Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 45
ด้วยความที่เซนทอร์มีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์และร่างกายท่อนล่างเป็นม้า จึงถือเป็นทหารม้าชั้นเลิศ
ไม่ว่าจะความเร็วในการเคลื่อนพลหรือพลังทำลายอันน่าสะพรึงกลัว…
สติปัญญาอันชาญฉลาดทำให้พวกมันมีระเบียบแบบแผน ร่างกายอันกำยำทำให้พวกมันชำนาญอาวุธแทบทุกชนิด
คุณสมบัติทางการรบของพวกมันสูงมาก
ทหารม้าปกติเป็นการรวมตัวของสองชีวิต นายทหารและสัตว์พาหนะ ทำให้ไม่ว่าจะเก่งกาจสักเพียงไรก็ไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบ
ทว่าเซนทอร์คือสิ่งมีชีวิตที่เป็นทั้งสองอย่าง ทำให้จุดบอดที่ว่ามลายหายไป
เซนทอร์ในบทกวีแห่งผู้กล่าก็ไม่ต่างไปจากเทพนิยายที่อินกองรู้จัก ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาแปลกใจ
ขนาดของพวกมันเล็กกว่าที่เขาคาดคิด
ร่างกายท่อนบนของพวกมันมีขนาดไม่ต่างจากมนุษย์ ร่างกายท่อนล่างมีขนาดที่เล็กกว่าม้าศึก เมื่อสวมชุดเกราะและถืออาวุธแล้ว ทำให้ท่อนล่างดูเล็กกว่าท่อนบนในทันที
‘แต่ก็นะ การที่มีร่างกายแค่ครึ่งเดียวอาจะมีอะไรที่ไม่สะดวกอยู่บ้าง’
ถึงครึ่งม้าจะไม่ได้ใหญ่โตอย่างม้าศึก แต่มันก็ไม่ได้เล็กอย่างม้าโพนี่ ไหล่ของควิกวินด์ต่ำกว่าคารัคบนหลังเดรโก้เพียงไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ
ห่างไปไม่ไกลด้านหน้าอินกอง เป็นหมู่บ้านของเหล่าเซนทอร์
ด้วยลักษณะการดำรงชีพอย่างเร่ร่อน ที่พักของพวกมันจึงไม่ได้ทำจากไม้หรือหิน แต่เป็นกระโจมหนังที่สามารถเก็บเคลื่อนที่ได้โดยง่าย ดูราวกับค่ายรวมพลมากกว่าหมู่บ้าน
‘พวกเซเทอร์ก็อาศัยอยู่ด้วยสินะ?’
อินกองหันไปมองกัมมะ นางวิ่งนำทางด้วยขาทั้งสองที่เหมือนม้า ต่างจากเซนทอร์ที่มีสี่ขา ความสูงของนางก็สูงกว่ามนุษย์ปกติไม่มากนัก
ด้วยร่างกายที่ใหญ่โต เหล่าเซเทอร์จึงมอบงานที่พวกมันไม่สามารถทำได้ให้เหล่าเซเทอร์ ส่วนพวกมันจะคอยปกป้องเหล่าเซเทอร์ เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะได้ประโยชน์ทั้งคู่
“เราจะล่วงหน้าไปกระจ่ายข่าวก่อน!”
กัมมะหันมาบอกอินกองก่อนนางจะเร่งฝีเท้าขึ้น แม้นางจะมีเพียงสองขา แต่ความเร็วของนางก็ไม่ต่างจากม้าศึกทีเดียว
คารัคที่ขี่เดรโก้อยู่ด้านข้างหันมาถามอินกอง
“องค์ชาย ดูเหมือนพวกนั้นจะมีพิธีต้อนรับ”
อย่างที่อินกองเห็นหมู่บ้านเซนทอร์ เหล่าเซนทอร์ในหมู่บ้านก็เห็นเขาเช่นกัน มีเหล่าเซนทอร์เริ่มมารวมตัวกันบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน
‘เหล่าเซนทอร์แห่งที่ราบอินคา…’
เซนทอร์ที่อาศัยอยู่ ณ ที่ราบอินคาแห่งนี้มีทั้งหมดสี่เผ่า เผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดคือเผ่ากูณฑ์ ซึ่งหัวหน้าเผ่านี้ถือเป็นหัวหน้าใหญ่ของเซนทอร์ทั้งสี่เผ่า
หัวหน้าเผ่าตนนี้มีชื่อว่า เฟโรเชียสอาย
ไม่ว่าจะเป็นล็อคค์หรือแซเฟียร์ หากได้เล่นบทกวีแห่งผู้กล้าแล้ว ต้องเคยได้พบกับเซนทอร์ตนนี้เข้าสักครั้งอย่างแน่นอน
‘ในฐานะศัตรูละนะ’
เฟโรเชียสอายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด มันยึดมั่นในเกียรติยศศักดิ์ศรีอย่างมาก การกระทำของแซเฟียร์จึงเป็นอะไรที่มันเกลียด หลังจากเหตุการณ์วันล้างบาง มันนำทัพเหล่าเซนทอร์เข้าบุกโจมตีแซเฟียร์อย่างเอาเป็นเอาตาย
‘เป็นที่นิสัยตรงไปตรงมา’
ดวงตาของมันดูดุดันสมชื่อ แต่บุคลิกแสนห้วนทำให้การสนทนากับมันชวนหงุดหงิด
‘ในเกมนี่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะชักจูง… แต่ตอนนี้ก็ไม่แน่?’
