Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 34
ค้อนฟาดลงไปบนทั่ง
เสียงคำรามอันกึกก้องดังขึ้นหลังจากการหลับไหลนับพันปี
พลังเวทแผ่กระจายออกเป็นคลื่น ปลุกเหล่าสมุนของเอนคิดูในทุกหย่อมหญ้า
พวกมันลืมตาขึ้นและน้อมรับบัญชา
เหล่าสว็อมพ์แมมม็อธกู่ร้องออกมาอย่างเกรี้ยวกราด เวทมนตร์พื้นบ้านของออร์คชาแมนไม่สามารถบดบังพวกมันจากนายที่แท้จริงได้อีกต่อไป
แวนเดลเป็นผู้แรกที่รับรู้ได้
ถึงมันจะไม่ใช่จอมเวท แต่มันก็รับรู้ได้จากสัญชาตญาณ กระบองหนามเหล็กในมือทั้งสองข้างฟัดฟาดเหล่าออร์ครอบกายกระเด็นอย่างรุนแรง
ในบัดนี้ บางสิ่งในสมรภูมิได้เปลี่ยนไปเรียบร้อย
ไม่ต้องใช้ตรรกะเหตุผลอะไรให้ยุ่งยาก แวนเดลเชื่อในความรู้สึกของตน มันคำรามอย่างฮึกเหิมแล้วพุ่งเข้าสู่ใจกลางทัพศัตรูอย่างไม่ลังเล
“อาอาอาอาอาาาา!”
เสียงคำรามศึกดึงความสนใจจากทุกสิ่งรอบตัว เจ้าโอเกอร์ที่คอยปกป้องสหายของมัน บัดนี้ได้พุ่งทะยานไปข้างหน้า ทำลายทุกสิ่งที่ขวางทางราวกับเครื่องจักรสงคราม
“อาอาอาอาอาาาา!”
“อาอาอาอาอาาาา!”
เหล่านักรบโอเกอร์ส่งเสียงออกมาก่อนจะวิ่งกรูตามผู้นำของพวกมัน
พวกออร์คสายฟ้าชาดสับสนในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ใบหน้าของยาคุซันกลับมีรอยยิ้มโผล่ขึ้นมา การบุกของแวนเดลดูไม่ต่างจากการดิ้นรนเฮือกสุดท้าย และนั่นจะเป็นจุดบอดที่ทำให้กระบวนทัพของวังหลวงเสียขบวน
ทว่ายาคุซันคิดผิด ห่างออกไปไม่มาก เหล่าสว็อมพ์แมมม็อธที่ได้สติวิ่งพุ่งทำลายเผ่าสายฟ้าชาดจนราบคาบเป็นแถบ
ทัพที่แตกกระจายไปกับความโกลาหล กลับกลายเป็นทัพของพวกมัน
ซึ่งช่องโหว่นี้ก็ไม่อาจเล็ดลอดสายตาแวนเดลไปได้ มันยังคงบุกฝ่าไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้ทัพของเผ่าสายฟ้าชาดเสียหายมากขึ้น
ทหารหลายนายเริ่มรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ร่างกายของคริสต์เต็มไปด้วยบาดแผลและเลือด เขาเงยหน้ามองไปยังคลื่นพลังเวทที่แผ่ขยายพร้อมตะโกนออกมา
“พวกนั้นทำสำเร็จ!”
คริสต์แสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย ก่อนจะส่งสัญญาณให้ทหารของเขา
“บุฮู้วววววววว!”
ไลแคนโทรปร่วมร้อยเห่าหอนขึ้นพร้อมกัน ความอ่อนล้าฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อยจากพรในคลื่นพลังที่พัดผ่าน
นี่คือหนึ่งในมนตราของทั่งวัชรกร
ศรเวทของเหล่าสว็อมพ์แมมม็อธที่เปลี่ยนเป้าโจมตี ทำให้ทหารกองทัพปราบกบฏฮึกเหิม พวกมันลืมกระทั้งความอ่อนล้าเจ็บปวดของร่างกาย
ในทางตรงกันข้าม ขวัญกำลังใจของเผ่าสายฟ้าชาดเริ่มหดหาย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเสียงคำรามของสว็อมพ์แมมม็อธ อีกส่วนก็มาจากสถานการณ์ที่พลิกผัน นายกองของพวกมันพยายามควบคุมสถานการณ์เอาไว้แต่ก็ไร้ผล
กองทัพที่หมดแรงจูงใจก็ไม่ต่างอะไรจากฝูงชนที่ไร้ระเบียบ ความสับสนทำให้พวกมันตื่นตระหนกและไม่สามารถมองภาพรวมได้
“พวกเราต้องรีบหนี!”
