Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 31
เนื่องจากพวกเขาพึ่งจะพ่ายศึกมา ทำให้ทหารทั้งหมดล้วนเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า จะทางกายหรือทางใจ หากแต่พวกเขาก็ไม่มีเวลามากพอจะให้พักฟื้น
คริสต์แบ่งขวดยาหลากหลายให้อินกองก่อนมันจะถูกส่งผ่านต่อไปยังคารัค อินกองกินเจอกี้เนื้อเติมพลังระหว่างเดินทางไปยังที่พักของเฟลิซี
#น่าจะคล้ายๆพวกเนื้อแดดเดียวของบ้านเรามั้งนะ เคยแต่ได้ยินชื่อไม่เคยกินเหมือนกัน (シ_ _)シ
เมื่อเขามาถึงหน้ากระโจมของนาง ก็พบเคทลินยืนรออยู่เช่นกัน
มีทหารอยู่เพียงน้อยนิด นั่นก็เพราะนี่เป็นภารกิจที่จัดอย่างลับๆ และด้วยความที่เป็นการสำรวจโบราณสถานจึงไม่ต้องการทหารมากนัก
อินกองมากับคารัคที่สะพายกระเป๋าบนหลัง ส่วนเคทลินก็มาพร้อมกับเซร่า
#โนววววววววว
เดเลียตามหลังเฟลิซีออกมาพร้อมกับเอลฟ์รัตติกาลอีกหนึ่งนาง
อินกองอยากจะถามว่านางเป็นใคร แต่เฟลิซีไม่มีท่าทีจะพูดแนะนำนาง เคทลินก็ยืนนิ่งไม่ปริปาก อินกองจึงเลือกทำในลักษณะเดียวกัน
“พร้อมแล้ว งั้นก็ออกเดินทางได้”
แล้วเฟลิซีก็พุ่งออกไปราวกับว่ามีศัตรูมาล้อมพวกเขา
“เฮือก อย่าบอกนะว่าพวกเราจะเดินเท้า?”
เสียงที่ตกใจของคารัคดังขึ้นผ่านหูของเขา แม้แต่คารัคที่ไม่ยี่หระต่อความยากลำบาก ก็ยังโอดครวญเมื่ออ่อนล้าจากการรบ
‘ว่ายังไงนะ?’
เขาควรจะถามเฟลิซีดีไหม?
ระหว่างที่อินกองยังกระวนกระวาย เฟลิซีก็หันมามองพวกเขาอย่างยิ้มระรื่น
“ไม่ต้องห่วง พวกเราจะบินไป เดเลีย คาทูอิน”
แล้วเฟลิซีก็หยิบบางอย่างออกมา เอลฟ์รัตติกาลทั้งสองเริ่มร่ายคาถาไปพร้อมกับนาง อินกองชำเลืองมองไปยังเหนือหัวของทั้งสาม
‘พลังเวทมารวมตัวกันขึ้นเรื่อยๆ!’
แต่มันต่างออกไปจากเวทมนตร๋โจมตีหรือรักษา กลุ่มควันสีเทาแผ่กระจายออกจากก้อนพลังเวท พวกมันเริ่มจับตัวกันเป็นรูปร่างและโปร่งใสขึ้น
‘อัศวไร้เงา!’
ม้าวิญญาณ!
ม้าทั้งเจ็ดตนร่อนลงมาอยู่เบื้องหน้าเฟลิซี มีควันสีเขียวลอยอย่างเบาบางอยู่รอบพวกมัน
“จะรอให้พวกทหารรอบๆรู้สึกผิดปกติแล้ววุ่นวายรึไง? รีบไปกันเถอะ”
เฟลิซีหันมาขยิบตาให้ทุกคนก่อนจะขึ้นขี่อัศวไร้เงาตนหนึ่ง คารัคมีอาการลังเล ส่วนเคทลินเข้าไปลูบคลำเรือนร่างและขนของพวกมัน
‘คิดถึงชะมัด เราไปไหนกับมันตลอดในตอนที่เล่นแซเฟียร์’
เขารู้สึกเย็บวาบเมื่อขึ้นไปขี่มัน
‘ก็เป็นธรรมดาละนะ?’
