล็กเกินไป เหล่าทหารเหมือนจะมีเพียงหนึ่งร้อยนายเท่านั้น และด้วยความแตกต่างของจำนวนทหาร การต่อสู้ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นการสังหารหมู่
“กระบวนทัพก็ดูเละเทะมาก แบบนี้พวกนั้นได้ตายกันหมดแน่!”
เคทลินตะโกนออกมา แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ทหารบางส่วนเริ่มจัดกระบวนใหม่เตรียมถอยทัพ
แต่ทว่า ทิศทางที่พวกนั้นตีฝ่ากลับดูแปลกไป แทนที่จะเรียกว่าถอยทัพ มันดูเหมือนพวกนั้นพยายามที่จะบุกฝ่าทหารฝั่งตรงข้ามเข้าไปเสียมากกว่า
‘บ้าไปแล้ว ดูยังไงก็ไม่มีทางชนะ แต่มันเหมือนกับพวกนั้นบุกเพื่อช่วยใครออกมา?’
“เริ่มถอยทัพแล้ว”
อย่างที่คริสต์พูด หลังจากที่การบุกครั้งสุดท้ายล้มเหลว พวกนั้นก็เริ่มถอนทัพถอยกลับไป ดูเหมือนว่าแม่ทัพที่นำการบุกจะเสียชีวิตในการปะทะสักครู่
การถอยทัพของกองทัพนิรนามเป็นไปอย่างรวดเร็ว ระยะห่างระหว่างพวกนั้นกับกองทัพออร์คของเผ่าสายฟ้าชาดทยอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความสามารถในการเคลื่อนพลของพวกนั้นถือว่าสูงมาก
“การรบจบแล้วหรือ? พวกนั้นเป็นใครกันแน่?”
คารัคถามอย่างสุดเซ็ง คริสต์ไม่สนใจมัน ส่วนเคทลินก็หันมองอย่างไม่มีคำตอบ
อินกองถอนหายใจออกมา เขาก็มองไม่เห็นรายละเอียดมากนัก แต่จากการคาดเดาหลายอย่าง ทำให้เขาคิดว่า เขาได้คำตอบที่ค่อนข้างจะใช่
ชุดรบโทนม่วงและดำกับการเคลื่อนพลที่รวดเร็ว และไม่ใช่ทัพของแวนเดลด้วย จุดที่สำคัญที่สุดก็คือพาหนะที่พวกนั้นใช้ มีลักษณะคล้ายกับกิ้งก่าที่มีเขา
‘เอลฟ์รัตติกาล’
เอลฟ์นอกรีตแห่งโลกมาร
มันชัดจนเดาได้ไม่ยาก
&
เหมือนกับออร์คและดวอฟ เอลฟ์รัตติกาลของบทกวีแห่งผู้กล้า ก็เทียบได้กับดาร์คเอลฟ์ตามมาตรฐานนิยายแฟนตาซี
พวกมันมีหูที่ยาวและร่างกายที่ผอมเพรียว รวมกับการเคลื่อนไวที่เบาบางและคล่องแคล่ว
ผิวของพวกมันมีสีน้ำตาลจนออกแดง เหมือนพวกชนเผ่าของทวีปอเมริกาใต้ เครื่องแต่งกายของพวกมันเน้นความคล่องตัว ทำให้มีลักษณะที่หวือหวารัดรูป พวกมันอาศัยในป่าใหญ่ของโลกมาร จึงได้ชื่อเรียกเป็นปีศาจแห่งพงไพร
ถึงจะเป็นเผ่านอกรีตที่ถูกขับออกมา แต่พวกมันก็ยังคงเป็นเอลฟ์ สาเหตุหลักของการเนรเทศ มาจากการที่พวกมันบูชาเทพเอเรบอส เทพแห่งความมืดและเวทมนตร์ แต่นั่นก็ทำให้พวกมันเชี่ยวชาญเวทมนตร์เป็นอย่างมาก และด้วยพรจากเอเรบอส ก็ทำให้พวกมันทรงพลังยิ่งขึ้นในยามราตรี
พวกมันใช้เวทมนตร์เข้าควบคุมเดรโก้เป็นพาหนะ โดยเดรโก้เป็นกิ้งก่าขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่ในป่าใหญ่ ถึงพวกมันจะไม่อึดเท่าม้า แต่พวกมันก็สามารถเคลื่อนที่ตามป่าตามบึงได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ พวกมันยังสามารถเร่งความเร็วในระยะสั้นได้
#ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่าน ขอเชิญพบกับนักวิ่งร้อยเมตรอันดับหนึ่งแห่งโลกมาร โปรดปรบมือให้กับ เดรโก้ มัลฟอย! แปะ แปะ แปะ แปะ แปะ~
‘พวกเอลฟ์รัตติกาลมาทำอะไรที่นี่?’
