Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 56
คารัคกำขวานของมันแน่นอย่างรู้หน้าที่ กัมมะได้แต่กลืนน้้ำลายจ้องมองไปยังร่างของแม่ทัพอันเดดที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ดาฟเน่ยังคงสั่นเทาด้วยความกลัว แต่นางก็พยายามรวบรวมความกล้าท่องคาถาออกมา
พรของดรูอิดส่งผลให้กับสมาชิกทั้งหมดของคณะสำรวจ
[คุณได้เรียนรู้ กระตุ้น ขั้น1]
แม้ไม่ต้องทดลองใช้ทักษะ อินกองก็รับรู้ได้ทันที พรที่ดาฟเน่ร่ายทรงพลังมากกว่าทักษะที่เขาเรียนรู้ เช่นเดียวกับที่อินกองเรียนรู้ฮีลจากแมซซีฟฮีลของเฟลิซี พรที่ดาฟเน่ร่ายเป็นทักษะที่พัฒนาต่อยอดจากทักษะกระตุ้น
‘วิญญาณประทับ!’
พรเสริมพลังที่เพิ่มค่าสถานะทั้งหมดด้วยการเรียกวิญญาณที่เหมาะสมกับร่างเข้าสิง โดยปกติแล้วหนึ่งร่างจะเป็นภาชนะรองรับให้วิญญาณสิงได้เพียงหนึ่งเท่านั้น แต่ด้วยผลของกายาชาตรี ทำให้ร่างของอินกองสามารถรองรับวิญญาณได้หลายตน อินกองรับรู้ถึงภูติแห่งชีวิตและภูติสายลมที่เข้ามาหลอมรวมอยู่ในร่างของเขา
#อัญเชิญ****ประทับเข้าทรงใบ้หวย…. อุ๊บส์ โทดๆ
อินกองไม่ใช่เพียงผู้เดียวที่รับรู้ถึงพลังอันแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เฟโรเชียสอาย คารัค เฟลิซี ก็เช่นกัน
เจ้าออร์คกระโดดเข้ามาบังร่างของดาฟเน่ให้รอดพ้นจากสายตาของศัตรู เฟโรเชียสอายเก็บคันศรแล้วเตรียมจี่ออกมาพร้อมสู้ระยะประชิด เหล่าเซนทอร์ที่เหลือต่างโห่ร้องชื่อของกรีนวินด์
แม่ทัพอันเดดที่ลอยอยู่มีนามว่า บาโคโรฟ มันมองดูเหยื่อเบื้องล่าง ใบหน้าโครงกระดูกของมันทำให้เดาความคิดได้ยาก แต่มันกำลังแสยะยิ้มอยู่อย่างไม่ผิดเพี้ยน
บาโคโรฟกระโดดลงจากอัศวไร้เงา ผืนดินสั่นสะเทือนด้วยร่างกายที่ใหญ่โต มันควงดาบอันมหึมาในมือกวัดแกว่งไปมาก่อนจะปักลงตรงหน้า มือทั้งสองยกขึ้นกอดอกพร้อมชำเลืองมองมาอย่างท้าทาย
เมื่อมันลงมายืนที่ระดับเดียวกัน ยิ่งทำให้เห็นถึงความสูงที่แตกต่าง ยิ่งไปกว่านั้น พลังสีม่วงที่ปกคลุมตัวมันทรงพลังกว่ามุสตาฟามาก เพียงกลิ่นอายความตายที่ลอยออกมาจากมัน ก็เพียงพอที่จะทำให้อินกองรู้สึกราวกับถูกคมดาบเชือดเฉือนไปทั่วร่าง
ทว่าอินกองไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอาชนะอสูรกายตรงหน้า ค่ำคืนที่ต่อสู้กับศัตรูที่เป็นออร์คยังผ่านพ้นไปได้ไม่นาน ตอนนี้เขาต้องต่อสู้กับแม่ทัพกองทหารแห่งความตาย
‘****เอ๊ย สมชื่อพลังพระเอก เจอแต่ของหนักตลอด’
อินกองพยายามมองโลกแง่ดีเพื่อกลบเกลื่อนความคิดเลวร้ายทั้งหลาย โลหิตมังกร วิญญาณประทับ อินกองร่ายพรของกรีนวินด์ก่อนจะใช้ใต้ร่มเงากษัตริย์อีกครั้ง
แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาพร้อมกับธงสีขาวแห่งกองทัพพระราชาที่พัดโบกสะบัด อาการตื่นกลัวของคณะอินกองทุเลาลง เหล่าเซนทอร์ที่แสดงความหวาดกลัวต่อบาโคโรฟกลับมาฮึดสู้อีกครั้ง
การใช้ใต้ร่มเงากษัตริย์ติดกันสร้างภาระให้กับร่างกายอินกองอย่างมาก แต่เขาได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนในสถานการณ์นี้ เขาเตรียมทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว ที่เหลืออยู่มีเพียงสิ่งเดียว
“นักรบแห่งอินคา! บุก!”