ออร์คชาแมนตะโกนร้องบอกยาคุซัน เพราะมันสัมผัสเวทมนตร์ได้ มันจึงเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ
การศึกครั้งนี้เหลือแต่ความปราชัย แม้แต่การล่าถอยก็ยากลำบาก สิ่งที่รออยู่มีเพียงความวอดวายของเผ่าเท่านั้น
พวกมันจึงต้องรีบหนี แม้จะแลกด้วยความเสียหายมหาศาลก็ตาม
“ท่านต้องมีชีวิตรอด! ตราบใดที่ท่านหัวหน้าเผ่ายังอยู่ พวกเราสามารถระดมพลเมื่อไรก็ได้!”
ยาคุซันเข้าใจในสิ่งที่เหล่าชาแมนของเขาพยายามจะสื่อ มันรู้ว่าการหนีเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่มันไม่สามารถทำได้
มันหันมองยังสนามรบตรงหน้า ลูกเผ่าของมันล้มตายราวกับผักปลา
“ยา-คุ-ซัน-!”
ร่างของเหล่าชาแมนรอบข้างสั่นเทาจากเสียงอันดังสนั่น ยาคุซันจ้องไปยังแวนเดลที่กำลังบุกเข้ามา มีทหารขวางระหว่างทั้งคู่อยู่ร่วมร้อย แต่นั่นไม่ช่วยอะไร
“มาได้แค่นี้สินะ”
ยาคุซันหัวเราะออกมาราวกับเย้ยหยันตนเอง มันหยิบดาบเหล็กที่คู่กายมาทั้งชีวิตวางบนบ่า ก่อนมันจะออกไปรับศึกเป็นครั้งสุดท้าย
“ท่านหัวหน้าเผ่า?”
ยาคุซันไม่ตอบเสียงเรียกขานจากชาแมน มันหัวเราะร่าก่อนจะวิ่งเข้าใส่แวนเดลด้วยดาบในมือ
&
“จบสิ้นซะที”
อินกองพูดพลางถอนหายใจออกมา เขาเห็นการศึกที่เกิดขึ้นผ่านทางสายตาเหล่าสว็อมพ์แมมม็อธ
ยาคุซันถูกแวนเดลสังหารเรียบร้อย แม้เผ่าสายฟ้าชาดจะเหลือผู้นำตนอื่นเช่นไครัมอยู่ก็ตาม แต่พวกมันก็ไม่มีบารมีพอจะรวบรวมทั้งเผ่าได้อย่างยาคุซัน
การตายของยาคุซันส่งผลกระทบให้เผ่าสายฟ้าชาดอย่างมาก พวกมันเลิกขัดขืนแล้วยอมจำนน บ้างก็หลบหนี ส่วนพวกลิซาร์ดแมนก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีที่การรบจบลง
อินกองวางค้อนลงก่อนมันจะกระจายตัวเป็นพลังเวทตามเดิม เขามองเห็นคริสต์กู่ร้องชัยชนะในร่างอันโชกเลือดผ่านหนึ่งในสิบสองลำแสง จากนั้นสายตาเขาก็หันกลับมามองสองร่างที่นั่งพิงทั่ง
“เราชนะ”
เฟลิซีหัวเราะออกมาด้วยใบหน้าที่ยังเปื้อนเลือด เคทลินที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่ราวกับไร้วิญญาณ
“เราชนะ”
ท่าทางของนางดูเหนื่อยอ่อนเป็นอย่างมาก หากไม่ได้พิงทั่งวัชรกรอยู่ นางคงไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลุกขึ้นนั่ง
หลังจากเช็ดเลือดบนหน้าของนางออก เฟลิซีก็เอ่ยขึ้น
“ฉัตร สั่งให้สว็อมพ์แมมม็อธจำศีลซะ”
ในตอนนี้ ฉัตรเป็นผู้เดียวที่สามารถใช้ทั่งวัชรกรสั่งการสว็อมพ์แมมม็อธได้ พลังของพวกมันน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก การปิดการทำงานของพวกมันจึงถือเป็นความคิดที่ดี
ทว่าอินกองกลับไม่เรียกค้อนออกมา
“ผมสั่งพวกมันไปเรียบร้อยแล้วครับ”
“ดีมาก ฉันขอหลับสักพักนะ”
“ฮะ?”
