Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 41
#สุร(sura) หรือในอีกชื่อคือเทวา/เทวดา(deva) อมนุษย์จำพวกหนึ่งตามความเชื่อของพุทธฮินดู อาศัยอยู่ที่ดาวดึงส์บนยอดเขาพระสุเมรุมีพระอินทร์เป็นเจ้าผู้ปกครอง หากนับญาติจริงๆถือว่าเป็นญาติผู้น้องของเหล่าอสุรา(ahura) แต่จากการมอมเหล่าเพื่อแย่งที่อยู่ การที่พระอินทร์แย่งลูกสาวของท้าววิประจิตติมาเป็นชายา การลวงอุบายในการกวนเกษียณสมุทร ทำให้ทั้งสุรและอสุราได้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาต
จำได้คร่าวๆเท่านี้ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมลองหาอ่านพวกตำนานเทวสุรสงครามดู แล้วจะรู้ว่าสุรเหลี่ยมจัดและด้วยความเป็นน้องสุดท้อง(?)จึงเป็นลูกรักของเหล่าเทพต่างๆ อ่อ สุร มียศ เท่าอสุรา ไม่ถือเป็นเทพเจ้า(GOD)อย่างพระพรหม พระวิศณุ พระศิวะ นะเอ้อ
#ราชินีทั้ง5 มีคนทักว่าต้องใช้พระบรมราชินีทั้ง5 อืมจริงที่จอมมารคือผู้ปกครองทั้งโลกมาร แต่ 3 ใน 5 ก็เป็นผู้ปกครองเผ่าของตนเอง(ไนท์แมร์ เอลฟ์รัตติกาล ไลแคนโทรป ส่วนเผ่ามังกรกับคนธรรพ์มีกษัตริย์) ก็น่าจะเรียกว่าเป็นราชินีได้รึเปล่า(?)
กลางป่าขนาดใหญ่ทางทิศเหนือของโลกมาร มีปราสาทสีดำทมิฬขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ นี่คือพระราชวังจอมมาร สถานที่พำนักอาศัยที่แท้จริงของจอมมาร
ใจกลางพระราชวังแห่งนี้คือห้องขนาดใหญ่อันเป็นสถานที่จัดประชุมสภา ภายในห้องไม่มีเสาค้ำทำให้สามารถจุประชากรได้หลายร้อย เพดานห้องอยู่สูงประดับด้วยแก้วระยิบระยับราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน
ในบรรดาราชินีทั้งห้า สี่อยู่ที่ราชวังของเผ่าตนยกเว้นพระมารดาของฉัตร ราชินีองค์ที่ห้า สมิตา อิกษณา ที่สวรรคตก่อนวัยอันควร ทำให้ภายในที่ประชุมแห่งนี้เจ้าหญิงลำดับที่สี่ อนาสทาเชีย เนคริออน เป็นสตรีที่มีความสำคัญมากที่สุด
เบื้องหลังนางเป็นเหล่านางกำนัลและลูก ในแวบแรกเหมือนทั้งหมดจะเป็นผู้ติดตามของอนาสทาเชีย แต่มีกำแพงช่องว่างขั้นกลางเว้นระยะระหว่างทั้งหมด
เมื่อเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่ง
ประตูห้องรับรองก็เปิดออก ตัวละครหลักทั้งสี่ในการประชุมวันนี้ทยอยก้าวเข้ามา สายตาทั้งห้องจดจ้องไปยังตัวละครทีละตน
‘จ้องมายังกับเราเป็นนักโทษงั้นแหละ’
เมื่อมองไปด้านหน้า อินกองก็พบใบหน้าหลากหลายที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เหล่าตัวละครสำคัญในบทกวีแห่งผู้กล้าได้มารวมตัวกันเป็นที่เรียบร้อย
‘ตั้งใจก่อนดีกว่า’
เขาตั้งสติกลับมา นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมองสำรวจรอบตัว
การมีศัตรูและมิตรเป็นเรื่องปกติในบทกวีแห่งผู้กล้า แต่บทบาทของฉัตรมีน้อยจนแทบเป็นศูนย์ ทำให้ฉัตรไม่มีกระทั้งเรื่องพื้นฐานสองอย่างนี้ ทว่าการที่อินกองผูกพันธมิตรกับคริสต์และเคทลินทำให้อาจมีบางสิ่งต่างไปจากในเกม ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีสัมพันธ์ที่ดีกับเฟลิซีด้วย
อินกองสูดหายใจเข้าก่อนวางมาดก้าวไปข้างหน้าท่านกลางทุกสายตาที่จดจ้อง
คริสต์เดินตามพรมแดงได้ราวครึ่งทางก่อนจะหยุดแล้วคุกเข่าคำนับ เคทลิน เฟลิซี และอินกองที่เดินมาก็กระทำเช่นเดียวกัน ส่วนเหล่าองครักษ์ก็คุกเข่าห่างไปด้านหลังราวสามก้าว
