Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 55
ที่ราบอินคา มีอาณาเขตอันกว้างขวาง แม้กระทั้งเหล่าเซนทอร์ที่มีความเร็วในการเคลื่อนพลสูง ก็ยังต้องใช้เวลาพอสมควรในการเคลื่อนพลจากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่ง
และยิ่งเมื่อเป็นการเดินทางจากทิศใต้ขึ้นเหนือ ความชันของผืนดินก็เพิ่มขึ้น จนกระทั้งเมื่อถึงยังเขตชายแดนปกครองจอมมาร ระดับความสูงจากมาตรฐานก็เทียบเท่าได้กับตามสันเขาเลยทีเดียว
เนื่องจากเป็นบริเวณที่ห่างไกลจากวัดศิลา ทำให้เวทมนตร์ของอันเคลส่งผลได้น้อยนิด บริเวณโดยรอบจึงเต็มไปด้วยโขดหินมากมายและผืนดินอันแห้งแล้ง
หลังจากส่งเซนทอร์ห้าตนกลับไปรายงานยังหมู่บ้าน คณะของอินกองเดินทางขึ้นสู่ทิศเหนือ โดยมีคาเซียและไกสท์แวะเวียนมาต้อนรับไม่ขาดสาย ทำให้อินกองอดคิดไม่ได้ว่าจะมีอะไรรอพวกเขาอยู่ที่นอกอาณาเขตทางเหนือ
หลังจากใช้เวลาเดินทางถึงสองวัน ทั้งหมดก็มายังสุดเขตที่ราบอินคา
“สุดเขตอินคา ด้านหน้า เขตเหนือ”
เฟโรเชียสอายพูดพลางใช้อาวุธของเขาวาดไปมาในอากาศ เพื่อพยายามอธิบาย
เฟลิซีเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นเพื่อให้เข้าใจโดยง่าย
“เซนทอร์เป็นชนเผ่าพเนจรที่จะร่อนเร่ย้ายถิ่นฐานไปตามฤดูกาล และบริเวณนี้ก็เป็นจุดเหนือสุดที่พวกเขาเคยตั้งรกราก”
ทั่วที่ราบอินคาเรียกได้ว่าเป็นถิ่นอาศัยของเหล่าเซนทอร์ พวกเขาไม่ตั้งรกรากตายตัว แต่จะย้ายที่ไปตามภูมิอากาศ แม้ทางทิศเหนือจะถือว่าแห้งแล้ง แต่ในบางฤดูกาล มันก็ถือเป็นบริเวณที่เหมาะแก่การอาศัย
ถึงจะเป็นครั้งแรกของอินกองและคารัค ทั้งคู่ก็พยักหน้าโดยไม่พูดอะไรมาก ผิดกับดาฟเน่ที่พูดออกมาอย่างตื่นกลัว
“หม่อนฉันรับรู้ถึงความกลัวของเหล่าภูติ ยิ่งพวกเราเข้าใกล้ทิศเหนือ กลิ่นอายแห่งความตายก็รุนแรงขึ้น”
แม้แต่อินกองก็อดเสียวสันหลังไม่ได้กับบรรยากาศรอบตัว
ดาฟเน่มองไปยังเฟลิซีอย่างลังเล ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้ทิศเหนือ อาการของนางก็ยิ่งแย่ลง นั่นก็เพราะนางมีสัมผัสวิญญาณที่ละเอียดอ่อนยิ่งกว่าเฟลิซี แม้เฟลิซีจะถือว่ามีพรสวรรค์ในการสื่อสารกับเหล่าวิญญาณ แต่นั้นก็เทียบไม่ได้กับดาฟเน่ซึ่งเป็นนางไม้
แม้กระทั้งกรีนวินด์ก็กระซิบเตือนภัยให้กับอินกอง
