Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 48
สิ่งอัศจรรย์กำลังเกิดขึ้นรอบวัด
แสงสีเขียวล่องลอยไปตามพื้นดินก่อนต้นไม้ขนาดใหญ่จะผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า ต้นไม้เหล่านั้นมีแขนขาอันใหญ่โตไม่แพ้เหล่าเดรคโอเกอร์
กัมมะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วได้แต่กลืนน้ำลาย นางพอมีความรู้เกี่ยวกับวิชาดรูอิดอยู่บ้าง ทำให้นางตื่นเต้นกับพลังแห่งธรรมชาติตรงหน้า
“กรีนวินด์”
เหล่าเซนทอร์ด้านข้างอุทานออกมาราวกับต้องมนต์ พวกเขาหลับตาลงประนมมือขึ้นสวดภาวนา พวกสัตว์อสูรที่กำลังพังม่านพลังต่างหยุดชะงักมองกองทัพทรีเอนท์ที่กำลังตื่นขึ้น ถึงเหล่าคาเซียจะวิ่งฝ่าห่าศรธนูอย่างไม่กลัวตาย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้พิทักษ์ของอันเคลแล้ว ร่างกายของพวกมันก็สั่นเทาด้วยความกลัว
ทรีเอนท์ตนที่เตี้ยที่สุดมีความสูงถึงหกเมตร เมื่อนับทั้งหมดรวมกัน จึงให้ความรู้สึกไม่ต่างจากป่าดงดิบที่กำลังคืบคลานเข้าต่อต้านผู้บุกรุก
เดรคโอเกอร์และคาเซียเริ่มส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างเกรงกลัว ในขณะที่เหล่าเซนทอร์โห่ร้องชื่อของกรีนวินด์ออกมา
แต่ท่ามกลางเสียงอึกทึกนี้ กลับมีบางอย่างดึงดูดคารัค มันชะโงกมองไปดูวัดที่อยู่ด้านหลัง มือทั้งสองยังคงกำขวานไว้แน่น
เจ้าออร์คเพ่งมองเข้าไปที่ใจกลางวัด…
แม้ผลจากใต้ร่มเงากษัตริย์จะหมดไปแล้ว แต่คารัคเป็นหนึ่งในองครักษ์หน่วยมหาดเล็กของอินกอง มันรู้สึกถึงบางอย่าง
“องค์ชาย”
พลังเวทของอินกองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
&
หากเปรียบพลังของเอนคิดูเป็นการทำลายล้าง พลังของอันเคลก็เปรียบเป็นชีวิตที่ไม่จบสิ้น
พลังเวทของมังกรบรรพกาลไม่ใช่อะไรที่จะสามารถขโมยไปได้ง่าย
ผู้ที่จะรับมอบพลังเวทจากมังกรบรรพกาลไปได้ มีเพียงผู้ที่มีสายเลือดมังกรด้วยกันเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้น พลังในการปกครองบัญชาซึ่งทุกสิ่ง อาณัติก็สามารถเทียบเคียงกับเหล่ามังกรบรรพกาลได้เช่นกัน
กระแสพลังเวทของอันเคลไม่มีทีท่าต่อต้านแต่อย่างใด มันไหลยอมรับการควบคุมจากอินกอง
พลังเวทอันมหาศาลไหลเข้าสู่ร่างของอินกองอย่างว่าง่าย จนแม้แต่ตัวเขาก็แปลกใจ
ด้วยปริมาณอันมหาศาลเกินที่ร่างกายของเขาจะทานทนไหว เมื่อพลังเวทไหลมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อของเขาเริ่มฉีกขาด มีเลือดไหลออกทางริมฝีปากอย่างต่อเนื่อง
แม้ภาพรวมจะดูย่ำแย่ แต่ร่างกายของอินกองไม่ได้ถูกทำลายเพียงอย่างเดียว
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]
ความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้อินกองได้รับค่าประสบการณ์จำนวนมากเช่นกัน ทำให้เลเวลของเขาเพิ่มขึ้น แสงสีขาวส่องสว่างออกมารักษาร่างกายที่กำลังถูกทำลายของเขา