เฟโรเชียสอายกู่ร้องออกมาอย่างกล้าหาญก่อนจะวิ่งนำทัพเหล่าเซนทอร์เข้าโจมตี กัมมะวิ่งประคองดาฟเน่ถอยหลบไปด้านหลัง คารัคมองไปยังทั้งสองก่อนจะหันไปมองเฟลิซี เดเลียที่อยู่ด้านหลังนางผงกหัวให้กับเจ้าออร์ค
“คุร่าฮ์!”
คารัคแผดเสียงคำรามศึกออกมา ก่อนจะวิ่งเข้าร่วมบุกกับเหล่าเซนทอร์ พลังสีม่วงที่ปกคลุมบาโคโรฟควบตัวกันเป็นศัสตราวุธหลากชนิดพุ่งโจมตีใส่ทัพที่บุกเข้ามา
#เกท ออฟ… บาบิโลน!
“โอ้ววววววววววว!”
เฟโรเชียสอายแผดเสียงคำรามใช้ลมปราณยิงต่อต้านอาวุธสีม่วง คารัคที่ตามมาด้านหลังเฟโรเชียสอายใช้โอกาสที่เกิดขึ้นพุ่งเข้าโจมตีบาโคโรฟ และในขณะเดียวกัน อินกองก็ถืบพื้นพุ่งทะยานเข้าร่วมโจมตี
คารัคใช้ขวานของมันโจมตีใส่ขาของบาโคโรฟ ทว่าพลังสีม่วงพวกนั้นควบตัวกันปัดป้องการโจมตีไว้ มันแข็งแกร่งจนทำให้มือที่ฟาดขวานของคารัคสั่นเทา พลังสีม่วงยังคงเพิ่มจำนวนขึ้น พวกมันลอยขึ้นมาจากใต้พื้นดินราวกับรอเวลาถูกปลดปล่อยมาแสนนาน
และในวินาทีนั้น อินกองก็สบตาเข้ากับบาโคโรฟ ดวงตาที่ลุกเป็นไฟจดจ้องมาที่เขา ก่อนพลังสีม่วงจะพุ่งโจมตีมาอย่างเกรี้ยวกราด พวกมันพุ่งข้ามผ่านคารัคและเฟโรเชียสอายที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ตรงหน้า เป้าหมายของบาโคโรฟอยู่ที่อินกองตั้งแต่แรกแล้ว
ลูกไฟถูกยิงจากแขนซ้ายของบาโคโรฟ อินกองกลิ้งตัวหลบไปกับพื้น พลางใช้อาวุธของเขาปัดป้องอาวุธสีม่วงที่ยังคงโจมตีเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เฟโรเชียสอายพยายามโจมตีบาโคโรฟดึงดูดความสนใจช่วยเหลืออินกอง
“โอ้วววว!”
ลมปราณสีน้ำเงินรวมตัวเข้าที่ปลายอาวุธของเฟโรเชียสอาย แต่ใบหน้าของบาโคโรฟได้มองมาที่หัวหน้าเซนทอร์อยู่แล้ว มันหันมาตั้งแต่ทันทีที่มันยิงลูกไฟเสร็จ มันอ้าปากเผยให้เห็นแสงสีม่วงที่อยู่ในช่องว่างระหว่างกรามของมัน
เจ้าอันเดดยักษ์โจมตีด้วยการพ่นพลังสีม่วงออกจากปากราวกับเปลวพลิง
บรึ้ม!
