Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 33
ราวกับทั้งโลกถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟ
นี่ไม่ใช่ทั้งกลางวันหรือกลางคืน และภายใต้ผืนฟ้าสีแดงเข้มนี้ มีร่างของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ตั้งอยู่
มังกรสีดำมันวาว
ร่างกายของมันปกคลุมไปด้วยแท่งศิลาและสินแร่หลากชนิดแทนที่เกล็ดและเขี้ยวเล็บ ลาวาไหลรินตามร่องหินราวกับเลือดที่หล่อเลี้ยงร่างกายของมัน
พญามังกรเอนคิดู
มังกรบรรพกาลที่ถือกำเนิดขึ้นจากลาวาใต้พิภพ
ต่อหน้ามังกรผู้ยิ่งใหญ่ อินกองเปรียบเสมือนแค่เพียงมดปลวกเท่านั้น เขาไม่สามารถเห็นเรือนร่างทั้งหมดได้เสียด้วยซ้ำ
ที่พำนักของเอนคิดูอยู่บนยอดเทือกเขาจิชก้า หินแร่ทั้งหลายทำให้ไม่สามารถแยกมันออกจากแนวภูเขาได้
ต่อหน้าร่างกายอันมหึมามีเหล่าดวอฟและผู้พิทักษ์สุสานคุกเข่าอยู่เป็นจำนวนมาก ถัดออกไปก็เป็นเหล่าสว็อมพ์แมมม็อธรวมถึงคิเมร่าหลากสายพันธุ์ ก้มแสดงความยำเกรงในแบบของพวกมัน
ทั้งหมดได้รับมอบหมายภารกิจที่ไม่แตกต่าง
อารักขาพญามังกรเอนคิดู
พวกมันถือเป็นแนวเขตแดนระหว่างโลกมนุษย์และโลกมาร
เอนคิดูอ้าปากของมันอย่างเชื่องช้า เสียงของมันสั่นสะท้านไปทั่วแนวเขา อินกองพยายามอุดหูเอาไว้ ก่อนที่จะถูกพัดจมไปในสายลาวาที่โผล่ขึ้นมาอย่างกระทันหัน
“เฮือก!”
อินกองลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกือบจะอาเจียน เขามีเหงื่อท่วมทั้งร่างราวกับหล่นไปในแม่น้ำ
ลมหายใจอันเหนื่อบหอบ หัวใจที่เต้นระรัวราวกับจะฉีกออกจากร่าง
ทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน หรืออาจจะเป็นอะไรก็ตาม แต่ไม่ใช่ความจริง
มังกรดำตนนั้น คือพญามังกรเอนคิดูอย่างแน่แท้
ในบทกวีแห่งผู้กล้า เอนคิดูเป็นหนึ่งในหกมังกรบรรพกาล ที่มีพลังเทียบเคียงได้กับเทพเจ้า
มีเพียงการกล่าวถึงมันในหลายสภาวการณ์ตามท้องเรื่อง หากแต่ไม่มีการปรากฏตัวแต่อย่างใด เป็นไปได้ว่ามันอาจจะหลับไหลอยู่ หรือสิ้นชีพไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อินกองใช้มือทั้งสองกุมหน้าเอาไว้ เขาพยายามสูดหายใจให้ลึกที่สุดเพื่อให้ใจเย็น
“เอาละ”
อินกองเอ่ยออกมาก่อนจะยืนขึ้น เขามองไปเห็นคารัคที่นอนหมดสติอยู่ไม่ไกล
“คารัค! คารัค!”
อินกองร้องเรียกชื่อมันพลางเขย่าตัวอย่างรุนแรง เขาตบหน้ามันหลายครั้งจนกระทั่ง
“อือ… อือ… ”
เจ้าออร์คได้สติกลับคืนมาในที่สุด อินกองโล่งใจขึ้นก่อนจะมองสำรวจสมาชิกอื่น
“เคทลินนูนะ! ปลอดภัยใช่ไหมครับ? ตั้งสติครับ!”
อินกองยกร่างของนางอย่างระมัดระวัง เขาเขย่าไหล่และขานชื่อนาง สักพักเคทลินก็ลืมตาขึ้น
“งืมมม… ฉัตร?”
เสียงของนางเหมือนพึ่งตื่นจากการหลับฝันดี
“ไม่สบายตรงไหนรึเปล่าครับ?”