แต่ร่างกายที่เพิ่งได้รับการสมานแผลก็ถูกพลังเวทของอันเคลทำลายอีกครั้ง อินกองครวญครางออกมาอย่างเจ็บปวด
แล้วเลเวลของเขาก็เพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]
วงจรยังคงเกิดขึ้นต่อไป…
ราวกับการถลุงแร่ ที่ทุบทำลายสิ่งเจือปนก่อนหล่อหลอมใหม่ให้เป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากการทำลายและสร้างใหม่ดำเนินไปสามรอบ
เสียงของสตรีที่ดังในหัวเขาก็มีคำพูดที่แตกต่างไป
[คุณได้เรียนรู้ทักษะติดตัว มังกรจำแลง ขั้น1]
[จากทักษะ มังกรจำแลงขั้น1 คุณได้เรียนรู้ทักษะเสริม โลหิตมังกร]
พลังเวทของพญามังกรได้หลอมรวมเป็นเลือดเนื้อเดียวกับตัวเขา ส่งผลให้ร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงไป
แทนที่ร่างกายเขาจะถูกทำลาย ผลของอาณัติและกายาชาตรีทำให้มันได้รับการเสริมพลังแทน
[เพิ่มระดับขั้นทักษะ กายาชาตรี]
[จากทักษะ กายาชาตรีขั้น2 คุณได้เรียนรู้ทักษะ เซรุ่มร้อยพิษ]
[เพิ่มระดับขั้นทักษะ วิชาควบคุมธรรมชาติ]
[คุณได้รับคุณสมบัติ ธาตุชีวิต]
ในที่สุดการหลอมร่างใหม่ของอินกองก็เสร็จสมบูรณ์ ไอพลังสีขาวและเขียวที่คลุมตัวเขาตกกระจายออกก่อนจะจางลง
อินกองลืมตาขึ้นแล้วเรียกดูหน้าต่างสถานะของเขา
[ชื่อ: ฉัตร อิกษณา] [อายุ: 14] [เผ่าพันธุ์: คนธรรพ์] [อาชีพ: พระเอก]
[อาชีพรอง: อาชาแห่งอาณัติ ขั้น2/ มังกรจำแลง]
[เอกลักษณ์: เจ้าชาย/ อาชาแห่งอาณัติ/ มังกรจำแลง]
[ธาตุ: ชีวิต] [เลเวล: 17]
พละกำลัง: 45
สติปัญญา: 45
ความคล่องแคล่ว: 45
ความสามารถ: 45
ความทนทาน: 45
ความแข็งแกร่ง: 45
พลังจิต: 45
พลังเวท: 45
สเน่ห์: 32
ค่าสถานะเพิ่มเติม: 32
ค่าสถานะทั้งหมดของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก แล้วยังมีธาตุชีวิตที่เพิ่มขึ้นมา แม้แต่อาชีพรองกับเอกลักษณ์ของเขาก็มีบางอย่างเพิ่มขึ้น
‘มังกรจำแลง’
อินกองพอจะรู้จักอยู่บ้างจากบทกวีแห่งผู้กล้า สถานะอันนี้จะปรากฏก็เมื่อเขาปลุกสายเลือดมังกรในตัวให้ตื่นขึ้นมา
แซเฟียร์ที่มีสายเลือดจากเผ่ามังกร
ล็อคค์ที่มีเศษวิญญาณของผู้พิทักษ์ควิเอียนอยู่ในตัว
ถึงอินกองจะเป็นลูกครึ่งคนธรรพ์กับสุร แต่ในตอนนี้ พลังเวทของพยานอันเคลได้เปลี่ยนสภาพร่างกายของเขา
[มังกรจำแลง ขั้น1] [เลือดเนื้อเชื้อไขแห่งมังกรบรรพกาลในร่างกายได้ตื่นขึ้น สามารถใช้พลังเวทและเวทมนตร์มังกรได้]
[โลหิตมังกร ขั้น1] [พลังของมังกรบรรพกาลไหลเวียนอยู่ไหนสายเลือด ส่งผลให้ค่าสถานะทั้งหมดเพิ่มขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพลังเวทมังกร]
[เซรุ่มร้อยพิษ ขั้น1] [เพิ่มความทนทานและภูมิคุ้มกันต่อพิษอย่างมาก (สามารถเพิ่มขั้นเป็น เซรุ่มพันพิษ และเซรุ่มหมื่นพิษได้)]
อินกองสูดหายใจระงับความตื่นเต้นก่อนจะปิดหน้าต่างสถานะ เขาเงยหน้าขึ้นมามองกรีนวินด์
นางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันสับสนอย่างสงสัย
“ร่างกายและจิตวิญญาณของเจ้าได้เปลี่ยนไปไม่ต่างจากมังกรบรรพกาล ข้าสัมผัสถึงพยานอันเคลจากภายในตัวเจ้า”