“คารวะจักรพรรดิผู้ปกครองแห่งโลกมาร”
คริสต์เป็นผู้นำในภารกิจปราบกบฏเผ่าสายฟ้าชาด เขาจึงเป็นตัวแทนในการกล่าวเข้าเฝ้าจอมมาร
แม้จะมีอยู่หลายร้อยชีวิต แต่บรรยากาศภายในห้องกลับเงียบสงัด
อินกองกลืนน้ำลายอย่างกดดัน เขาไม่แม้แต่จะคิดถึงสภาพของคารัคที่อยู่ด้านหลัง
ลักษณะของสายตาที่จ้องมาก็ดูแข็งกร้าวขึ้น เขารู้สึกเหมือนถูกมองทะลุไปยังภายในจิตใจ
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเริ่มกล่าวรายงานความดีความชอบของทายาททั้งหมด”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นทำลายความเงียบสงัด เจ้าของเสียงคืออิซเบลจากกระทรวงเกียรติยศ
“องค์ชายลำดับที่เจ็ด คริสต์ มูนไลท์”
คริสต์ลุกยืนขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย อิซเบลเลื้อยลงมายังแท่นประกาศชั้นล่างสุดของอัฒจันทร์ ก่อนจะเริ่มอ่านรายละเอียดออกมาอย่างร่าเริง
นอกจากเสียงของนางทั้งหมดล้วนอยู่ในความสงบ บ้างหันมายิ้มให้กับคริสต์ บ้างมองเขาอย่างไม่พอใจ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงขึ้นขัดจัดหวะ
บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อรายงานเป็นของเคทลินและเฟลิซี
จนกระทั่งถึงรายงานของอินกอง
“องค์ชายลำดับที่เก้า ฉัตร อิกษณา”
อินกองลุกขึ้นก่อนจะมองไปด้านหน้า ที่ชั้นบนสุดของอัฒจันทร์มีเก้าอี้บัลลังก์อันโอ่อ่าตั้งอยู่ นั่นเป็นที่นั่งของจอมมาร
จอมมารไม่ได้มีร่างกายที่ใหญ่โต แต่อินกองรับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่แผ่ออกมา สีผิวที่ขาวราวกับหินอ่อน เส้นผมที่ยาวดกดำ ใบหน้าไร้ความรู้สึกที่ดูไม่เด็กและไม่แก่ ทำให้ยากต่อการจะคาดเดาอายุได้
อินกองไม่สามารถละสายตาออกไปได้ เขาไม่อาจมองไปยังห้าแม่ทัพองครักษ์ที่อยู่ถัดมาจากตัวจอมมารเสียด้วยซ้ำ นัยน์ตาสีแดงก่ำดึงดูดสายตาของอินกองเอาไว้
แม้จะอยู่ห่างออกไปถึง 20 เมตร แต่อินกองก็รู้สึกหายใจติดขัด คล้ายคลึงกับตอนที่เขาเห็นภาพลวงพญามังกรเอนคิดูในวิหารทั่งวัชรกร
เขารู้สึกราวกับจะล้มลงจากแรงกดดันอันมหาศาล
จอมมารมิตร
#ถูกต้องแล้ว จอมมารมีชื่อว่า มิตร ┬┴┬┴┤・ω・)ノ
พ่อของแซเฟียร์และเหล่าพี่น้องทั้งหมด
อินกองลืมไปเสียสนิท บุคคลที่อันตรายที่สุดในวังจอมมารไม่ใช่แซเฟียร์
ขอเพียงจอมมารปรารถนา ทุกชีวิตตรงหน้าสามารถกลายเป็นเถ้าธุลีได้ในพริบตา
แต่อินกองกลับไม่ยอมจำนนต่อสายตากดดันคู่นั้น เขาพยายามต้านทานมัน
‘อาณัติ’
แววตาของอินกองแสดงการขัดขืนต่อนัยน์ตาแดงก่ำ
แม้อีกฝั่งจะเป็นถึงจักรพรรดิแห่งโลกมาร
แต่เขาก็มีพลังแห่งอาณัติ!
การปะทะที่ไม่มีใครสังเกตยังคงดำเนินอย่างดุเดือด อินกองพยายามทานทนจนในที่สุดจอมมารก็กระพริบตาด้วยความแปลกใจ แต่จอมมารไม่ใช่ผู้เดียวที่ประหลาดใจ
อิซเบลยังคงรายงานผลงานของอินกองอย่างต่อเนื่อง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในตอนแรก แต่เมื่อรายงานยังดำเนินต่อไปไม่หยุดหย่อน สายตาทั้งหมดก็เริ่มเปลี่ยนเป็นกระพริบอย่างสงสัยงงงวย
ความสงสัยทั้งหมดขึ้นถึงขีดสุดเมื่ออิซเบลรายงานถึงเรื่องการช่วยชีวิตเฟลิซี
พวกเขาไม่มั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มันเป็นเรื่องบังเอิญ? เป็นแผนการ? ความผิดพลาดของเฟลิซี? หรือว่าฉัตรเก็บซ่อนเขี้ยวเล็บเอาไว้จนถึงตอนนี้?