“งืมมม… ไม่นะ”
เคทลินตอบก่อนจะลุกขึ้น อินกองหันไปมองรอบตัวและก็เป็นไปตามคาด สมาชิกทั้งหมดนอนล้มสลบไสลไปทั่ว
“เคทลินนูนะครับ ผมจะไปปลุกเฟลิซีนูนะ”
“อ่า อื้ม”
เคทลินยืนขึ้นพร้อมเอามือจับหน้าผากของนาง อินกองเดินข้ามคารัคที่ยังนั่งเหยียดขาอย่างสับสนเพื่อเข้าไปหาเฟลิซี
“นูนะครับ! เฟลิซีนูนะครับ!”
การปลุกคารัคกับเคทลินทำให้เขารู้ว่ามันไม่ได้มีอันตรายรายแรง เขาบีบแก้มของนาง ก่อนนางจะสะดุ้งตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เฮือก!”
เฟลิซีลุกขึ้นนั่งอย่างเหนื่อยหอบ ร่างของนางเปียกโชกไม่ต่างจากอินกอง
“นูนะไม่บาดเจ็บนะครับ?”
“เอ่อ ไม่มีอะไร ฉันไม่เป็นไร แค่มันมีอะไรบางอย่างที่ฉันอยากจะตรวจสอบนิดหน่อย ไม่ใช่สิ ฉันต้องตรวจสอบอะไรบางอย่างนิดหน่อย”
ถึงนางจะพูดจาออกมาเยอะกว่าปกติ แต่เสียงและแววตาของนางไม่มีความวิตกแต่อย่างใด ออกจะตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำ
เฟลิซีหันมาบีบแขนอินกองอย่างแน่นก่อนจะถามเขา
“ฉัตร, เธอเห็นเอนคิดูเหมือนกันใช่ไหม? มังกรสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ที่นอนแช่อยู่ในทะเลลาวานะ?!”
“อ่าใช่ครับ ผมเห็นเหมือนกัน”
หลังจากถามอินกอง นางก็หันไปถามเคทลินที่กำลังปลุกเซร่า
“แล้วเธอละเคท เธอก็เห็นเหมือนกันใช่ไหม?”
“เอ่อ ค่ะ”
“ข้าก็ด้วย”
คำตอบสุดท้ายเป็นของคารัคที่เฟลิซีดูจะไม่สนใจสักเท่าไร นางแสดงใบหน้ายินดีก่อนจะชูกำปั้นขึ้น
“ยอดเยี่ยมมาก นี่มันเป็นไปตามเอกสารบันทึกเป๊ะๆ แค่มันเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน แถมเร็วกว่าที่คาดคิดไว้มาก ฉันก็เลยตกใจนิดหน่อย แต่ถ้ามันเป็นตามบันทึกแบบนี้ ที่เหลือก็ไม่มีอะไรยากแล้ว ฉันก็แค่ต้องลงแรงใช้ทั่งจริงๆซักครั้ง”
เฟลิซีพูดออกมาอย่างระรัว แต่เหมือนนางจะพูดกับตัวเองเสียมากกว่า
เฟลิซีใช้เรี่ยวแรงที่เริ่มกลับมาพยุงตัวขึ้น อินกองหันมองนางก่อนจะเอ่ยปากถาม
“เอ่อ งั้น ตอนนี้ทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้วสินะครับ?”
“ใช่ ฉันควบคุมทั่งนี่ได้ หรือเธอไม่เชื่อในนูนิมผู้นี้?”
เฟลิซีที่นึกขึ้นได้ กระแอมวางมาดของนางก่อนจะตอบกลับมา
#เอิ่ม เหมือนจะช้าไปแล้วนะลูก
ในระหว่างนั้น เคทลินกับคารัคก็ช่วยกันปลุกสมาชิกที่เหลือ เมื่ออินกองถาม ทั้งหมดก็ตอบว่าเห็นเอนคิดูทั้งสิ้น
เฟลิซีเดินไปยืนข้างทั่งวัชรกรก่อนจะวางมือทั้งสองของนางบนแผ่นจาน
“หาอะไรยึดจับไว้ ฉันจะเริ่มใช้ทั่งแล้ว!”