เฟลิซีหันไปด้านข้าง นางพยายามจะคว้าเคทลินมากอด แต่ด้วยแขนที่ไม่เหลือเรี่ยวแรง นางจึงถอดใจแล้วพิงไหล่ของเคทลินแทน
“ฉันเหนื่อยมาก ราตรีสวัสดิ์”
เฟลิซีเอ่ยขึ้นแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา เคทลินมองไปที่นางก่อนจะหันมาหาอินกอง
“ขอโทษนะ”
แล้วเคทลินก็หลับตาลงเช่นกัน
‘เราก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน’
พอเรื่องราวจบสิ้น เขาก็รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่พุ่งถาโถม
‘ขอพักหน่อยนะ’
ในวินาทีที่ความคิดนั้นผุดขึ้น…
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]
“ฮะ?”
อินกองอุทานอย่างแปลกใจท่านกลางแสงสว่างจากการเลื่อนระดับที่ปกคลุมร่างเขา ความอ่อนล้าทยอยหายไป
‘หรือว่าจะมีค่าประสบการณ์จากความสำเร็จด้วย?’
ในบทกวีแห่งผู้กล้าเมื่อพบของวิเศษหรือทำความสำเร็จบางอย่างได้ ก็มีบ้างที่เขาจะได้รับประสบการณ์เป็นรางวัล
‘ช่างเถอะ แค่วิ่งเรายังได้ค่าประสบการณ์เลย’
ทั่งวัชรกรเป็นถึงของวิเศษที่สร้างโดยพญามังกรเอนคิดู การที่จะได้ค่าประสบการณ์มหาศาลจากการครอบครองจึงดูไม่แปลก
เขาเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเลเวลในศึกแรกที่พ่ายแพ้ไป ทำให้เลเวลของเขาตอนนี้อยู่ที่ 13 แต่ข้อความยังขึ้นต่อ
#ไม่คุ้นว่ามีเพิ่มเลเวลนะ ย้อนกลับไปดูตอนเก่าในต้นฉบับก็ไม่มีด้วย น่าจะเป็นคนเขียนลืมเขียน
[เพิ่มระดับขั้นทักษะ อาณัติ]
“อะไรเนี่ย?”
อินกองร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะรีบเปิดหน้าต่างทักษะขึ้นมา ซึ่งระดับของทักษะก็เพิ่มขึ้นจริง
[อาณัติ ขั้น2]
[ใต้ร่มเงากษัตริย์ ขั้น2]
[มหาดเล็กราชวัลลภ ขั้น1]
‘ใต้ร่มเงากษัตริย์… มันจะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างเนี่ย? หรือว่าดึงพลังแฝงได้เยอะขึ้น? แต่จำนวนทหารที่ได้รับบารมีต้องเพิ่มขึ้นแน่ๆ’
อินกองอยากทดสอบดูในทันที แต่มีบางสิ่งที่ดึงความสนใจของเขา
มหาดเล็กราชวัลลภ ขั้น1
มีทักษะเพิ่มเข้ามา ไม่ใช่ทักษะติดตัวเหมือนหมวดพลังพระเอก แต่เป็นทักษะที่สามารถเรียกใช้ได้เหมือนใต้ร่มเงากษัตริย์
‘เท่าที่ดูจากชื่อ… หรือจะเป็นเวทอันเชิญทหารออกมาช่วยสู้รบ?’
