Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 26
การอาบน้ำหลังเหน็ดเหนื่อยจากการศึกทำให้อินกองรู้สึกสดชื่น เหมือนกับการพบโอเอซิสท่ามกลางทะเลทราย
‘อาฮ์ นี่มันสุดยอด’
เขากำลังแช่ตัวในอ่างน้ำร้อนอย่างมีความสุข ความอ่อนล้าในตัวละลายหายไปกับน้ำในอ่าง
‘บางทีอาจจะเป็นผลจากการเพิ่มเลเวลก็ได้ แต่ใครจะสนกัน’
เขาเพิ่มขึ้นเป็นเลเวล 10 ทำให้สมรรถนะร่างกายของเขาฟื้นคืนกลับมา
‘ถึงสภาพจิตใจเราจะยังล้าอยู่ก็เถอะ แต่ว่านี่มันสุดยอดไปเลย’
อินกองเช็ดหัวของเขาจนแห้ง ก่อนจะล้มตัวนอนบนเตียง
‘แทนที่จะนอน เราเอาเวลาตอนนี้มาใช้ลองวิชาก่อนดีกว่า’
เขาเปิดหน้าต่างทักษะขึ้นมา พลางเลื่อนมือไปในอากาศ ทักษะวิชาของเขาเพิ่มขึ้นมาพอสมควร
อินกองเลื่อนไปดูทักษะเกี่ยวกับเวทมนตร์
[วิชาควบคุมธรรมชาติ ขั้น1]
[ไฟร์แอร์โรว์ ขั้น1]
[ไอซ์แอร์โรว์ ขั้น1]
[ฮีล ขั้น1]
‘ไม่เลว ไม่เลว’
แต่พอนึกถึงความเจ็บปวดที่ใช้แลกกับการเรียนทักษะเหล่านี้ เขาก็อดรู้สึกขุ่นเคืองไม่ได้
‘ตอนนี้เราก็มีทั้งลมปราณ เวทมนตร์ แล้วก็พลังจิต สินะ?’
ถ้าเขาสามารถหาวิธีเรียนรัศมีเทพกับวิชาวิญญาณได้ ตัวละครครอบจักรวาลก็จะถือกำเนิดขึ้น
‘ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พลังเวทกับพลังจิตของเรายังต่ำอยู่ ที่คุ้มค่าจะฝึกก็มีแต่ลมปราณนี่ละ’
อินกองเลื่อนนิ้วไปเคาะที่แต้มทักษะขณะใช้ความคิด เขาไม่มั่นใจว่าแบบไหนจะดีกว่ากัน ระหว่างสะสมแต้มไว้เพิ่มขั้นลมปราณ? หรือว่าเพิ่มขั้นให้ทักษะอื่น?
‘ยังไม่มีใครรู้เรื่องพลังจิต’
ในบรรดาพลังทั้งสาม คริสต์กับเคทลินรู้ว่าเขาใช้ลมปราณได้ และเฟลิซีก็เห็นเขาใช้เวทมนตร์
‘เราควรจะซ่อนพลังจิตเอาไว้เป็นอาวุธลับ’
เขาตัดสินใจเก็บมันไว้เป็นไพ่ตายเผื่อใช้ในยามที่ศัตรูไม่ทันระวัง
‘จะอะไรก็ตาม ขอแค่เป็นอาวุธลับ มันก็ดูน่ากลัวสุดๆ’
อินกองพึมพำออกมาเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจฝึกเทเลคิเนซิส แทนที่จะทุ่มฝึกไปเลยในทีเดียว เขากลับเลือกที่จะทยอยฝึกทีละน้อย นั่นก็เพราะเขามีทักษะหลากหลาย ทำให้เขาต้องแบ่งเวลาเพื่อฝึกทักษะทั้งหมด
‘จะช้าหรือเร็ว ทั้งคริสต์กับเคทลินก็จะสอนเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพให้เรา เพราะงั้นเราเก็บแต้มวิชาเอาไว้ก่อนดีกว่า เอาไปใช้เพิ่มขั้นให้ไอศวรรย์ก็ดูไม่เลวเลย’
อินกองจัดระเบียบความคิดของเขาให้เป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะมองไปยังทักษะที่ล่อตาล่อใจเขามาที่สุด ทักษะที่เขาไม่สามารถเพิ่มขั้นเองได้
[พลังพระเอก ขั้น2]
มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างหลังจากที่ระดับเพิ่มขึ้น? แน่นอนว่าคงไม่ได้มีแค่ยันต์สมรภูมิที่เป็นทักษะติดตัว?