ความคิดเหล่านี้แผ่ขยายไปทั่วที่ประชุม ก่อนที่ความสงบจะถูกขัดขึ้นด้วยเสียงหนึ่ง
“ฉัตร”
จอมมารได้เอ่ยปากออกมา สิ่งนี้แสดงผลกระทบมากกว่ารายงานความดีความชอบเสียอีก แม้แต่คริสต์ที่มองความเปลี่ยนแปลงของสายตารอบข้างอย่างสบายอารมณ์ก็แสดงอาการตกใจออกมา
จอมมารได้เอ่ยปากออกมาในที่ประชุม นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน แม้แต่แซเฟียร์ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่ได้รับการขานชื่อออกมา
แม่ทัพทั้งห้าหันไปมองจอมมารอย่างสับสน อิซเบลทำรายงานของนางหล่นลงพื้น บรรยากาศเงียบจนเสียงกระดาษตกพื้นดังก้องไปทั่วห้อง แต่ไม่มีผู้ใดสนใจนาง
จอมมารไม่สนใจอะไร เขายังคงมองมาที่อินกองก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
“เราจะเฝ้ามองการเติบโตของเจ้า”
เป็นคำพูดลอยลอย แต่เพราะมันไม่เคยถูกเอ่ยออกมา ทำให้มันมีความหมายมหาศาล
แล้วการประชุมในครั้งแรกของอินกองก็จบลงด้วยดี
&
“เฮ้ออออออ… ”
ทันทีที่พวกเขากลับมายังห้องรับรอง เจ้าออร์คทิ้งตัวลงกับพื้นก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตัวมันซีดเสียจนผิวสีเขียวของมันเกือบกลายเป็นสีขาว
ในทางกลับกัน มีผู้หนึ่งที่ตื่นเต้นจนระงับตนเองไม่ไหว
“สุดยอด! สุดยอด! มันสุดยอด! มันสุดยอดมาก!”
สายตาเลื่อมใสศรัทธาของเคทลินมองมาที่อินกองราวกับเขาเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในโลกใบนี้
เฟลิซีเบ้ปากก่อนจะพูดระรัวคำออกมา
“กับเจ้าเด็กอมมือแบบนี้เนี่ยนะ?! ไม่อยากจะเชื่อ! ครั้งสุดท้ายที่ฉันได้ยินอะบามามะพูดอะไรออกมา ก็ผ่านไปเกือบสามปีครึ่งได้เนี่ยนะ?”
#아바 마마 ใส่ไปตรงตัวว่าอะบามามะ คิดว่าน่าจะเป็นคำเรียกที่ดูเด็กๆอย่างพ่อจ๋าละมั้ง
นอกจากในการประชุมสภาแล้ว โอกาสพบกับจอมมารเป็นอะไรที่น้อยมาก
“ตะกี้ออนนี่พูดว่าอะบามามะ?”
เคทลินกระพริบตาอย่างประหลาดใจแต่เฟลิซีก็ตะโกนขัดออกมา
“ตรงนั้นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยซักนิด!”
จอมมารได้พูดชื่ออินกองออกมา ยิ่งไปกว่านั้นยังกล่าวให้กำลังใจด้วยการบอกว่าจะเฝ้ามองอีกด้วย
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่? จริงอยู่ที่ว่าเป็นการรายงานความดีความชอบ แต่เรื่องแบบนี้มัน… ”
ถึงอินกองจะสร้างผลงานมากมายในภารกิจครั้งนี้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร หากมองในภาพรวมแล้ว กบฏเผ่าสายฟ้าชาดก็เป็นเพียงกองกำลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่ว่าจะแซเฟียร์หรืออนาสทาเชีย ทั้งคู่ต่างก็มีผลงานที่ใหญ่โตกว่าอินกองมากมาย
แต่จอมมารก็ไม่เคยเรียกชื่อพวกนั้นออกมาแม้แต่ครั้งเดียว
แล้วทำไมถึงได้เอ่ยชื่อฉัตรออกมา?
เพราะเป็นความสำเร็จที่มาจากม้ามืดนอกสายตา? หรือว่าเขาเป็นบุคคลพิเศษสำหรับจอมมาร?
“หึหึหึ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสียงหัวเราะดังสนั่นออกมากลบไปทั่วห้อง เคทลินมองไปยังที่มาของเสียงอย่างเป็นกังวล
“อบป้า?”