‘นายท่าน หากจะเปรียบเปรย พลังงานที่ควบคุมเหล่าสัตว์อสูรก็เหมือนแสงจากหิ่งห้อย ในขณะที่พลังงานตรงหน้าเปรียบดั่งแสงจันทร์อันสาดส่อง ข้าเกรงว่าที่มาของพลังสีม่วงเหล่านั้นต้องอยู่เบื้องหน้านี้อย่างแน่นอน’
และนั้น ก็คือหนึ่งในเป้าหมายของการสำรวจในครั้งนี้ แต่ทว่า…
‘หลุมศพของไวท์อีเกิ้ลก็อยู่ในทิศทางนั้นด้วย แม้ข้ายังไม่รู้ตำแหน่งอันแน่นอน แต่มันอยู่เลยออกนอกเขตแดนไปทางทิศเหนือไม่ผิดเพี้ยน’
ไวท์อีเกิ้ลก็อยู่ไม่ห่างจากจุดอันตรายที่ว่า ตอนนี้พวกเขามาถึงสุดเขตแดนของที่ราบอินคาแล้ว แต่ดูเหมือนพวกเขาจะต้องสำรวจเลยขึ้นเหนือไปอีก
คารัคหันมาถามอย่างไม่ยี่หระ
“แกจะเอาอย่างไรต่อ? สองสามวันที่ผ่านมาพวกเราไม่พบอะไรที่ผิดสังเกต พวกเราควรจะสำรวจต่อไหม?”
เดเลียที่มักจะหรี่ตาไม่พอใจกับท่าทางของเจ้าออร์ค ดูเหมือนจะคุ้นเคยและปล่อยวางในที่สุด นางก็รอคอยคำตอบจากเจ้านายของนางเช่นกัน
“ถึงมันจะดูอันตราย… แต่ว่าเราจะกลับไปโดยมือเปล่าก็ใช่ที ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราจะกลับกันทั้งที่รู้ว่าตะโกนของเหตุผิดปกติทั้งหมดอยู่แค่เอื้อมมือข้างหน้างั้นหรือ?”
หากพวกเขาตัดสินใจจะยุติการสำรวจไว้เพียงเท่านี้ การสำรวจนี้จะมีความหมายอะไร?
เฟโรเชียสอายชูอาวุธของเขาชี้ไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
“ทางนั้น ซากหอคอย สอดส่องทิศเหนือ ไม่พบอะไร กลับ”
‘นั่นก็เป็นทิศเดียวกับไวท์อีเกิ้ลเช่นกันนายท่าน’
กรีนวินด์เสริมขึ้น
ไวท์อีเกิ้ลเป็นผู้กล้าของเหล่าเซนทอร์ที่ต่อสู้กับเหล่าสัตว์อสูรทางทิศเหนือ การที่หลุมศพของเขาจะไม่ไกลจากป้อมปราการสังเกตการณ์ มันย่อมไม่ผิดแปลก
“อยู่ห่างออกไปไกลแค่ไหน?”
เฟโรเชียสอายนิ่งเงียบใช้ความคิดก่อนจะตอบออกมา
“หนึ่งชั่วโมง”
นั่นถือว่าคุ้มค่าที่จะสำรวจ นั่นเพราะขณะนี้เป็นเวลาเพียงราวเที่ยงวัน
“ฉันจะทำตามการตัดสินใจของเธอ อย่างที่ว่าไว้ ปฏิบัติการในครั้งนี้เธอเป็นแกนนำ”
เฟลิซีบอกกับอินกองแต่นางไม่กล้าสบตากับเขา หากจะไม่อ้อมค้อมก็คือนางปัดความรับผิดชอบไปให้อินกองนั่นเอง
“ถ้างั้นก็ไปสำรวจกัน”
“นำทาง”
เฟโรเชียสอายเอ่ยขึ้นก่อนจะนำเหล่าเซนทอร์นำทางไปยังซากหอคอยดังกล่าวโดยมีกัมมะเดินนำ เนื่องจากนางเป็นพรานป่า ความสามารถสังเกตการณ์ของนางถือว่าสูงที่สุดในกลุ่ม อินกองเปลี่ยนทิศทางเดรโก้ตามกัมมะ ก่อนจะหันไปถามคารัค
“มีอะไร?”