ไม่มีพลังเวทของอันเคลหลงเหลืออยู่ในแก่นมังกรตรงหน้า ทั้งหมดได้ถูกดูดกลืนและผสานเข้ากับร่างกายของอินกอง
แต่กรีนวินด์ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด นี่เป็นพลังที่ถูกปล่อยให้หลับไหลอยู่มาหลายศตวรรษ การที่มีผู้สามารถดึงพลังนี้ไปเป็นของตนเองได้อาจเป็นสิ่งที่ดีกว่า
ถึงพลังเวทในแก่นจะหมดไป แต่ด้วยพลังเวทที่เหลืออยู่ในวัดและผืนแผ่นดิน รวมเข้ากับตัวกรีนวินด์ด้วยแล้ว ทั้งหมดก็มากพอที่จะคงรูปที่ราบอินคาเอาไว้ได้ นี่เท่ากับว่าความปรารถนาของนางเป็นจริง
นอกจากนี้ อาจเพราะกรีนวินด์เป็นส่วนหนึ่งของอันเคล นั่นทำให้นางเข้าใจบางอย่าง
พยานอันเคลได้ยอมรับในตัวอินกอง กระแสพลังเวทของนางยินยอมถูกดูดกลืนโดยไม่ต่อต้าน
เท่านั้นก็เพียงพอที่ทำให้นางพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ด้วยพลังแห่งอันเคลที่ได้รับ ขอเจ้าโปรดเฝ้าปกป้องที่ราบอินคาและบุตรธิดาของข้า”
ถึงเหล่าทรีเอนท์จะตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล แต่นั่นไม่ได้ทำให้การต่อสู้ทั้งหมดจบลง แม้จะเสียขวัญกำลังใจอยู่บ้าง แต่เหล่าสัตว์อสูรทั้งหลายยังคงต่อสู้กับเหล่าเซนทอร์อย่างดุเดือด
พสุธากัมปนาทที่แขนขวาเรืองแสงออกราวกับอดทนรอคอยการต่อสู้ไม่ไหว สมกับที่เป็นผลงานของพญามังกรเอนคิดู ผู้ที่ได้รับฉายาว่าทรราช
อินกองผงกหัวรับคำกรีนวินด์ ก่อนจะกลับหลังเดินทางออกจากวัด
“องค์ชาย!”
คารัคที่จดจ้องไปด้านวัดอยู่แล้วเอ่ยต้อนรับอินกองออกมาเป็นตนแรก
“คารัค!”
คารัคใจเย็นลงมาในทันที หากมองในหลายด้านแล้ว คารัคก็ถือเป็นองครักษ์ดีเด่นได้ในระดับหนึ่ง
“ใต้ฝ่าพระบาท!”
“โอ้องค์เหนือหัวเจ้าฟ้าลำดับที่เก้า! ท่านผู้ส่งสาส์นแห่งกรีนวินด์!”
เหล่าเซนทอร์ย่อเข่าลงคำนับอินกอง แม้จะไม่ใช่เด็กสาวอย่างเคทลิน แต่ทั้งหมดก็มองมาที่เขาด้วยดวงตาเลื่อมใสศรัทธาเป็นประกาย
“สมเป็นใต้ฝ่าพระบาท ทรงงดงามอย่างไร้ที่ติ !”
แม้แต่กัมมะก็มีการแสดงออกเปลี่ยนไป ถึงพวกเขาไม่รู้ว่าอินกองทำอะไรบ้างในวัด แต่เหตุปาฏิหาริย์เกิดขึ้นหลังจากเขาเข้าวัดได้ไม่นาน การจะเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกันจึงไม่ใช่เรื่องยาก ในสายตาพวกเขา อินกองจึงไม่ใช่เพียงเจ้าชายจากวังจอมมาร แต่เป็นผู้ปลดแอกจากเทพเจ้าที่พวกเขาบวงสรวง
‘การเป็นที่เคารพบูชามันรู้สึกแบบนี้นี่เอง’
แม้เขาจะยินดีกับการเคารพยกย่อง แต่นี้ก็ยังไม่ใช่เวลาที่สมควรนัก
อินกองมองทะลุม่านพลังของกรีนวินด์ที่ได้รับการเสริมพลังจากพลังเวทของอันเคล
ในสมรภูมิที่มีผืนป่าเข้าร่วมจู่โจม ท่อนไม้อันใหญ่โตกวัดแกว่งโจมตีราวกับแขนขา ทิวทัศน์ตรงหน้าทำลายสามัญสำนึกลงในพริบตา
ทรีเอนท์เป็นฝ่ายกระทำเหล่าคาเซียแต่เพียงข้างเดียว พวกมันใช้รากชอนไชไปตามพื้นตรึงร่างเหยื่อไว้ ก่อนจะใช้ความสูงราวเจ็ดเมตรฟาดท่อนแขนลงบดขยี้ศัตรู