‘มันน่าจะมีอะไรอย่างอื่นซ่อนอยู่อีก’
อย่างเช่นเมื่อเพิ่มระดับขั้นให้ลมปราณ พลังโจมตีก็จะเพิ่มขึ้น และรายละเอียดปลีกย่อยหลายอย่างก็เปลี่ยนไป ซึ่งพลังพระเอกก็น่าจะเป็นไปในลักษณะเดียวกัน
‘หรือว่าค่าสถานะต่างๆที่เพิ่มเวลาเลื่อนเลเวลจะเพิ่มเยอะขึ้น?’
หรืออาจจะเป็นบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระเอก?
‘แบบนี้ เดี๋ยวต้องมีซีนพิเศษแน่!’
อินกองหัวเราะให้กับความคิดฟุ้งซ่านของเขา เหตุการณ์พิเศษในสถานการณ์พิเศษ! และทันใดนั้นเอง…
“ฉัตร”
“ฮ่ะ?”
มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นจากอีกฟากของประตู อินกองมั่นใจได้ว่านั่นเป็นเสียงของเฟลิซี
“ฉัตร ฉันขอเข้าไปหน่อยได้ไหม?”
‘จะมีเรื่องร้ายแรงอะไรให้นางมาคุยกับเราดึกดื่นขนาดนี้?’
อย่าบอกนะว่าจะมีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นจริง?
อินกองลุกจากเตียงของเขาท่ามกลางความงงงวย
“อ่า ครับ เชิญครับ”
ประตูแง้มเปิดออกมาหลังสิ้นเสียงของอินกอง และก็เป็นไปตามที่คาด ผู้ที่เปิดเข้ามาก็คือเฟลิซี
“ดูองครักษ์ของเธอให้ดีกว่านี้ ทักษะการต่อสู้ของมันถือว่าไม่เลว แต่สภาพจิตมันยังอ่อนหัดนัก”
#เก่งนี่ แต่ก็ยัง… อ่อนหัด!
พอนางข้ามประตูเข้ามา อินกองก็เหลือบไปเห็นคารัคที่หลับสนิทผ่านช่องว่างประตู
“คารัคเหนื่อยมามากแล้ววันนี้ แล้วก็ยังมีทหารลาดตระเวณอยู่ตามทางเดิน”
“นั่นก็ใช่ ฉันแอบย่องมาเงียบๆด้วย”
เฟลิซียักไหล่แล้วเดินเข้ามาใกล้ เขาไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของนางแม้แต้น้อย อาจจะเป็นเพราะนางเป็นเอลฟ์รัตติกาล หรือไม่ก็เพราะเวทมนตร์บางอย่าง
#อาจจะมีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่ก็เป็นได้
“เอ่อ… แล้ว… มีอะไรหรอครับ?”
อินกองถามเฟลิซีที่มีผ้าขนหนูโพกอยู่บนศีรษะ ดูเหมือนนางเพึ่งจะอาบน้ำเสร็จไม่นาน เส้นผมของนางยังคงไม่แห้งสนิท แก้มและคอของนางมีสีออกแดงระเรื่อ
‘แล้วชุดของเผ่าเอลฟ์รัตติกาลหายไปไหน?’
โชคไม่ดีสำหรับเขา ชุดที่นางสวมใส่อยู่เป็นชุดคลุมสีขาวที่เหล่าไลแคนโทรปสวมใส่ในค่าย ไม่ใช่ชุดของเผ่าเอลฟ์รัตติกาลที่มีลักษณะราวกับชุดว่ายน้ำ
เฟลิซีปิดประตูก่อนจะจ้องมาที่อินกองแล้วเอ่ยปากสั่ง
“ถอดเสื้อออกซะ”
“ฮ่ะ?”