อินกองคว้ารูปปั้นดวอฟเอาไว้ ที่เหลือก็เกาะรูปปั้นแบบเขา บ้างก็ยึดจับเสาวิหาร
หลังจากมั่นใจว่าทั้งหมดพร้อมแล้ว เฟลิซีก็เริ่มปลดปล่อยพลังเวท เสียงเครื่องจักรดังขึ้นอีกครั้ง และในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพียงบริเวณทั่งวัชรกร ทั้งห้องวิหารเริ่มสั่นสะเทือน ก่อนแท่นบูชาจะยกตัวสูงขึ้น พร้อมกับเพดานที่เปิดแยกออก เผยให้แสงจากฟากฟ้าสาดส่องเข้ามา
“แสงแดด? หรือว่า?”
เซร่าขมวดคิ้วอุทานออกมาอย่างตกใจ
พวกเขาเดินทางมาถึงในยามกลางคืน ถึงเพดานจะเปิดออก แสงที่ลอดเข้ามาก็ควรจะเป็นแสงจันทร์ ไม่ใช่แสงแดด
ทว่าแสงเบื้องหน้ากลับสว่างเกินกว่าจะเป็นแสงจันทร์ อินกองรีบดูเวลาบนแผนที่ย่อของเขา แล้วก็ต้องตกใจอย่างยิ่ง
‘ชิบหาย นี่ผ่านไป 12 ชั่วโมงแล้วเหรอวะ?’
บริเวณพิธียังคงยกตัวขึ้นสูงผ่านเพดานที่เปิดออก
ถึงแม้พลังเวทสีฟ้าจะรวมตัวกันมากขึ้นและมีสายลมโหมกระหน่ำโดยรอบ เฟลิซียังก็คงร่ายเวทมนตร์ต่อไปเหมือนไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็มีเหงื่อจำนวนมากไหลรินจากหน้าผากและลำคอของนาง
มีแสงสว่างพวยพุ่งขึ้นมาจากวงแหวนทั้งสิบสองที่อยู่รายล้อมทั่งวัชรกร
“นั่นมันกองทัพ!”
คารัคตะโกนขึ้นอย่างตกใจ ภายในลำแสงตรงหน้า เป็นภาพการปะทะกันของกองกำลังปราบกบฏและเผ่าสายฟ้าชาดจากหลายมุมมอง ราวกับพวกเขากำลังดูรายการถ่ายทอดสดผ่านอินเตอร์เน็ต
ซึ่งเหตุการณ์ก็ไม่แตกต่างจากเมื่อวาน พวกเขากำลังเสียเปรียบ เหล่าสว็อมพ์แมมม็อธยิงศรเวทอย่างไร้ความปรานี พวกลิซาร์ดแมนบุกโจมตีอย่างคลุ้มคลั่ง
มุมมองทั้งหมดเหมือนจะส่งผ่านจากสว็อมพ์แมมม็อธ
นั่นทำให้พวกเขาต้องรีบทำอะไรสักอย่างก่อนกองทัพจะย่อยยับ อินกองมองไปยังเฟลิซีพร้อมกับเสียงตะโกนร้องของเคทลิน
“เฟลิซีออนนี่!”
“องค์รัชทายาท!”
เดเลียและคาทูอินร้องอย่างตื่นตระหนก
เพียงแวบเดียวก็สามารถบอกได้ว่าสภาพของเฟลิซีผิดปกติ ร่างกายอันสั่นเทา โลหิตหลั่งไหลออกจากหูและจมูก มือของนางติดแน่นอยู่กับตัวทั่ง แทนที่จะเรียกว่านางส่งพลังเวทเข้าไป มันเหมือนนางถูกดูดพลังเวทไปเสียมากกว่า
“พวกเราต้องหยุดทั่งนั่น! ช่วยองค์รัชทายาท!”
เดเลียตะโกนขึ้นมาก่อนจะวิ่งไปที่ทั่งวัชรกรพร้อมกับคาทูอิน หากแต่ชะตากรรมทั้งคู่ก็ไม่ต่างจากเฟลิซี
พลังเวทถูกดูดกลืนเข้าไปมากขึ้น ทำให้แสงสว่างส่องจ้าขึ้น สายลมพัดกระโชกแรงขึ้น เคทลินกับอินกองรีบวิ่งเข้าไปโดยไม่รอช้า
มือของทั้งคู่สัมผัสตัวทั่งในเวลาเดียว และในทันใดนั้น…
จิตสำนึกของอินกองก็เชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับทั่งวัชรกร เขารู้สึกราวกับฝ่ามือทั้งห้าคู่วางอยู่บนตัวเขา ก่อนจะกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน
พลังเวทในตัวอินกองไหลออกอย่างรวดเร็วเกินกว่าขีดจำกัดที่ร่างกายรับได้ กระแสพลังอันเชี่ยวกราดพุ่งเข้าจู่โจมสามัญสำนึกของเขา
“องค์ชาย!”