ระยะทางจากป่าของพวกเอลฟ์รัตติกาลกับเทือกเขาจิชก้าอยู่ห่างกันมาก จริงอยู่ที่พวกมันไม่ได้อาศัยอยู่ในป่าตลอดเวลา แต่ก็แปลก ที่พวกมันจะถ่อสังขารมาเยือนเทือกเขาจิชก้าอันไกลโพ้น
“องค์ชาย แกคิดอะไรออกสินะ?”
คารัครู้ได้จากสีหน้า ว่าอินกองกำลังคิดอะไรบางอย่าง นั่นทำให้คริสต์กับเคทลินหันมามองเขาอย่างคาดหวัง
“ไอน้องรัก เอ็งรู้อะไรสินะ?”
คริสต์ถามเขาอย่างกันเอง ในขณะที่ตาของเคทลินส่งประกายระยิบระยับ มันราวกับเธอพร้อมจะอุทาน ‘สุดยอด!’ ออกมาได้ทุกเมื่อ
อินกองเกาหัวของเขาก่อนจะตอบออกมา
“ผมก็ไม่มั่นใจครับ… แต่คิดว่านั่นน่าจะเป็นพวกเอลฟ์รัตติกาล ฮยองกับนูนะได้สังเกตพาหนะของพวกนั้นหรือเปล่าครับ? มันก็วิ่งได้ไวมาก และดูเหมือนมันจะมีเขางอกขึ้นมา? ”
คารัคยังคงงงอยู่ แต่พี่น้องทั้งคู่มีอาการต่างออกไป ทั้งคู่แทบจะอุทานออกมาในพร้อมกัน
“เดรโก้!”
คำอธิบายเพิ่มเติมถูกละเอาไว้ แน่นอนว่าคารัคต้องการคำเพิ่มเติมพวกนั้น แต่ก็ไม่มีใครพูดออกมา
“เรามองข้ามมันไปเลย”
“ฉันก็เพึ่งจะเห็นมันเป็นครั้งแรกนี่ละ ตัวพวกนั้นคือเดรโก้สินะ”
คริสต์และเคทลินพูดขึ้นมา และในที่สุดคารัคก็ตามทัน
“เดรโก้? งั้นพวกนั้นก็คือเอลฟ์รัตติกาล?”
“มันก็แค่อาจจะนะ การต่อสู้มันเกิดขึ้นไกลอยู่ ผมก็เลยไม่ค่อยมั่นใจ”
อันที่จริงอินกองไม่ได้เห็นชัดว่าเป็นเดรโก้.
‘เพราะว่ามันไกล เราก็เลยเดาเอาจากเขาบนหัวมันละนะ’
มีสัตว์อยู่หลายชนิดที่มีเขาบนหัว ถ้าไม่ใช้ความรวดเร็วในการถอยทัพ อินกองก็คงคิดถึงสัวต์ชนิดอื่น
‘มันควบคุมได้ยาก แต่ก็คุ้มค่าที่จะหัดขี่’
แน่นอนว่านั่นเป็นคำอธิบายจากในเกม
“งั้นรีบกลับกันเถอะ ดูท่าพวกเราต้องถามสถานการณ์จากแวนเดลเข้าแล้ว”
เขาตั้งใจจะบอกแวนเดลเกี่ยวกับประตูมิติของดวอฟแล้ววางแผนบุกจู่โจม แต่ก็ผิดแผน
คริสต์บอกเคทลินกับอินกอง แล้วหยิบแตรขนาดเล็กที่ห้อยคอขึ้นมาเป่า มันส่งเสียงความถี่พิเศษที่ได้ยินเฉพาะเผ่าไลแคนโทรปออกมา
“ไปกันเถอะ”
คริสต์นำหน้าไปพร้อมกับเหล่าไลแคนโทรป
หลังจากผ่านประตูมิติกลับมา พวกเขากลับมุ่งหน้าไปยังค่ายของคริสต์
เป็นครั้งแรกที่เขามาที่ค่ายนี้ แต่ตัวค่ายก็ไม่ต่างจากของเคทลินมากนัก สิ่งที่ต่างออกไปก็คือคริสต์มีทหารเป็นสองเท่าของเคทลิน
“ติดต่อท่านแม่ทัพแวนเดล นี่เป็นเรื่องด่วน”
คริสต์ออกคำสั่งทันทีที่ก้าวเข้ากระโจม เขาเป่าแตรส่งสัญญาณ ทำให้อุปกรณ์บางอย่างถูกเตรียมเอาไว้แล้ว
นักเวทไลแคนโทรปได้เริ่มพิธีกรรม แสงสว่างโดยรอบถูกดูดมารวมตัวกันที่แผ่นเงินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ
‘ว้าว นี่มันยังกับวิดีโอคอลล์?’