นอกจากสำหรับโจมตีและรักษา ยังมีเวทมนตร์อีกหลายประเภท และเวทอัญเชิญก็เป็นหนึ่งในนั้น บางเวทมนตร์ก็ความซับซ้อนมาก จึงต้องจัดเตรียมคะตะลิสท์เข้าใช้ ดังเช่นเวทยท์อัญเชิญอัศวไร้เงา
เมื่อสมาชิกทั้งหมดประจำพาหนะเรียบร้อย เฟลิซีก็หันไปออกคำสั่ง
“ฉันจะนำทางให้ แล้วก็ระวังตัวกันด้วย พร้อมแล้วใช่มั้ย? บินได้!”
ไม่มีช่องว่างให้ตอบระหว่างคำถามและคำสั่ง คารัคได้แต่กัดฟันแล้วกอดคอเจ้าตัวที่เขาขี่อย่างแน่น
อินกองที่มีประสบการณ์อยู่บ้างไถลตัวไปทางด้านหลังเล็กน้อย ก่อนที่ฝีเท้าทั้งสี่จะทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าต้านทานสายลมที่พัดสวน
เนื่องจากเป็นเวลาดึกแล้ว ร่างของพวกเขาจึงถูกบดบังด้วยความมืดยามค่ำคืน
สายลมเย็นยะเยือกพุ่งปะทะใบหน้าของเขา อินกองจึงก้มหน้าลงก่อนชำเลืองมองแผนที่ย่อ จุดสีฟ้าทั้งเจ็ดพุ่งตัดเคลื่อนที่ไปยังขอบเทือกเขาจิชก้าด้วยความเร็วสูง
#รถม้าความเร็วสูง เอ๊ย รถไฟฟ้าความเร็วสูง
‘ไอ้พวกสายฟ้าชาด!’
จุดแดงมหาศาลรวมตัวกันอยู่ที่มุมหนึ่ง ก่อนมันจะหายไปอย่างรวดเร็ว อินกองยังกวาดสายตาหาสักพักแต่ก็ไม่พบจุดอื่นแต่อย่างใด
เหล่าอัศวไร้เงาร่อนลงสู่พื้นหลังจากเวลาผ่านได้ราวชั่วโมง พวกเขาได้เดินทางมาถึงขอบเทือกเขาจิชก้าที่เฟลิซีชี้ระบุในแผนที่
ทันทีที่ฝีเท้าพวกมันแตะพื้น คารัคกระโดดออกมาอย่างรวดเร็ว ร่างของมันกลิ้งไปกอดผืนพสุธาอย่างซาบซึ้งในบุญคุณ
เฟลิซีกระซิบอะไรบางอย่าง แล้วเหล่าภูติในบริเวณใกล้เคียงก็ส่องแสงออกมา ราวกับโคมไฟในนครลอนดอนยามราตรี
“ลงกันอย่างระมัดระวังด้วย ฉันจะส่งเหล่าอัศวไร้เงากลับ จากนี้พวกเราต้องเดินเท้า”
นางพอจะรู้เส้นทางจากการค้นคว้า แต่นางยังไม่เคยมาถึงที่นี่ นั่นทำให้การเดินสำรวจสามารถเก็บรายละเอียดได้มากกว่าการบินสังเกตจากท้องฟ้า
อินกองรีบทักออกมาก่อนที่เท้าของนางจะแตะถึงพื้น
“รอก่อนครับเฟลิซีนูนะ”
“ฮ่ะ? ทำไมรึ?”
เฟลิซีเงยหน้าถามเขาด้วยความสงสัย อินกองเคลื่อนม้าวิญญาณเข้าใกล้นางก่อนจะเอ่ยปากถาม
“ทางเข้าโบราณสถานอยู่แถวนี้หรือครับ?”
“น่าจะ มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว”
เป็นคำตอบที่ดูไม่แน่นอน แต่น้ำเสียงและแววตาของนางแสดงถึงความมั่นใจ อินกองกลืนน้ำลายก่อนจะตัดสินใจพูดบางอย่างที่อาจจะหักหน้านางออกมา
“งั้นผมขอนำทางได้ไหมครับ? ถ้าเป็นอย่างที่ผมคิด พวกเราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาค้นหาทางเข้า”
“ฮ่ะ? เธอหมายความว่าไง?”