เขาจินตนาการถึงภาพกองทหารอัศวินในเกราะทองปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
หลังจากที่ฟุ้งซ่าน อินกองก็นั่งลงพิงทั่งวัชรกร ถึงความเหนื่อยล้าของร่างกายจะหายไป แต่สภาพจิตใจของเขายังไม่ได้รับการพักผ่อน ไม่ต่างจากผลข้างเคียงเวลาใช้ใต้ร่มเงากษัตริย์
‘ลงทัณฑ์ ศิโรราบ ปกครอง’
บทพูดประจำตัวของสตรีชุดขาว
เขาไม่ใช่แค่มองเห็นนางเหมือนในทุกที แม้จะเพียงแค่ชั่วขณะ แต่เขารู้สึกราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับนาง
นั่นอาจจะเป็นผลจากการที่อาณัติเพิ่มระดับขั้น
แต่นางเป็นใครกันแน่? หรือว่านางคือพลังอาณัติในตัวของอินกอง?
ร่างกายที่เบาบางจากการเพิ่มเลเวล เริ่มหนักอึ้งอีกครั้ง เขาพยายามถ่างตาให้มากที่สุดก่อนที่ร่างกายจะหมดแรง
นี่คือขีดจำกัดที่สภาพจิตใจของเขารับได้ในตอนนี้ เขาหันไปเรียกคารัคก่อนที่สติจะดับวูบ
“คารัค”
“องค์ชาย! แกเห็นหรือยัง? พวกเราชนะสงครามแล้ว!”
คารัคพูดอย่างตื่นเต้น สายตาของมันมองไปยังภาพในลำแสงทั้งสิบสอง อินกองพึมพำออกมาอีกครั้ง
“ฝากที่เหลือด้วย”
แล้วเขาก็หมดสติลง ทุกอย่างดำเนินอย่างรวดเร็วราวกับเป็น ทักษะหมดสติ
“เฮือก? องค์ชาย? องค์ชาย?”
คารัควิ่งเข้าไปหาอินกองด้วยใบหน้าที่ยังคงสับสน เซร่าเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะพูดคุยกับมัน
“นักรบคารัค ข้าจะคุ้มครององค์หญิงเอง รบกวนท่านปกป้ององค์ชายและเหล่าเอลฟ์รัตติกาลด้วย”
ในบรรดาสมาชิกทั้งหมด มีเพียงคารัคและเซร่าเท่านั้นที่ยังมีสติหลงเหลือ
“ข้าเข้าใจแล้ว”
คารัคตอบออกมาก่อนมันจะหยิบผ้ามาคลุมให้อินกอง
&
สตรีในชุดขาวส่งยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น
นัยน์ตาสีแดงและน้ำเงินของนางจดจ้องมายังเขา พร้อมเสียงกระซิบที่แผ่วเบา
“อาชา เจ้าคือควา-”
นางยังคงกล่าวบางอย่าง แต่เสียงของนางเบาบางเกินกว่าที่เขาจะรับรู้ได้ นางกัดริมฝีปากก่อนจะฝืนยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง
มันยังไม่ถึงเวลา
ความมืดเข้าปกคลุมก่อนภาพนางจะเลือนหายไป
“หืม แกได้สติแล้วรึองค์ชาย?”
เสียงของคารัคดังขึ้นทันทีที่อินกองลืมตา เขาลุกขึ้นด้วยท่าทางอันงัวเงีย
“คารัค”
“เอาน้ำไปดื่มก่อน”
อินกองรับกระติกจากมือของมันมาจิบก่อนจะเริ่มถาม
“พี่สาวผมละ?”
“ทั้งคู่อยู่ด้านนั้น”
คารัคยิ้มพลางชิ้ไปอีกทิศหนึ่ง เฟลิซีและเคทลินหลับพิงซึ่งกันและกันใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ เป็นภาพอันอบอุ่นที่หาดูได้ยากยิ่ง
‘เราฟื้นขึ้นคนแรกสินะ?’