เฟโรเชียสอายอาจจะไม่ใช่ศัตรูเสมอไป เหมือนอย่างที่เขาผูกมิตรกับคริสต์และเคทลิน เขาอาจสามารถผูกมิตรกับเฟโรเชียสอายได้
“สายตาแกดูทะเยอทะยานขึ้นมาอีกแล้ว แทบจะส่องประกายออกมาเลยทีเดียวเชียว”
คารัคพูดขึ้นมาแต่อินกองไม่สนใจมัน
หลังจากผ่านไปราวห้านาที เขาก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านของเซนทอร์เผ่ากูณฑ์
“หัวหน้าเผ่า เฟโรเชียสอาย”
แม้ไม่ต้องมีคำแนะนำ อินกองก็รู้ถึงตัวตนของเซนทอร์ตรงหน้าในทันที มันมีร่างกายที่กำยำใหญ่โตกว่าเซนทอร์ตนอื่น เกราะหนังที่มันส่วมแสดงให้เห็นถึงร่างกายที่แข็งแกร่งของมันมากยิ่งขึ้นไปอีก
ดวงตาที่ดำมันวาวราวกับหินออบซิเดียน การถูกจดจ้องด้วยดวงตาคู่นั้นสามารถทำให้พวกขวัญอ่อนถึงกับช็อคตายได้เลยทีเดียว
ควิกวินด์ที่เป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวณพยายามหลบสายตาจากเฟโรเชียสอายอยู่ตลอด ไม่สามารถบอกได้ว่ากัมมะที่ก้มหน้ามองผืนดิน ทำไปด้วยความเคารพหรือต้องการหลบสายตากันแน่
แต่สำหรับอินกองที่ทานทนต่อสายตาของจอมมารมาแล้ว นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก
“เราคือเจ้าชายลำดับที่เก้า ฉัตร อิกษณา”
เฟโรเชียสอายหรี่ตาจ้องเข้ามาในนัยน์ตาเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะชำเลืองมองทั่วตัวเขาด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง
“ลำบากท่านแล้ว”
แม้น้ำเสียงและคำพูดแสนห้วนจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่อินกองรับรู้ถึงความแตกต่างเล็กน้อย เขายิ้มก่อนจะยื่นมือออกไปจับมือกับเฟโรเชียสอาย
“เราต้องการรายละเอียดทั้งหมดในทันที อย่างที่เจ้ารู้ เราได้เข้าช่วยเหลือหน่วยลาดตระเวณที่พบเข้ากับฝูงคาเซีย ดูเหมือนสถานการณ์จะต่างไปจากทุกที”
เนื่องจากมีการรายงานเหตุการณ์ทั้งหมดไปบ้างแล้ว เฟโรเชียสอายน่าจะรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับพวกคาเซีย
เฟโรเชียสอายจ้องมองอินกองก่อนจะเอ่ยปากออกมาเล็กน้อย
“ทางนี้”
เฟโรเชียสอายกลับหลังเดินนำฝ่าเหล่าเซนทอร์ที่มายืนต้อนรับ ก่อนควิกวินด์จะเข้ามานำทางให้อินกอง