เจ้าออร์คทำสีหน้าผิดปกติ ไม่ต่างจากที่มันทำเมื่อเริ่มเดินทางสำรวจ
คารัคหันมาตอบอินกองพลางส่ายหน้า
“ข้าเลือกที่จะไม่พูด”
แต่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้อินกองเข้าใจความคิดของมัน เขาถอนหายใจก่อนจะยิ้มแห้งแห้งออกมา นั่นก็เพราะตัวเขาเองก็รับรู้ถึงลางร้ายไม่ต่างกัน
“ไปกันเถอะ เมว่า”
#เม-ว่า ชื่อน่ารักสุดๆ
เจ้าเดรโก้ร้องรับหลังจากที่อินกองเรียกชื่อมัน ก่อนจะเริ่มออกวิ่งตามหลังเหล่าเซนทอร์
&
“ซากหอคอย”
เป็นไปตามที่เฟโรเชียสอายว่าไว้ หลังจากพวกเขาเดินทางได้ราวหนึ่งชั่วโมง เบื้องหน้าก็ปรากฏป้อมสังเกตการณ์ขนาดย่อมบนเนินเขา โดยกำแพงรอบนอกล้วนผุพังบ่งบอกถึงกาลเวลา
“ข้างบน”
เนื่องจากสร้างโดยเหล่าเซนทอร์ในอดีต ทำให้ทั้งหมดสามารถขึ้นกระไดภายในหอคอยป้อมปราการได้อย่างไม่มีปัญหา
หอคอยมีความสูงมากกว่าที่อินกองคาดคิด และเมื่อมาถึงชั้นบนสุด มันก็สูงจากผืนดินได้ราวสิบเมตร
อินกองกลืนน้ำลายก่อนจะมองผ่านหน้าต่างหอคอยออกมา สายลมเย็นเฉียบปะทะหน้าของเขา
จะด้วยสัญชาตญาณลางสังหรณ์หรืออะไรก็ตามแต่ ทั้งหมดมองไปยังจุดเดียวกัน
ห่างออกไปราวหนึ่งร้อยเมตร มีแสงสีม่วงลุกโชติช่วง พร้อมกับเหล่าสัตว์อสูรราวสองร้อยตัวอยู่รายล้อม แน่นอนว่าทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยพลังงานสีม่วง
ดังที่กรีนวินด์ได้กล่าวไว้ นั่นเป็นต้นตอของแสงสีม่วงไม่ผิดเพี้ยน
อินกองได้ยินเสียงกรีดร้องจากดาฟเน่
“สาวน้อย แกเป็นอะไรมากไหม?”
คารัครีบเข้าไปประคองดาฟเน่ที่ทรุดลงอย่างหมดแรง เฟลิซีมองทั้งคู่ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยร่างกายที่สั่นเทา
“ฉันสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตอันมหาศาล แต่นั่นก็ไม่เท่าดาฟเน่เพราะนางเป็นกึ่งภูติ”
อินกองถอยห่างออกจากหน้าต่างก่อนจะมองดูอาการของคณะเดินทาง
ดาฟเน่กล่าวออกมาหลังจากที่นางตั้งสติกลับมาได้
“อัน… อันเดด… แถมเป็นปีศาจระดับสูง… อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าระดับลิช”
ในโลกมารมีปีศาจอันเดดอยู่สองประเภท ประเภทแรกเป็นปีศาจที่เกิดจากการรวมตัวจากแรงอาฆาตและกระแสเวทมนตร์ตามธรรมชาติ อีกประเภทเป็นปีศาจที่เกิดจากการเวทมนตร์ควบคุมวิญญาณ
โดยอันเดดที่เกิดตามธรรมชาติส่วนใหญ่จะไม่มีพิษภัยมากมาย เช่น ซอมบี้ ปีศาจโครงกระดูก แต่ก็มีบ้างที่จะเกิดเป็นปีศาจระดับสูงอย่าง ดูลาฮัน ลิช
“นั่นต้องเป็นตัวการของเหตุผิดปกติทั้งหมดแน่นอน มีอันเดดระดับสูงถือกำเนิดขึ้น พวกเราต้องรีบนำข้อมูลนี้กลับไปรายงานวังจอมมารในทันที”
นั่นคือแผนการที่ทั้งหมดควรทำในยามปกติ แต่อาจจะด้วย ‘พลังพระเอก’ ทำให้เหตุการณ์ในที่ราบอินคาไม่มีสิ่งใดที่เป็นปกติ เฟลิซีจ้องมองไปยังขั้นบันไดที่ทั้งหมดใช้ขึ้นมายังหอคอย
“เฟลิซีนูนะ?”