อินกองตกอยู่ในภวังค์ เขามั่นใจว่าเฟลิซีเพึ่งจะสั่งให้เขาถอดบางสิ่งออก!
ขณะที่อินกองกำลังฟุ้งซ่านด้วยใบหน้าที่สติหลุดลอย เฟลิซีก็นั่งลงด้านข้างเขา
“ถอดเสื้อออกซะ ฉันจะดูบาดแผลให้ ตอนนั้นมันคับขัน ฉันเลยไม่ได้รักษาจริงจัง”
# ╮(ˇヘˇ)╭
‘อ๋อ เรื่องนั้นนี่เอง’
อินกองถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกและผิดหวังก่อนจะถอดเสื้อออก เขารู้สึกได้ถึงสายตาจดจ้องอย่างแปลกประหลาดที่ร่างกาย
“มีอะไรหรอครับ?”
“นั่น… คือ… ร่างกายเธอกำยำขึ้นตั้งแต่เมื่อไร?”
หลังจากที่เฟลิซีพูด อินกองจึงก้มหน้าสำรวจร่างกายตนเอง จริงอยู่ที่เขายังคงผอมจนเห็นกระดูก แต่ก็มีมัดกล้ามเนื้อแฝงอยู่ด้วย
“ช่วงนี้ผมออกกำลังกายบ่อยครับ”
อันที่จริงนี่เป็นผลมาจากที่เขาเพิ่มเลเวล กล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้นของเขาล้วนเป็นผลมาจากค่าสถานะที่สูงขึ้น
เฟลิซีกระแอมก่อนที่จะตบไหล่
“ทีนี้ก็นอนคว้ำ ให้ฉันเห็นหลังของเธอ”
อินกองแสดงอาการสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะนอนลง เผยแผ่นหลังให้เฟลิซีสำรวจ
“หืม ไม่เลว ไม่มีบาดแผลอะไร เวทรักษาทำหน้าที่ของมันได้ดีนิ”
เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อยหลังจากที่เฟลิซีร่ายเวทรักษาให้เขา บางที่นั่นอาจจะเป็นเวทมนตร์เกี่ยวกับการรักษาที่ทรงพลังที่สุดของนาง
‘นี่เป็นโอกาสของเราแล้ว!’
เป็นโอกาสดีที่เขาสามารถจะเรียนรู้เวทรักษา และนั่นก็ไม่อาจเล็ดลอดความคิดเขาไปได้
“นูนะช่วยร่ายเวทรักษาอื่นๆให้ผมได้ไหมครับ? กันเผื่อไว้ก่อน?”
“ฉันร่ายแมสซิฟฮีลให้เธอไปแล้วนะ แล้วก็ดูไม่มีบาดแผลอะไร?”
“เอ่อ… แต่ผมรู้สึกมีไข้นิดหน่อย”
เฟลิซีตาเบิกกว้างขึ้นมาทันที
“หรือว่าเธอจะมีแผลน้ำแข็งกัดข้างใน? ให้ฉันดูเดี๋ยวนี้!”
มือของนางเรืองแสงสีเขียวขณะที่นางรีบร่ายเวทมนตร์
[คุณได้เรียนรู้ เคียวร์ ขั้น1]
‘ว้าว!’
เวทมนตร์ที่รักษาสภาพผิดปกติของร่างกาย ถึงแม้ความสามารถในการฟื้นฟูจะน้อยกว่าเวทรักษาทั่วไป แต่มันสามารถสมานบาดแผลได้ทุกชนิด
#แผลไฟไหม้ แผลน้ำแข็งกัด แผลน้ำกรด แผลฟกช้ำ แผลเลือดออก บลา บลา บลา ง่ายๆว่า ฮีล เป็นการเพิ่มพลังชีวิตให้รอดตาย แต่เคียวร์เป็นการรักษาต้นเหตุที่ทำให้เสียพลังชีวิต
“เป็นยังไงบ้าง? ยังรู้สึกเจ็บตรงไหนอีกไหม?”