“นั่นสิ แกต้องการจะสื่ออะไร?”
คารัคที่ยังนอนโอบกอดพื้นดินเงยหน้าขึ้นถามอินกอง อาการของมันแสดงได้ชัด ว่ามันไม่ต้องการจะยุ่งกับท้องฟ้าอีกแม้แต่น้อย
แต่ด้วยที่มันพูดออกมาราวกับชาวบ้านคุยกัน ทำให้เดเลียและคาทูอินเปลี่ยนสีหน้าในทันที อินกองรีบพูดตัดบทก่อนที่คารัคจะตกเป็นเป้ามากกว่านี้
“ตอนที่ผมทดลองใช้ประตูมิติ ภาพของเทือกเขาจิชก้าได้ถูกแสดงออกมา และที่นี่ก็อยู่ในฐานข้อมูลพวกดวอฟ”
แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเรื่องที่เขาแต่งขึ้น เขาไม่ได้เช็คภาพเทือกเขา หรือภูเขา หรืออะไรทั้งสิ้น เขาแค่ต้องการหาบางสิ่งมาใช้เป็นข้ออ้างโน้มน้าว
“ถ้าลองคำนึงถึงตำแหน่งภูมิศาสตร์ เส้นทางถ้ำดวอฟ รวมถึงเรื่องเล่าที่เคยได้ยิน ผมว่าผมพอจะเดาตำแหน่งคร่าวๆได้”
“ตำแหน่ง? ตำแหน่งห้องวิหารของทั่งวัชรกรนะรึ?”
เฟลิซีจัดท่าทางของนางบนม้าพร้อมวางมาดก่อนจะถามเขา อินกองผงกหัว
“ใช่แล้วครับ เมื่อคำนวนภูมิประเทศแล้ว ผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหาทางเข้า ”
เฟลิซีแสดงสีหน้าแย่ลงกว่าเดิม ถึงแม้เดเลียกับคาทูอินจะไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่แววตาทั้งคู่ก็แฝงด้วยความสงสัย
นอกจากนี้ คารัคยังพูดโพล่งขึ้นมาต่อ
“องค์ชาย แกหมายความว่าไง? แทนที่จะเข้าผ่านประตู แกพยายามจะบอกว่าให้พังกำแพงสร้างทางเข้าขึ้นเอง?”
สมกับที่เป็นคารัค ความคิดความอ่านของมันเหนือกว่าออร์คธรรมดาอย่างสิ้นเชิง อินกองตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว ถ้ำนี่เป็นที่เก็บสมบัติของเอนคิดู ฉะนั้นมันต้องมีทั้งผู้คุมและกับดักไม่ต่างจากคุกใต้ดิน แทนที่จะฝ่าเข้าไปตรงๆ ผมว่าเราเจาะทางเข้าไปเองน่าจะดีกว่า”
อินกองพูดออกมาอย่างมั่นใจ
นั่นก็เพราะเขาทำแบบนั้นจริงเมื่อคราวที่เล่นเป็นล็อคค์
ฉากบุกเข้าทำลายทั่งวัชรกรเป็นเหตุการณ์สำคัญที่จะเลี่ยงไม่ได้ในการบุกไปยังโลกมาร
หลังจากที่เล่นล็อคค์มาไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง ทำให้เขามั่นใจถึงตำแหน่งที่ต้องพังเข้าไปเพื่อหาทั่งที่ว่า
น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถเอาเรื่องเกมมาบอกกับใครได้ ทำให้เขาต้องคิดสร้างเรื่องราวที่น่าเชื่อถือขึ้นมา
เฟลิซีมองมาที่อินกอง คิ้วของนางยกสูง ดวงตาของนางเบิกกว้าง นางกลัวว่าน้องชายจะเป็นบ้าจากสงครามไปเสียแล้ว ก่อนที่นางจะพูดออกมา
“เอ่อ ถึงมันดูน่าจะเป็นไปได้แค่ไหนก็ตาม… ”
“จริงแท้แน่นอน คำของฉัตรเชื่อถือได้”
เคทลินพูดขัดเฟลิซี นางเท้าสะเอวและแอ่นอกขึ้นอย่างภาคภูมิ
“ความสามารถในการจดจำเส้นทางของฉัตรสุดยอดมาก สำหรับฉัตร เรื่องแค่นี้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก จริงไหม เซร่า?”