“ฉันได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง”
เฟลิซีกล่าวขัดจังหวะขึ้นมา
เหล่าเซนทอร์รวมถึงเฟโรเชียสอายและกัมมะต่างนิ่งเงียบ เงี่ยหูฟังเสียงบางอย่างที่เฟลิซีกล่าวถึง มันเป็นเสียงราวกับผืนดินสั่นสะเทือนจากการเคลื่อนทัพ
อินกองไม่รอช้าก่อนจะถามกรีนวินด์
“กรีนวินด์ เปิดมุมมองให้ผมหน่อยสิ?”
ในครั้งแรกที่กรีนวินด์นำทางเขาไปยังวัดศิลา นางได้ถ่ายทอดมุมมองที่นางเห็นให้อินกองรับรู้
‘ข้าจะลองดู’
“เหาะขึ้นมองจากบนฟ้า!”
สิ้นเสียงอินกอง แสงสีเขียวก็พุ่งขึ้นสู่งฟากฟ้า กรีนวินด์มองลงมายังด้านล่าง ก่อนภาพที่นางเห็นจะถูกส่งเข้าสู่สายตาของอินกอง
ในทันใดนั้นแผนที่ย่อของอินกองก็เต็มไปด้วยจุดสีแดงมากมาย อาจจะด้วยข้อมูลที่เขาได้รับจากกรีนวินด์ทำให้ศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ได้ถูกเปิดโปงขึ้น
“ฉัตร?”
“พวกเราถูกล้อม”
อินกองร้องออกมาในทันทีที่เขาเข้าใจสถานการณ์ ทั้งหมดเป็นกับดักที่ถูกวางเอาไว้อย่างแยบยล สัตว์อสูรที่ออกมาต้อนรับพวกเขาล่วนเป็นตัวล่อให้กองทัพจำนวนที่ใหญ่กว่าหลุดรอดออกจากสายตา
พวกมันวางแผนเข้าล้อมพวกเขาเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
นอกจากนี้ปีศาจอันเดดยังสามารถส่งผ่านมุมมองทัศนวิสัยร่วมกันได้ ทำให้ตัวหัวหน้าสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ลูกน้องพบได้ตลอดเวลา
และนั่นเป็นที่มาของการเข้าล้อมอย่างไม่ทันให้เหยื่อตั้งตัวที่เกิดขึ้นกับคณะของอินกอง
“รีบหนีเร็ว! เราถูกศัตรูล้อมไว้จากทุกทิศทาง!”
ไม่มีอะไรต้องอธิบายเพิ่มเติม คารัคอุ้มดาฟเน่ขึ้นมาบนเดรโก้ เฟลิซีและเฟโรเชีสยอายมองมายังอินกอง
“ผมจะนำทางเอง! เตรียมวิ่งได้!”
อินกองมองแผนที่ย่อก่อนจะคิดหาแผนการ เนื่องจากการโจมตีของเหล่าอันเดดยังอยู่ในขั้นเตรียมการ หากพวกเขาสามารถเจาะช่องตีฝ่าไปได้ พวกเขาย่อมหลบหนีได้
‘นายท่าน! ระวังทางท้องฟ้า!’