คารัคตะโกนออกมาในทันทีที่ของเหลวแดงก่ำไหลออกจากหูและจมูกของอินกอง แต่เขาไม่สามารถจะได้ยินมันได้
จิตวิญาณทั้งหมดถูกรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับทั่งวัชรกร เสียงกรีดร้องจากเฟลิซีและเคทลินยังคงดังอย่างไม่หยุดหย่อน เดเลียกับคาทูอินที่ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันจากกระแสอันรุนแรงได้หมดสติลง
พลังเวทของพญามังกรเอนคิดู
บททดสอบเพื่อกำจัดผู้ที่ไม่คู่ควร!
กระแสพลังเวทอันกราดเกรี้ยวไร้ผู้ต่อกร ไม่ผิดแปลกที่เฟลิซีจะควบคุมไม่สำเร็จและถูกครอบงำเสียเอง
ทว่าอินกองยังคงมีสติหลงเหลือท่ามกลางกระแสนี้ เขาคำรามออกมาก่อนจะเริ่มโต้กลับ
นั่นเป็นเพราะเสียงที่ดังก้องขึ้นจากก้นหลืบในวิญญาณของเขา เสียงนี้ช่วยฉุดรั้งเขาเอาไว้
ภาพสตรีผมขาวพร้อมมงกุฏทองปรากฏขึ้นมาอย่างเด่นชัด นัยน์ตาทั้งสองเรืองแสงขึ้นจากประกาศิตของนาง
‘อาณัติ!’
อินกองคำรามขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางความวุ่นวาย เฟลิซีกับเคทลินที่ยังคงมีสติหลงเหลือร้องครวญคราง อินกองรวบรวมพลังเวทและความมุ่งมั่น แล้วส่งมันพุ่งเข้าโจมตีไปยังศูนย์กลางกระแสพลังอันบ้าคลั่งนี้
อาณัติ
สิทธิอันชอบธรรมแห่งกษัตริย์ในการปกครองและบัญชาซึ่งทุกสิ่ง!
ในทันทีที่อินกองเอาชนะพลังเวทของเอนคิดูได้ กระแสอันเชี่ยวกราดก็สงบนิ่งและปลดปล่อยทุกอย่างให้เป็นอิสระ
“องค์ชาย! องค์ชาย!”
เสียงเรียกจากคารัคดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง อินกองเงยหน้าของเขาขึ้น เคทลินและเฟลิซีทรุดลงอย่างเหนื่อยหอบ เดเลียและคาทูอินยังคงไม่ได้สติ
เฟลิซีอาศัยทั่งวัชรกรเพื่อพยุงตัวให้ขึ้น นางมีญาณสัมผัสแก่กล้าที่สุด นางจึงเข้าใจในสิ่งที่อินกองได้ทำลงไป นางใช้แรงเฮือกสุดท้ายร่ายคาถาด้วยรอยยิ้มอันเจือจาง
ทั่งย่อมคู่กับค้อน
กระแสพลังเวทของเอนคิดูเข้ารวมตัวกันเป็นค้อนลอยอยู่ตรงหน้าอินกอง เขาเอื้อมไปคว้าศัสตราไว้ในมือ
อินกองหันไปชำเลืองมองเฟลิซี ก่อนนางจะพยักหน้าให้กับเขา
“จัดการซะ”
พลังเวทของเอนคิดูในมือเขาบอกทุกสิ่งอย่างที่ต้องทำ
อาณัติก็ไม่อยู่เฉยราวกับกลัวจะน้อยหน้า
นางกระซิบบอกอินกองถึงวิธีในการเข้าควบคุมยึดครองทั่งวัชรกร
สิ่งแรกที่ต้องทำ อินกองออกคำสั่งบัญชาเหล่าสว็อมพ์แมมม็อธ
แขนของเขาเงื้อสูงขึ้น แสงสว่างเจิดจ้าและเสียงที่ดังราวฟ้าร้อง ได้แผ่กระจายไปทั่วเทือกเขาจิชก้า
#คิดว่าน่าจะเหมือนแบบที่เคเลบริมบอร์ยึดหอคอยใน shadow of mordor/war
จบบทที่ 4 – ปลุกตื่น เริ่มบทที่ 5 – เปิดตัว