“อ่า แล้วนูนะพอจะมีเวทมนตร์ที่ใช้แก้พิษไหมครับ?”
“หืม? ฉันไม่คิดว่าศรเหมันต์พวกนั้นจะมีพิษแฝงหรอกนะ”
ถึงจะดูไม่มีเหตุผลแต่อินกองก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาตีสีหน้าเครียดแล้วพูดออกมา
“เปล่าครับ คือตอนที่ผมสู้กับพวกออร์ค…”
“เธอได้แผลตรงไหนหรือ?”
“ผมโดนบ้างนิดหน่อยทางด้านหลัง แต่นูนะร่ายเวทรักษาให้แล้วก็เลยไม่รู้สึกเจ็บอะไร”
หลังจากที่โกหกหน้าตายออกมา อินกองส่งเสียงครวญครางเล็กน้อยก่อนจะมุดหน้าไปกับเตียง
“อืม ฉันเข้าใจแล้ว ขอดูก่อนละกัน”
ครั้งนี้แสงที่มือของนางส่องสว่างออกมาเป็นสีม่วง อินกองยิ้มอย่างพอใจในสิ่งที่เห็น
[คุณได้เรียนรู้ เคียวร์พอยซั่น ขั้น1]
‘เอาอีก เอาอีก’
ทว่านั่นก็ยังไม่จบ
“เวทมนตร์ฆ่าเชื้อโรค…”
“ฉัตร?”
เสียงของเฟลิซีดังขึ้นอย่างไร้เยื่อใย แต่อินกองตัดสินใจพยายามต่อ
“ขอร้องละครับ”
“เหอะ ก็ได้”
แสงสีเหลืองส่องสว่างขึ้นในรอบนี้
[คุณได้เรียนรู้ เคียวร์ดิซีส ขั้น1]
เขาเรียนรู้เวทรักษาอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดล้วนมีประสิทธิภาพใช้งานในหลายสถานการณ์
‘จะขออะไรเพิ่มอีกดีน้า~?’
เขายังอยากจะเรียนรู้เพิ่ม อย่างเช่นเวทมนตร์ใช้แก้คำสาป แต่มันคงจะดูผิดสังเกตหากขออะไรไปมากกว่านี้
‘ถ้าขออะไรเพิ่ม เธอต้องบ่นอิดๆออดๆแน่นอน’
บางทีหากเขาไปร้องขอจากเคทลินอาจจะง่ายกว่า
‘จะว่าไป เราก็ไม่เคยจะเข้าใจบุคลิกของนางเลยซักนิดตลอดการเล่นแซเฟียร์’
แต่ก็ไม่มีสถานการณ์ไหนให้แซเฟียร์ได้พูดคุยกับเฟลิซี
“แล้วตอนนี้ สบายขึ้นยัง?”
“ครับ ขอบคุณมากครับ”
อินกองลุกขึ้นนั่งแล้วสวมเสื้อของเขา เฟลิซีชำเลืองมองเขาแล้วหัวเราะออกมา
“เธอดูแข็งแรงขึ้นและเป็นลูกผู้ชายขึ้นมาก แถมยังใช้เวทมนตร์ได้ด้วย ชีวิตน่าจะราบรื่นดีนิ?”
โชคดีที่เฟลิซีไม่ได้ถามว่าเขาเรียนรู้เวทมนตร์มาจากไหน แต่พอคิดดูแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ลูกของจอมมารสามารถใช้เวทมนตร์ได้
‘ความสัมพันธ์ระหว่างฉัตรกับเฟลิซีเป็นยังไงนะ? เท่าที่ดูจากท่าทางของนาง ก็ออกแนวลูกไก่กับแม่วัว?’
เป็นความสัมพันธ์ที่ทั้งคู่ไม่น่าจะสนิทกันได้ มิเช่นนั้นการสนทนาในครั้งนี่คงจะเป็นกันเองกว่านี้
‘ก็ไม่แย่เสียทีเดียว’
ดูเหมือนว่านางจะชื่นชอบเขาอยู่เล็กน้อย มันดูเป็นไปได้ที่เขาจะชวนนางมาเข้าพวก
‘อินกอง แกห้ามรีบร้อน’
ไม่จำเป็นต้องรีบเร่งอย่างใด ยังเหลือเวลาอีกราวหนึ่งถึงสองปี ก่อนที่การปะทะกันของเหล่าลูกจอมมารจะรุนแรงขึ้นจนแบ่งแยกออกเป็นฝักฝ่าย
“จะว่าไปแล้ว ฉัตร.”