กรีนวินด์ตะโกนร้องอย่างเป็นห่วงเมื่ออินกองเริ่มให้เมว่าออกวิ่ง อินกองรีบมองท้องฟ้าในทันที
“กี๊ซซซซ!”
ไกสท์ห้าตัวกำลังโฉบมายังพวกเขา เฟโรเชียสอายรีบชักคันศรของเขาออกมายิงสวนไกสท์ตายไปหนึ่งตน เฟลิซีใช้เวทมนตร์ลมเปลี่ยนทิศทางไกสท์ให้พุ่งเข้าชนกำแพงอีกหนึ่งตน ยังเหลืออีกสาม เหล่าเซนทอร์ที่เหลือไม่ว่องไวเท่าเฟโรเชียสอาย มีเซนทอร์สองตนถูกพุ่งกระแทกล้มลงกับพื้น
“ไป!”
พวกเขาไม่มีเวลาเข้าไปช่วยเหลือเซนทอร์เคราะห์ร้าย เฟโรเชียสอายยิงธนูใส่ไกสท์ที่โจมตีเซนทอร์ทั้งสอง
“เกาะกลุ่มกันไว้!”
อินกองร้องตะโกนออกมาพลางใช้มีดแทงไปในอากาศ พลังแห่งอาณัติก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ใต้ร่มเงากษัตริย์!”
แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาโอบล้อมอินกองและคณะเอาไว้ พวกเขาพุ่งทะยานออกไปเกินขีดจำกัดที่ฝีเท้าปกติสามารถจะทำได้
“ดาฟเน่!”
เฟลิซีตะโกนร้องให้ดาฟเน่ร่ายเวทมนตร์ดรูอิดสนับสนุนเพิ่ม ทว่าดาฟเน่ไม่อยู่ในสภาพที่จะสามารถทำอะไรได้ นางได้แต่สายหน้าอย่างหมดอาลัยและสั่นกลัว
‘นายท่าน! ตัวหัวหน้า! มันกำลังมา!’
ไม่มีเวลาให้คิดอะไรซับซ้อน สาเหตุที่อาการของดาฟเน่แย่ลงอย่างกระทันหันสามารถเดาได้ไม่ยาก
และในขณะเดียวกัน กลิ่นอายเย็นยะเยือกก็แผ่เข้ามาข้างหลังพวกเขา เซนทอร์ตนหนึ่งอดกลั้นความสงสัยไม่ไหวหันกลับไปมอง ก่อนจะร้องออกมาอย่างหวาดกลัว
ปีศาจอันเดดขนาดใหญ่ควบอัศวไร้เงาบินทะยานมาทางอากาศ หัวของมันสวมหมวกเกราะที่ทำจากกระดูกสัตว์นานาชนิด เกราะที่มันสวมเป็นเศษซากหนัง มือหนึ่งถือดาบเหล็กนิลขนาดใหญ่ และในมืออีกข้างมีพลังเวทกำลังรวมตัว มันเป็นปีศาจที่สามารถเป็นได้ทั้งนักรบและจอมเวท
ปีศาจที่สูงราวห้าเมตร อัศวินโครงกระดูกร่างยักษ์บนม้าวิญญาณ มันหยิบแตรสัญญาณออกมาเป่า ก่อนเสียงอันโหยหวนจะดังก้องไปทั่วสมรภูมิ
ถึงจะอยู่ห่างออกไป แต่มันก็สามารถตามเข้ามาได้ในเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น
อินกองมองแผนที่ย่อของเขา แม้จุดสีแดงจะเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ แต่ก็ไม่ได้พร้อมเพรียงมากนัก แสดงให้เห็นว่าการควบคุมไม่ได้สมบูรณ์เสียทีเดียว
‘หาจุดที่บอบบางที่สุด’
ทันทีที่อินกองคิดขึ้นมา…
“คุร่าฮ์!”