เซร่าตกใจที่เคทลินถามขึ้นอย่างกระทันหัน แต่ก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว นั่นเพราะนางรับรู้ความสามารถของอินกอง มันไม่ใช่แค่การจดจำเพียงอย่างเดียว
“ใช่แล้วเพคะ ข้าพระพุทธเจ้าเชื่อมั่นในพระปรีชาสามารถขององค์ชายเช่นกันเพคะ”
เคทลินมองไปยังเฟลิซีอย่างโอ้อวด ด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่า ‘ได้ยินป่าว?’
อินกองเอ่ยปากอย่างมุ่งมั่น
“ให้โอกาสผมซักครั้งนะครับ เฟลิซีนูนะ”
ถึงเขาจะไม่ได้ตั้งใจ แต่สีหน้าของเขาแสดงการร้องขอออกมา เมื่อผสานเข้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาของฉัตรแล้ว ก็ยากที่จะทานทนได้
#นึกภาพลูกหมาลูกแมวตัวเล็กๆส่งแววตาใสซื่อออกมา โอ้ววว คริติคอลแดเมจ
เฟลิซีมองไปมาระหว่างเคทลินกับอินกอง และถอนหายใจออกมาในที่สุด
“ก็ได้ จะลองดูซักครั้ง เธอคิดว่าเราควรจะมุ่งไปทางไหน?”
“ขอบคุณครับ รอแปปนะครับ”
อินกองก้าวลงจากอัศวไร้เงา เขาหยิบเศษกิ้งไม้ขึ้นมาขีดวาดแผนที่บนพื้น ทักษะการอ่านแผนที่ของเขาเลื่อนขึ้นมาขั้นสอง นั่นทำให้สิ่งที่ขีดเขียนต่างไปจากการวาดเล่นทั่วไป
“นี่คือตำแหน่งของพวกเรา ส่วนนี่ก็คือที่ๆพวกเราต้องมุ่งหน้าไป”
เคทลิน เซร่า และคารัค พยักหน้าอย่างเข้าใจ ในขณะที่เฟลิซียังคงเคลือบแคลง
แต่ทว่านางก็รักษาคำพูด นางไม่เสียเวลาถกเถียงและเตรียมให้อัศวไร้เงาออกบิน
“บอกทิศทางมา ฉันจะได้สั่งม้าพวกนี้ถูก”
“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณนูนะมากครับ”
อินกองหัวเราะ และเฟลิซีก็หลุดความคิดของนางออกมาในที่สุด
“ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
นางบ่นออกมาขณะสั่งการอัศวไร้เงา แล้วพวกเขาก็โบยบินอีกครั้ง
&
เนื่องจากเป้าหมายอยู่ห่างออกไป และนี่ก็มืดลงมากแล้ว ทำให้การมองหาจุดหมายจากบนฟ้าทำด้วยความยากลำบาก
ทว่าอินกองมีตัวช่วยที่สำคัญ นั่นคือแผนที่ย่อของเขา เขาตรวจดูตำแหน่งเป็นระยะและคอยบอกทิศทางให้เฟลิซี
เฟลิซียังคงลังเลอยู่ในตอนแรก สักพักนางก็ถึงกับพูดไม่ออก เคทลินได้แต่ยิ้มที่เห็นอาการของนาง
พวกเขามาถึงที่หมายในเวลาไม่นาน แต่บรรยากาศการเดินทางก็เปลี่ยนแปลง นั่นเพราะที่นี่อยู่ไม่ไกลจากบึงที่เหล่าลิซาร์ดแมนและสว็อมพ์แมมม็อธอาศัย
“พวกมันไม่น่าจะอาศัยอยู่แถวนี้ เราโดนพวกมันตีแตกไปแล้วครั้งนึง ถึงเวลาที่ต้องเอาคืน ถึงจะมองเห็นบึงอยู่บ้าง แต่ดูจากแผนที่
แล้วพวกมันอยู่ห่างไปไกล”
คารัคกล่าวออกมาราวว่ามันสามารถอ่านความคิดของอินกองได้
เฟลิซีกระซิบให้ภูติในบริเวณใกล้เคียงเรืองแสงขึ้นมา แต่ไม่สว่างเท่าในครั้งที่แล้ว
“ฉัตร พวกเราต้องไปทางไหน?”