อินกอง คารัค เดินตามโดยมีกัมมะและเหล่าเซนทอร์ที่เหลือคอยให้การคุ้มกัน
เดาได้ไม่ยากว่าที่หมายก็คือกระโจมส่วนตัวของเฟโรเชียสอาย ด้วยร่างกายอันใหญ่โตกว่าเซนทอร์ทั่วไป ทำให้อินกองรู้สึกไม่ต่างกับอยู่ในกระโจมส่วนตัวของแวนเดล
อินกองลงจากเดรโก้ มุมมองที่ต่ำลงทำให้เขารู้สึกราวกับเป็นเด็กน้อยเดินเข้าถ้ำของยักษ์ไม่ผิดเพี้ยน
“ตรงนี้”
กัมมะและเหล่าเซนทอร์ที่เหลือยืนรอคุ้มกันอยู่รอบนอก
อินกองกลืนน้ำลายก่อนจะเดินเข้ากระโจมไปพร้อมกับคารัค
“อินคา”
เฟโรเชียสอายชี้ไปยังแผนที่บนโต๊ะในทันทีที่อินกองเข้ามา เพราะในหมู่บ้านมีเหล่าเซเทอร์อยู่ด้วย ทำให้โต๊ะอยู่ในระดับที่อินกองสามารถมองเห็นได้
เมื่ออินกองเข้าใกล้โต๊ะ เฟโรเชียสอายก็ใช้ไม้ชี้ไปที่จุดบนแผนที่
“นี่กูณฑ์ นี่มารุต นี่วรุณ นี่อนธการ”
ทุกเผ่าอยู่ห่างกันเกินกว่าที่อินกองคาดคิดเอาไว้ แม้เขาจะไม่คิดว่าอยู่ติดกันเหมือนเพื่อนบ้าน แต่นี่มันห่างกันราวกับอยู่คนละจังหวัด
เฟโรเชียสอายชี้ไปทางทิศเหนือ
“คาเซียควรอยู่ตรงนี้ แต่พบตรงนี้”
มันอยู่ใต้ลงไปจากเผ่ากูณฑ์เป็นอย่างมาก
“หน่วยลาดตระเวณออกสำรวจ ทั้งหมดไม่ได้ใช้ทางนี้ แต่บางอย่างผิดปกติ”
#อ่านแล้วหงุดหงิดไหม? ถ้าใช่แสดงว่าแปลอธิบายบุคลิกตัวละครได้ถูกต้อง ε=ε=ε=ε=┌(;・ω・)┘
คาเซียหลายร้อยปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้เหมือนเทศกาลประจำปี หากทั้งหมดมุ่งหน้าลงทิศใต้พร้อมกัน เป็นไปไม่ได้ที่เหล่าเซนทอร์จะไม่ทันสังเกต
“ข้อมูลใช้เวลา โปรดรอ อีกสามวัน นักรบสี่เผ่ารวมตัว บุกจัดการคาเซีย”
แม้อินกองจะหงุดหงิดกับวิธีการอธิบายของเฟโรเชียสอาย แต่เขาก็พอเข้าใจรายละเอียดสำคัญทั้งหมด เขาพยักหน้า
“เราเข้าใจ เราจะรอ”
จากภาพรวมแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องเร่งรีบ เหล่าคาเซียก็ไม่ได้เข้าบุกจู่โจมหมู่บ้านเซนทอร์แต่อย่างใด
สิ้นเสียงคำตอบ อินกองกับคารัคก็จ้องมองเฟโรเชียสอาย และเฟโรเชียสอายก็จ้องมองมายังทั้งคู่
การสนทนาเข้าสู่ความเงียบแต่เป็นเพียงไม่นาน
“ฟ้าเก้า”
“ฮะ?”
เฟโรเชียสอายหรี่ตาใช้ความคิดก่อนจะถามอินกองด้วยเสียงที่คงเดิม
“หนึ่งหมัดท่านระเบิดคาเซียจริงรึ?”
“เอ่อ เรื่องนั้น?”