จากการที่ร่างกายนางแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเขา อินกองคิดว่าเคทลินจะเป็นผู้แรกที่ตื่นขึ้น
‘อ่อ ผลจากเพิ่มเลเวลสินะ’
ผลจากการเพิ่มเลเวลทำให้ร่างกายเขาฟื้นฟูกลับมาแล้วระดับหนึ่ง จึงไม่แปลกที่เขาจะฟื้นตัวเร็วที่สุด
‘พึ่งจะผ่านไปแค่สองชั่วโมง’
อินกองละสายตาจากแผนที่ไปยังเคทลินและเฟลิซี เซร่าที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากทั้งคู่เอ่ยขึ้น
“องค์หญิงทั้งสองพระองค์ยังทรงเหนื่อยล้าเพคะ ข้าพระพุทธเจ้าเกรงว่าจำต้องใช้เวลาให้พระองค์ท่านทั้งสองทรงพักผ่อนพระวรกายอีกสักครู่เพคะ”
“พวกเอลฟ์รัตติกาลก็สภาพไม่ต่างกัน แต่ดูๆแล้วไม่น่าจะถึงตาย”
คารัคชี้ไปยังเดเลียและคาทูอินที่ล้มนอนอยู่ไม่ไกล และก็เป็นไปตามที่มันบอก แม้ทั้งคู่จะดูเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อันตรายถึงชีวิต
อย่างไรก็ตาม การที่ไม่เสียใครก็ถือว่าภารกิจลุล่วงด้วยดี
“เป็นชัยชนะอันงดงามมากเพคะ ใต้ฝ่าพระบาท”
เซร่ายอมรับในตัวอินกองและความดีความชอบที่เขาได้รับ คารัคมองมาที่เขาก่อนจะพูดเหมือนนาง
“ยินดีด้วย องค์ชาย”
“ขอบคุณครับ แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะเคทลินนูนะกับเฟลิซีนูนะด้วย”
เซร่ายิ้มให้กับคำพูดของเขา โดยเฉพาะเมื่อเอ่ยชื่อเคทลิน
แล้วอินกองก็หันไปทางคารัค
“และทั้งหมดก็เพราะนายด้วย”
“ฮ่าฮ่า แกก็รู้ดีนี่นา”
คารัคหัวเราะขึ้น
แน่นอนว่าเดเลียกับคาทูอินต้องขมวดคิ้วไม่ชอบใจในมารยาทของเจ้าออร์ค แต่เซร่าที่คุ้นเคยกับมันเป็นที่เรียบร้อยพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเอง
“ข้าพระพุทธเจ้ากราบเชิญใต้ฝ่าพระบาททรงพักผ่อนพระวรกายเช่นกันเพคะ”
ดูเหมือนยังต้องใช้เวลาอีกราวสามถึงสี่ชั่วโมงก่อนที่เฟลิซีและเคทลินจะฟื้น อินกองพยักหน้ารับก่อนจะนึกบางอย่างได้
“อืม อืม… เดี๋ยวนะ”
“เพคะ?”
อินกองไม่ตอบอะไรแล้วหันมองไปรอบตัว แสงจากทั่งวัชรกรจางลงเผยให้เห็นประตูตามผนัง
‘ซากโบราณสถานก็ต้องมีของวิเศษ’
ยิ่งเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับพญามังกรเอนคิดู ย่อมต้องมีของล้ำค่าอยู่แน่นอน เพราะเขาข้ามขั้นตอนตามปกติทั่วไป แล้วบุกเข้ามาด้วยวิธีที่ใช้ในเกมส์ ทำให้ห้องแทบทั้งหมดยังคงถูกปิดผนึกไว้
ถึงเวลาสำรวจหาทรัพย์สมบัติ
แต่มันไม่ใช่เรื่องง่าย จะด้วยกับดักสารพัดรูปแบบ หรือผู้พิทักษ์ที่ไร้ความปรานี
‘ถ้าเกิดอำนาจทั้งหมดอยู่ที่เราละ?’
วิหารนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ปกป้องทั่งวัชรกร และในตอนนี้ อินกองก็คือผู้ที่ครอบครองมัน
“คารัค แบกกระเป๋าแล้วตามผมมา”
“ฮะ? องค์ชาย?”
อินกองลุกขึ้นไม่สนใจข้อสงสัยของมัน เขามองไปที่ประตูด้วยแววตาอันเป็นประกาย