คารัคคำรามร้องขึ้น ไกสท์ชุดต่อมาเข้าโจมตีอีกระลอก เหล่าเซนทอร์ยิงธนูสวน ฆ่าฝูงบินได้จำนวนหนึ่ง แต่นั่นไม่ทำให้พวกมันชะลอการโจมตีแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าคาเซียที่แฝงอยู่ในกองทัพอันเดดก็พุ่งเข้ามาโจมตีอย่างบ้าคลั้ง
การล้อมของศัตรูเข้าแคบลงทุกที ในทุกครั้งที่คณะของอินกองต้องจัดการกับศัตรูที่บุกเข้ามา นั่นทำให้พวกอันเดดมีเวลาเสริมกระบวนทัพของมันมากขึ้น
และในที่สุด พวกเขาก็สามารถเห็นเหล่าอันเดดที่รายล้อมพวกเขาเอาไว้ได้ด้วยตาเปล่า พวกมันเต็มไปด้วยซากศพและคาเซีย ปกคลุมด้วยแสงสีม่วงเข้มชัดเจน
พวกเขาจะสามารถหลบหนีออกได้หรือไม่? นั่นขึ้นอยู่กับการตีฝ่าวงล้อมในครั้งนี้!
บรึ้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับกระบวนทัพของคณะอินกองที่เละเทะ อันเดดขนาดยักษ์ตัวนั้นเข้ามาใกล้ในระยะได้ 20 เมตร มันร่ายเวทมนตร์ลูกบอลเพลิงขนาดใหญ่เข้าโจมตีกระบวนทัพของอินกอง
ลูกบอลเพลิงลูกที่สองก่อตัวขึ้นเหนือศีรษะของมัน โดยเป้าหมายในครั้งนี้อยู่ที่ทิศทางที่อินกองกำลังพุ่งไป แม้เดรโก้และเหล่าเซนทอร์จะหลบหลีกได้ทัน แต่นั่นก็ทำให้ร่างกายเสียสมดุลย์ คารัคและดาฟเน่กระเด็นตกลงบนพื้น เซนทอร์ล้มบาดเจ็บจนไม่สามารถวิ่งได้
อินกองและเฟลิซีมองหน้ากัน ไม่มีอะไรที่ต้องกล่าวอีกต่อไป ภูติอัคคีและภูติสายลมปรากฏขึ้นบนฝ่ามือทั้งคู่ของเฟลิซี เปลวเพลิงลุกโชนขึ้น ก่อนสายลมจะพัดกรรโชก ตีกระจายเปลวเพลิงให้กลายเป็นกำแพงไฟ
เป็นการป้องกันไม่ให้สัตว์อสูรพุ่งเข้ามาโจมตี แต่ก็เป็นการปิดกั้นทางหนีของพวกเขาไปในตัว อินกองกระโดดลงจากหลังเมว่าก่อนจะเตรียมพสุธากัมปนาทให้พร้อม
‘นายท่าน! อย่าบอกนะว่าคิดจะสู้กับไอ้นั่น?’
หลังจากที่มุสตาฟาตาย แสงสีม่วงก็จางหายไปด้วย นั่นทำให้พวกสัตว์อสูรแตกความสามัคคี และดูเหมือนว่านั่น จะเป็นทางออกทางเดียวที่อินกองสามารถใช้ได้ในการตีฝ่าวงล้อมครั้งนี้
จัดการอันเดดขนาดยักษ์ที่เป็นตัวหัวหน้านั่นซะ แล้วแสงสีม่วงที่ควบคุมอันเดดที่เหลือก็จะหายไป ทำให้กระบวนทัพของพวกมันแตกลงในที่สุด
‘โลหิตมังกร’
พลังเวทมังกรในตัวอินกองได้รับการกระตุ้นอีกเช่นเคย เสียงคำรามอันบ้าคลั่งของพสุธากัมปนาทดังขึ้น พร้อมกับพลังแห่งอาณัติที่สว่างโชติช่วงราวกับเปลวเพลิง