“ฮ่ะ?”
“คริสต์… เคทลิน… เธอสนิทกับทั้งคู่ตั้งแต่เมื่อไร? หรือว่าพวกเธอสนิทกันตั้งแต่แรกแล้ว?”
‘อยู่เฉยๆ แล้วเดี๋ยวเฟลิซีจะมาเอง’
แม้นางยังดูไม่สบายใจเวลาพบคริสต์ แต่นอกเหนือจากนั้นก็ดูปกติเป็นธรรมชาติ
‘ส่วนคริสต์ก็เหมือนจะเกร็งๆ? ว่าแต่… ที่นางถามนี่ต้องการอะไร?’
อย่างที่อินกองมองเห็นเฟลิซีเป็นตัวเลือกทางพันธมิตร เฟลิซีก็มองเขาในลักษณะเดียวกัน และต้องการจะดึงเขาไปเข้าร่วมกับนาง
‘ไอ้นั่นสินะ? นางแค่หาข้อมูลเป้าหมาย?’
สามารถอธิบายสถานการณ์นี้ได้หลายทาง ขึ้นอยู่กับมุมมอง อินกองจึงเลือกที่จะไม่คิดอะไรเพิ่มก่อนจะตอบออกมา
“เปล่าครับ ผมเพึ่งจะสนิทกับทั้งคู่หลังจากที่ถูกส่งมาที่นี่”
ถึงเขาโกหก ไม่นานนางก็จะรู้ความจริง เขาจึงเลือกที่จะพูดความจริงแทนที่จะบ่ายเบี่ยง
“หืม อย่างนั้นรึ?”
เฟลิซียิ้มก่อนจะลุกขึ้น
“ฉันจะกลับห้อง เธอก็พักผ่อนซะ”
นางพูดห้วนขึ้นมาต่างแปลกไปจากเดิม
“ครับ ขอให้นูนะหลับสบายนะครับ”
เขาอยากถามเกื่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนางกับคริสต์และเคทลิน รวมไปถึงเรื่องภูติ แต่อินกองข่มความโลภของเขาเอาไว้ได้ เขารอจนเฟลิซีออกจากห้องก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกรอบ
“เคียวร์”
เขาพึมพำออกมา แสงสีเขียวรวมตัวกันขึ้นที่บริเวณนิ้วของเขา ถึงมันจะใช้พลังเวทค่อนข้างมาก แต่เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
‘อย่างน้อยก็ไขข้อข้องใจได้นิดหน่อย’
เฟลิซีบอกว่านางได้ใช้เวท ‘แมสซิฟฮีล’ แต่ที่เขาเรียนรู้กลับเป็นเพียงเวท ‘ฮีล’ ในขั้นแรก
‘แมสซิฟฮีล คือเวทที่พัฒนาจากฮีลขั้น 5 เพราะงั้นพอเราเรียนมาก็เลยเป็นขั้นต่ำสุดสินะ’
ถึงระดับของทักษะจะต่างกันมาก แต่เพราะเขารู้ถึงสาเหตุ ทำให้อินกองยังยิ้มออกมาได้
อันที่จริงแม้ระดับขั้นจะต่างกันสักเท่าไรก็ไม่สำคัญ แค่การที่เขาเรียนรู้ทักษะได้จากการสัมผัสโดยตรง ก็ถือว่าเยี่ยมยอดแล้ว นอกจากนี้ เขาเพึ่งจะเรียนรู้เวทมนตร์เพิ่มขึ้นถึงสามอย่าง
‘เอาละ งั้นก็ถึงเวลาฝึกวิชาต่อแล้วสินะ?’
อินกองจัดระเบียบความคิดของเขาแล้วเริ่มฝึกเทเลคิเนซิสต่อ