เฟโรเชียสอายยังคงจดจ้องมาที่เขาอย่างไม่ละสายตา คิ้วของมันขยับไปมาอย่างสงสัยในขณะรอคำตอบ
“แค่อยากรู้”
คารัคหรี่ตาลงมองเซนทอร์ตรงหน้าอย่างไม่ชอบใจ
‘อย่างนี้นี่เอง’
จริงอยู่ที่ดวงตาคู่นั้นทำให้เฟโรเชียสอายดูน่ากลัว ยิ่งรวมกับคำพูดแสนห้วนด้วยแล้วจึงทำให้การสนทนาดำเนินไปเหมือนการท้าทาย ทว่าคิ้วของมันบ่งบอกถึงเจตนาที่แท้จริง
อินกองตอบมันกลับด้วยน้ำเสียงที่ยินดี
“มันเป็นเคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูร ถ้าเจ้าต้องการ เราสามารถแสดงให้เจ้าเห็นได้ภายหลัง”
ความจริงที่ว่าเขาเรียนรู้เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพถือเป็นความลับสุดยอด
คิ้วของเฟโรเชียสอายขยับไปมาอีกครั้ง
“จะรอดู”
แม้สีหน้าและน้ำเสียงจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่อินกองรับรู้ถึงความตื่นเต้นแฝงในคำพูดนั้น
&
เมื่อพวกเขาออกมาจากกระโจมก็พบเหล่าเซเทอร์และเซนทอร์ยืนรอนำทางอินกองไปยังที่พัก เซเทอร์เหล่านี้มีขาเป็นแพะต่างไปจากกัมมะ
กระโจมของเขาอยู่ไม่ห่างไปจากกระโจมของเฟโรเชียสอาย ด้วยขนาดที่ไม่สูงมาก เหมือนจะเป็นขนาดสำหรับเหล่าเซเทอร์ ภายในประดับด้วยพรมลวดลายหลากหลายและอุปกรณ์ลักษณะคดเคี้ยว ทำให้บรรยากาศดูราวกับดินแดนอาหรับ
อินกองนั่งลงภายในกระโจมมองการตกแต่งอย่างพึงพอใจ สักพักคารัคก็ก้าวเข้ามารายงานความคืบหน้า
“เซนทอร์ 50 ตนถูกจัดให้อยู่ใต้บัญชาองค์ชาย วันนี้ยังไม่มีอะไร แกจะได้รู้จักพวกมันในวันรุ่งขึ้น”
นักรบเซนทอร์ของเผ่ากูณฑ์มีราว 300 ตน การที่ได้รับมา 50 ตนถือว่าไม่ใช่จำนวนที่น้อย ยิ่งหากคิดว่าแต่ละตนเปรียบเสมือนทหารม้าชั้นยอดแล้ว นี่เทียบไม่ได้เลยกับตอนที่เขาได้รับทหารออร์คเพียง 30 ตนจากภารกิจครั้งแรก
ในปฏิบัติการส่วนใหญ่ เหล่าทายาทจะมีตำแหน่งเป็นเสมือนกองกำลังเสริม ลักษณะเดียวกับที่แวนเดลเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจในปฏิบัติการปราบกบฏเผ่าสายฟ้าชาด
“กัมมะจะยังคอยดูแลเราอยู่ใช่ไหม?”
อินกองถามพลางหันไปมองดูด้านหน้ากระโจม แม้กัมมะจะไม่ได้เข้ามาข้างใน แต่นางก็เฝ้าอยู่รอบนอก
คารัคผงกหัว
“คิดว่าเหมือนกับข้า นางเป็นผู้ที่ถูกเลือกให้ดูแลแก ถ้าองค์ชายคริสต์หรือองค์หญิงเคทลินมาโดยไม่มีทหารติดตาม ก็จะได้รับนักรบท้องถิ่นจำนวนหนึ่งใต้บัญชาพร้อมผู้ดูแลเช่นกัน”
“อืม งั้นหรือ?”
บางทีนางอาจยินยอมติดตามเขาแบบคารัค?
แม้เขายังไม่รู้ความสามารถในการต่อสู้ของกัมมะ แต่ด้วยความเร็วในการวิ่งและความอึดของนาง ตำแหน่งหน่วยลาดตระเวณหรือม้าเร็วส่งสาส์นเป็นอะไรที่เหมาะกับนางมาก
“วันนี้ตาแกเป็นประกายบ่อยมาก”
คารัคพูดออกมาพร้อมพยักหน้า อินกองหันไปถามเจ้าออร์คเพิ่ม
“นายคิดยังไงกับเฟโรเชียสอาย?”
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ถามถึงเรื่องบุคลิกของเฟโรเชียสอาย เขาแค่อยากรู้ว่าคารัคจะตอบว่าอย่างไร
“เท่าที่ข้าเห็น ดูเหมือนมันจะชื่นชอบแกอยู่พอสมควร”
“คิดอย่างนั้นเหมือนกันสินะ?”
คิ้วของเฟโรเชียสสามารถอายบอกอะไรได้หลายอย่าง คารัคหัวเราะออกมา
“เหมือนกรณีแม่ทัพแวนเดลนะแหละ ดูเหมือนแกจะเป็นที่ชื่นชอบของพวกผู้นำ”
“นี่เป็นพรสวรรค์ของผม”
เฟโรเชียสอายเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด เขาจะลงเอยกับมันเหมือนกับแวนเดลหรือเปล่านะ?
“คุยกันพอแล้ว หลังมื้อเย็นเดี๋ยวก็รู้รายละเอียดกันเพิ่มเอง”
เป็นคำพูดที่ดูปัดความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิง บางทีการพบกับคารัคอาจจะเป็นโชคร้ายของเขา?