“ขอผมคิดแปปนึงนะครับ”
อินกองตรวจดูแผนที่ย่อของเขาพลางทำท่าครุ่นคิด เขากวาดสายตาหาจนกระทั่งพบตำแหน่งพิกัด
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถจดจำรายละเอียดทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบทกวีแห่งผู้กล้าได้ แต่ที่เขาจำเรื่องทั่งได้เพราะมันเป็นอีกฉากที่ยากเกินจะลืมเลือน
“ทางนี้ครับ”
อินกองยืนยันตำแหน่งพลางเดินทางฝ่าพงหญ้า จนกระทั่งพบผนังภูเขาตั้งตระหง่าน
เฟลิซีเงยหน้าขึ้นมองขอบหน้าผาที่อยู่สูงชันขึ้นไป มีรอยแตกอยู่บ้างเป็นประปราย ราวกับเป็นปราการรับการโจมตีมานับไม่ถ้วน
‘มันเกิดบ้าอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?’
อินกองยิ้มอย่างซุกซนให้กับคำถามในสายตาของคารัค และนี่ก็คือสาเหตุที่เขาต้องการให้เคทลินมาช่วย
“ทีนี้ก็ถึงตาเคทลินนูนะแล้วครับ”
“เอ๋?”
“ช่วยทำลายหน้าผาข้างหน้านี้ทีครับ ผมเชื่อว่านูนะทำได้อยู่แล้ว?”
# Σ(°ロ°)!
ด้วยสายเลือดไลแคนโทรปหมาป่า เคทลินสามารถพังประตูที่แข็งแกร่งได้เพียงแค่ดีดนิ้ว ถึงนั่นจะเป็นเรื่องในอีกสี่ปีข้างหน้า แต่จากที่อินกองเห็นการต่อสู้ของนาง เขาเชื่อว่านางในตอนนี้ก็สามารถทำได้ นั่นทำให้แววตาเขาแฝงด้วยความคาดหวังอย่างมาก
“หา? อ่า… เอ่อ… จ้ะ… ”
เคทลินไม่สามารถทนสายตาอ้อนวอนของอินกองได้ นางมองไปยังผนังด้านหน้าด้วยกำปั้นที่สั่นเทา แม้แต่สายลมเย็นยามค่ำคืนก็ไม่สามารถหยุดยั้งเหงื่อที่แตกพลั่กของนาง
“จัดการเลยครับนูนะ!”
อินกองส่งเสียงออกมาให้กำลังใจเคทลิน คารัคมองนางอย่างชื่นชมอยู่ไม่ไกล และด้วยบรรยากาศที่เกิดขึ้น แม้แต่เดเลียกับคาทูอินก็มองนางด้วยแววตาเป็นประกาย
เคทลินไม่สามารถบอกปฏิเสธท่านกลางสายตาคาดหวังจากรอบข้างได้ นางกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ก่อนจะตั้งท่าลองดูสักครั้ง
และทันใดนั้นก็มีคนตบหลังอินกองเข้าอย่างแรง
“เธอคิดว่าเคทลินเป็นอสูรกายที่ถูกอัญเชิญมารึไง? จะให้นางพังไอ้นี้ด้วยกำปั้นเนี่ยนะ?”
“เอ่อ ก็แค่ต่อยมัน?”
อินกองถามออกมาอย่างสับสน เฟลิซีมองมาที่เขาแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า ส่วนเคทลินก็ก้มหน้าอย่างผิดหวัง
“ขอโทษ… ”
นางเสียใจที่ไม่สามารถทำตามความคาดหวังของน้องชายได้
เฟลิซีถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินไปประจันกับหน้าผา
“หลีกทางไป แล้วเบิ่งตาดูฝีมือของนูนิมผู้นี้ซะ”
เฟลิซีตบมือของนาง แล้วภูติสองตนก็ปรากฏกายขึ้นมาตรงหน้า