อินกองตื่นเต้นสุดๆ หลังจากผ่านไปเกือบสองนาที ก็มีใบหน้าปรากฏขึ้นในแสงสว่างนั้น
“องค์ชายคริสต์”
เจ้าของเสียงก็คือโอเกอร์ที่ดูเจนศึกตนหนึ่ง มีแผลเป็นมากมายบนผิวหนังสีออกแดงบนในหน้า
‘น่าดีใจที่ได้เจอมันอีกครั้งอยู่นะ’
มันรู้สึกดีไม่น้อยที่เขาได้พบกับขุนพลคนโปรดของเขาจากในเกม
แต่นั่นเป็นความคิดของอินกองฝ่ายเดียว แวนเดลมองไปที่คริสต์เท่านั้น แล้วคริสต์ก็รีบถามสถานการณ์โดยที่ไม่ได้แนะนำเคทลินกับอินกอง
“แวนเดล ราวชั่วโมงที่แล้วเหมือนจะมีการต่อสู้เกิดขึ้นที่หน้าฐานทัพพวกสายฟ้าชาด ดูแล้วก็ไม่น่าจะใช่ทัพของนาย พอจะรู้อะไรบ้างไหม?”
“ข้ารู้ ว่าแต่องค์ชายรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”
แวนเดลตอบกลับมาห้วนๆ ถ้าถือว่าคารัคเป็นอัจฉริยะในหมู่ออร์ค แวนเดลถือเป็นอัจฉริยะของเหล่าโอเกอร์ก็ว่าได้
“เราเห็นมันกับตาตัวเอง เราจะเล่าให้ฟังคร่าวๆ”
คริสต์เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียด ทั้งถ้ำและประตูมิติ รวมถึงเรื่องที่ฉัตรเป็นผู้พบมัน
“ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว”
แวนเดลพยักหน้ารับด้วยสีหน้าจริงจัง เคทลินก้าวขึ้นมาแล้วพูดสั่ง
“ถึงตาท่านเล่าเรื่องทั้งหมดแล้ว พลเอกแวนเดล”
“กองทัพนิรนามที่ท่านทั้งคู่ได้พบ คือเหล่าเอลฟ์รัตติกาล”
คำอธิบายของแวนเดลสั้น และตรงประเด็นสุดๆ
‘ว่าแล้วเชียว’
เป็นเหล่าเอลฟ์รัตติกาลตามที่คาดไว้จริงๆ คริสต์ถามคำถามต่อ
“แล้วพวกนั้นทำไมถึงมาโผล่ที่นี่? หรือว่าจะเป็นกำลังเสริมจากทางวังหลวง?”
“ใกล้เคียงแต่ไม่ใช่ พวกนี้แค่เดินทางมาสำรวจอะไรสักอย่าง”
แต่พวกนั้นก็พบศัตรูอย่างไม่ทันตั้งตัว
“อย่างที่องค์หญิงองค์ชายเห็น พวกนั้นโดนตีแตก แต่มันมีปัญหาตรงที่ผู้นำของพวกนั้นถูกจับไป”
อาการของคริสต์เปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินแวนเดล เคทลินมีท่าทางเหมือนจะคาดการณ์เอาไว้แล้ว
“พวกนั้นก็เลยสู้โดยไม่คิดชีวิต”
คารัคที่อยู่เงียบๆกระซิบบอกอินกอง อินกองพยักหน้าแล้วหันไปถามคริสต์กับเคทลิน
“ใครเป็นผู้นำของกองพลนั้นกันครับ?”
“เฟลิซี ดูมเบลด”
คำตอบออกมาจากเสียงของแวนเดล นั่นเป็นคำตอบที่เพียงพอสำหรับอินกอง
องค์หญิงลำดับที่ 6 เฟลิซี ดูมเบลด
พี่สาวต่างมารดาของคริสต์และเคทลิน