“หึ ผมขอให้นายเจอแต่เรื่องซวยๆ”
“หึหึหึ คอยดู เดี๋ยวข้าจะไปเตือนกัมมะให้ระวังตัว”
คารัคพูดเน้นที่ประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากกระโจม อินกองมองตามมันสักพักก่อนจะเหยียดแขนขาบิดขี้เกียจ
‘เราต้องฝึกตัวเองให้เก่งมากกว่านี้’
การต่อสู้กับคาเซียที่เพิ่งผ่านมาแสดงให้เห็นผลจากการฝึกฝนได้ชัดเจน ทำให้เขาเลือกสิ่งที่จะฝึกฝนได้ง่ายมาก
‘เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ’
อินกองผ่อนคลายกล้ามเนื้อก่อนจะเริ่มเดินลมปราณ
&
ลมปราณของอินกองมีสีขาว ขาวราวกับเมฆหมอก
อินกองนำพาลมปราณและลมปราณก็นำพาเขา มันเคลื่อนตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีติดขัดแต่อย่างใด
อาณัติ
สตรีผมสีขาวประดับด้วยมงกุฎสีทอง พร้อมนัยดายสีแดงและน้ำเงิน
ลมปราณของอินกองเข้าสัมผัสกับบางสิ่ง ก่อนมันจะแตกตัวกระจายออกไปทุกทิศทาง ราวกับพยายามหลีกหนีจากสิ่งแปลกปลอมที่สัมผัส
อินกองได้ยินเสียงกระซิบ แต่ไม่ใช่เสียงกระซิบจากสตรีผู้ที่เขาคุ้นเคย ที่มาของเสียงนี้มาจากภายนอก มิใช้ภายในห้วงสำนึกของเขา
มันไม่ใช่ทั้งเสียงของคารัคหรือกัมมะ เป็นเสียงที่ต่างไปจากเสียงเหล่านี้
อินกองลืมตาขึ้นช้าช้า เขามองเห็นความมืดรอบตัว แต่ไม่ใช่ความมีดอันเป็นธรรมชาติ ลักษณะเหมือนกับประกายแสง หากแต่เป็นประกายความมืด
อินกองกลืนน้ำลายอึกใหญ่ นี่ไม่ใช่ความฝันเพราะเขายังมีสติรับรู้
เช่นนั้นมันคืออะไร?
เขาพยายามลุกขึ้นตะโกนเรียกคารัค หากแต่มีบางสิ่งร้องเรียกเขาจากอีกฟากหนึ่งของความมืดนี้
เสียงกระซิบ
มีบางสิ่งกำลังเรียกหาเขาอยู่
อินกองสูดหายใจเข้าให้เต็มปอด พลังแห่งอาณัติแผ่ขยายออกมาครอบคลุมตัวเขา ราวกับพยายามปกป้องให้พ้นจากภยันตราย
ใครกัน? ทันทีที่คำถามผุดขึ้นมา พสุธากัมปนาทที่ควรจะอยู่ในช่องเก็บของก็ปรากฏออกมารวมตัวที่แขนขวา เกล็ดของมันเรืองแสงสีแดงเหลืองราวกับพยายามส่งเสียงขู่
ดูเหมือนมันจะรู้อะไรบางอย่าง อินกองตั้งสติก่อนจะเดินเข้าสู่ประกายความมืด สิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตาเขาเป็นทุ่งหญ้าอันกว้างขวาง
หากแต่เป็นทุ่งหญ้าที่ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นภาพขาวดำ และตรงหน้าเขา ก็เป็นเรือนร่างที่มีปลายผมสะบัดพริ้วไหวตามสายลม
สตรีปริศนาที่มีทุกอย่างเป็นสีขาวโพลน นางให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับอาณัติ บางสิ่งที่ไม่มีเรือนร่างจริง
พสุธากัมปนาทเรืองแสงขู่คำรามขึ้นมาอีกครั้ง นั่นทำให้อินกองพอจะเดาตัวตนของสตรีตรงหน้าได้ทันที
นางกล่าวแนะนำตัวกับเขา
“ข้าคือเศษเสี้ยวแห่งอันเคล ข้าต้องการบอกบางสิ่งแก่เจ้า เจ้าผู้ซึ่งครอบครองกำลังแห่งเอนคิดู”
พยานอันเคล หนึ่งในหกมังกรบรรพกาลผู้มีพลังเทียบเคียงพระเจ้า!
นางก้าวเท้าเยื้องย่างเดินเข้าหาอินกอง