อินกองมองสำรวจสมรภูมิรบผ่านทางแผนที่ย่อของเขา พวกทรีเอนท์กระจายตัวไปทั่ว สร้างความได้เปรียบให้เหล่าเซนทอร์ที่นำโดยเฟโรเชียสอายเป็นอย่างมาก
เกิดเป็นการตะลุมบอนอย่างที่อินกองคาดคิด
‘โดยรวมมีจุดสำคัญอยู่ 3 ที่’
จากประตูวัดประตูวัดไปด้านซ้าย
ทรีเอนท์และเดรคโอเกอร์กำลังต่อสู้อย่างชุลมุน
ทางด้านขวาเหล่าเซนทอร์ก็ยังคงปะทะกับเหล่าคาเซีย
อินกองต้องหาวิธีทำลายขวัญกำลังใจที่ยังหลงเหลืออยู่ของคาเซียเหล่านี้
‘มีพลังบางอย่างครอบงำเหล่าคาเซียอยู่’
คาเซียทุกตัวมีหมอกสีน้ำเงินออกม่วงปกคลุมอยู่อย่างเบาบาง
เสียงของกรีนวินด์ดังขึ้นแจ้งข่าวในหัวของเขา นางทำหน้าที่เป็นผู้ประสานรายงานข้อมูลให้เขาและเหล่าทรีเอนท์
สายตาของอินกองเคลื่อนไปยังการต่อสู้จุดหนึ่ง
ในบรรดาเหล่าเดรคโอเกอร์ มีอยู่ตนหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าตนอื่น ร่างโอเกอร์ท่อนบนปกคลุมด้วยเกล็ดสีน้ำเงินเข้ม ส่วนร่างกายท่อนล่างก็มีขนาดที่ใหญ่ไปกว่าจ่าฝูงคาเซีย
มีสี่เขาบนหัวที่เหมือนแพะของมัน และดวงตาของมันก็แดงก่ำราวกับเลือด
มันใช้มือทั้งสองกวัดแกว่งเคียวขนาดใหญ่ฟาดฟันทรีเอนท์อย่างรวดเร็ว ราวกับชาวหน้าเกี่ยวข้าว
ต้องจัดการบางอย่างกับเดรคโอเกอร์ตนนั้น นั่นคือสิ่งที่อินกองสรุปออกมาได้
ถึงจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเสี่ยงตายสำหรับตัวเขาในตอนนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เขาต้องรีบตัดสินใจลงมือ
“คารัค ฝากดูแลวัดให้ด้วย”
อินกองออกคำสั่ง นั่นเพราะอาคมเวทที่ปลุกเหล่าทรีเอนท์ขึ้นมาอยู่ที่ศูนย์กลางวัด
เขาจึงต้องการให้คารัคอยู่คุ้มกันวัดแห่งนี้ ทว่าตั้งแต่ลืมตาขึ้นบนโลกใบนี้ เขาก็มีคารัคคอยอยู่เคียงข้างมาตลอด การเข้าต่อสู้โดยไม่มีมันทำให้เขารู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่าง
คำสั่งของอินกองสร้างความสับสนให้เจ้าออร์คเพียงชั่วครู่ ก่อนมันจะหันมาส่งยิ้มให้กับเขา
“ลุยมัน!”
เสียงเชียร์ที่เรียบง่ายแต่สร้างความมั่นใจให้กับอินกองได้เกินคาด
พวกเซนทอร์ที่ตามเขามากระพริบตาสับสนตามการสนทนาไม่ทัน กัมมะก็มีสีหน้าสับสนชั่วครู่แต่ด้วยไหวพริบของนาง ไม่นานนักนางก็เข้าใจความคิดของเขา นี่ยิ่งทำให้อินกองอยากได้นางมาเป็นผู้ติดตาม
“ใต้ฝ่าพระบาทอย่าได้ทรงเป็นห่วง ข้าพระพุทธเจ้าจะอารักขาวัดแห่งนี้ไว้ด้วยชีวิตเพคะ!”
กัมมะจะคอยคุ้มกันวัดกับคารัค
อินกองพยักหน้าก่อนจะขึ้นขี่เดรโก้ที่เดินมาตรงหน้า แม้จะยังดูอ่อนเยาว์แต่ดูมันเข้าใจคำพูดและสถานการณ์ของพวกเขาเป็นอย่างดี
‘จบการต่อสู้ครั้งนี้เราต้องตั้งชื่อให้มันหน่อยแล้ว’
อินกองหัวเราะออกมา ก่อนเขาจะคุมจังหวะลมหายใจเพื่อเรียกใช้ลมปราณ
ไอสีขาวเข้าห่อหุ้มร่างของอินกอง ลมปราณนี้แฝงไปด้วยพลังแห่งอาณัติจากในตัวของเขา
‘เอาละ นี่จะเป็นการลุยเดี่ยวบอสครั้งแรกสินะ’
อินกองกำหมัดแน่น ก่อนจะควบเดรโก้ฝ่าตรงไปยังหัวหน้าของเหล่าเดรคโอเกอร์