“โถ่คริสต์ เป็นบ้าไปแล้วสินะ ใช่เป็นบ้าไปแล้วจริงๆ ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยจริงๆ”
ถึงความสัมพันธ์ระหว่างคริสต์กับเฟลิซีจะดีขึ้น แต่นางก็ยังพูดออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม
ทว่าคริสต์ไม่ได้เป็นบ้า เขายังคงหัวเราะอย่างต่อเนื่องพลางเดินเข้าใกล้อินกอง
“จริงอยู่ที่เราบอกให้โชว์ออกมา… แล้วเอ็งก็โชว์ออกมาจริงๆ”
อันที่จริง นี่เป็นสิ่งที่เขาอยากให้เกิดขึ้น
เพื่อให้ทุกสายตามาจดจ้องที่ฉัตร เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ว่าฉัตรก็เก่งกาจไม่แพ้ใคร
ทว่าเขาไม่แม้แต่จะคาดคิดว่าผลลัพธ์อาจจะออกมาเกินความคาดหมาย
ดวงตาเป็นประกายของคริสต์มองไปยังอินกองที่นั่งบนเก้าอี้ ถึงจะไม่อาจเทียบได้กับเอนคิดูหรือจอมมาร แต่อินกองก็รับรู้ถึงพลังในสายตานั้น
“ฉัตร ต่อจากนี้จะมีสายตาเพ่งเล็งมาที่เอ็งมากขึ้น ทั้งที่เป็นมิตร และที่ไม่ใช่”
ไม่มีใครอ่านความคิดของจอมมารออก บางกลุ่มคิดว่าเป็นเพราะ ‘โปรดปราน’
‘น่าจะเป็นเพราะโปรดปรานจริงๆ’
คริสต์ไม่สามารถคาดเดาความหมายอื่นได้ ทำให้เขาคิดเช่นนั้น
อินกองเก็บคำแนะนำของคริสต์เอาไว้
ไม่ต้องเห็นปฏิกิริยาของเคทลินและเฟลิซีก็พอจะเดาได้ไม่ยากถึงผลกระทบจากคำกล่าวจอมมาร
‘ต้านทานสายตานั่น… ไม่สิ เพราะเราอดทนต่อสายตานั่น’
นั่นทำให้จอมมารสนใจขึ้นมา เขาไม่สามารถคิดถึงสาเหตุอื่นใดได้อีก
อินกองรู้สึกโล่งขึ้นราวกับยกภูเขาออกจากอก
สิ่งที่เขาต้องรีบทำในตอนนี้คือเพิ่มความแข็งแกร่งเพื่อรักษาจุดยืนในวังจอมมารของเขาเอาไว้
‘เราลืมมองอนาสทาเชียไปเลย’
อนาสทาเชีย เนคริออนเข้าร่วมการประชุมในวันนี้เช่นกัน แม่ทัพองครักษ์ทั้งห้าก็ล้วนนั่งครบที่นั่งของพวกเขา แต่อินกองไม่ได้สังเกตอะไร เขามัวแต่พยายามทานทนกับสายตาอันเกรงขามของจอมมาร
นี่คือสิ่งมีชีวิตที่ได้ชื่อว่าจอมมาร แต่แซเฟียร์ก็สามารถก้าวข้ามไปได้ภายในเวลาไม่กี่ปี
‘อาณัติ’
นั่นคือคำที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขา และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาอดทนต่อสายตานั้นได้
แม้แรงกดดันจากจอมมารจะมหาศาล แต่นั่นก็ช่วยยืนยันถึงพิษภัยของแซเฟียร์ ที่แปลกคือเขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว มีความรู้สึกอันแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในจิตใจเขา
“ฉัตร เธอกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
เคทลินพูดพลางตบบ่าอินกอง เฟลิซีก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอันมีเลศนัย
“ใช่แล้ว รู้ใช่ไหมว่าอะบามามะพึงพอใจในตัวเธอ? วันนี้เป็นวันที่ดีมาก”
ความคาดหวังจากจอมมาร… ดูเหมือนนั่นจะทำให้เฟลิซีอิจฉาไม่น้อย
“ขอบคุณครับ”
อินกองไม่รู้สึกว่ามีอะไรแอบแฝง ทั้งสองพูดให้กำลังใจเขาอย่างตรงไปตรงมา
อินกองเดินทางกลับบ้านพร้อมคารัคแล้วพักผ่อนในทันที สภาพร่างกายและสภาพจิตใจเขาอ่อนล้าเต็มที่
และในเช้าตรู่วันถัดมา
อินกองได้รับจดหมายจากกระทรวงเกียรติยศ
เป็นเรื่องเกี่ยวกับภารกิจถัดไป
&
“ปฏิบัติการนี้ได้รับมอบหมายจากจอมมาร”