เฟโรเชียสอายกระเด็นถอยเสียหลัก เขาใช้อาวุธปัดป้องเอาไว้ได้ในเสี้ยววินาทีสุดท้าย
กัมมะที่มองดูอยู่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ทั้งหมดก็ยังไม่ปลอดภัยเสียทีเดียว จริงอยู่ที่เฟโรเชียสอายปัดป้องการโจมตีอย่างจังเอาไว้ได้ แต่เขาก็ได้รับความเสียหายจากเปลวเพลิงสีม่วงนั้นเช่นกัน
พลังคำสาปเข้าครอบคลุมเรือนร่างของแม่ทัพเซนทอร์ แม้ผลของใต้ร่มเงากษัตริย์จะช่วยลดความรุนแรงของคำสาปให้ไม่ถึงตาย แต่เลือดเนื้อของเฟโรเชียสอายก็ถูกกัดกร่อน
เฟโรเชียสอายพยายามกระตุ้นลมปราณเพื่อต้อต้านคำสาป คารัคเข้าโจมตีดึงความสนใจบาโคโรฟเอาไว้โดยมีอินกองเตรียมร่วมประสานการโจมตีจากด้านหลัง
แต่นั่นก็ไม่เล็ดรอดจากสายตาของบาโคโรฟไปได้ มันคว้าดาบที่ปักไว้ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้เข้าฟาดดักหน้าคารัค เจ้าออร์คต้องรีบม้วนหน้าหลบคมดาบพลางเปลี่ยนเป้าหมายเป็นโจมตีใส่ขาของบาโคโรฟ อาวุธสีม่วงปรากฏขึ้นป้องกันความเสียหายไว้ได้เช่นเดิม แต่อย่างน้อยคารัคก็ดึงความสนใจของบาโคโรฟไว้ได้
แรงกระแทกทำให้บาโคโรฟถอยหลังไปครึ่งก้าว และนั้นเป็นเวลาที่อินกองรอคอย
อินกองพุ่งตัวเข้าโจมตี แต่บาโคโรฟก็ยิงลูกไฟสวนมาห้าลูกราวกับคาดการณ์เอาไว้แล้ว อินกองใช้เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพเร่งฝีเท้าหลบหลีกฝ่าเข้าไป ก่อนใช้ระเบิดลมปราณโจมตีใส่ขาของบาโคโรฟ
บรึ้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้น เกิดความเสียหายที่ขาของบาโคโรฟเล็กน้อย คารัคไม่รอช้า มันผสานพลังของภูติดินในร่างเข้าสู่ขวานแล้วโจมตี แม้มันจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องภูติอย่างเอลฟ์ แต่เพราะเผ่าออร์คเป็นภาชนะวิญญาณชั้นเลิศสำหรับภูติดิน ทำให้การโจมตีของมันสร้างความเสียหายรุนแรง
“เคือก!”
บาโคโรฟคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะระเบิดพลังสีม่วงออกมารอบตัว อินกองกับคารัคที่เตรียมถอยหลังจากการโจมตีอยู่แล้วรีบเร่งฝีเท้าขึ้นทำให้เล็ดรอดการระเบิดมาได้ ไม่มีความเสียหายที่เห็นชัดเจนจากพลังทำลายล้าง ทว่าต้นไม้และผืนดินที่โดนรัศมีระเบิดต่างแห้งแล้งเหี่ยวเฉา ราวกับถูกดูดพลังชีวิตออกไปหมดสิ้น
#อี่นูม่า เอ๊ลิช lolz
บาโคโรฟรวบรวมพลังอีกครั้งก่อนจะพ่นโจมตีทางปาก ในครั้งนี้รูปแบบการโจมตีไม่ใช่เปลวเพลิงดังที่มันใช้กับเฟโรเชียสอาย มันเป็นคลื่นกระแทก และเป้าหมายแรกก็คือคารัค
“คารัค!”
ก่อนพลังหายนะจะกระทบเข้ากับคารัค อินกองเรียกตัวเจ้าออร์คกลับมา ทำให้มันรอดจากการเป็นซากศพอย่างหวุดหวิด แม้รับสั่งจะเป็นทักษะที่เขาสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวในเวลาสามวัน แต่นี่ไม่ใช่เวลามาห่วงรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านั้น
อินกองและคารัคถูกบีบให้ถอยห่างออกมา นอกจากผืนดินจะแห้งกรังจากการโดนสูบชีวิตออกไปหมดสิ้นแล้ว ควันพิษก็เริ่มลอยขึ้นมาตามรอยแตกระแหงอีกด้วย
เซนทอร์เคราะห์ร้ายบางตนสู้กับสัตว์อสูรในบริเวณที่ถูกคลื่นสีม่วงเข้าโจมตี ร่างของพวกเขาต่างแตกหักกลายเป็นเถ้าธุลี เป็นการโจมตีอันโหดเหี้ยมที่เรียกได้ว่าเป็นกรดกัดกร่อนมากกว่าคำสาป
หลังจากที่คำรามคลื่นกระแทกออกมา บาโคโรฟก็ชี้ดาบของมันมาที่อินกอง อินกองรวมลมปราณของเขาไปที่พสุธากัมปนาทพลางจ้องสู้สายตานั้นอย่างไม่กลัวเกรง
นั่นทำให้บาโคโรฟเพ่งความสนใจมาที่เขามากขึ้น ในสายตาของมันมีเพียงแต่อินกองเท่านั้น
ทันใดนั้น!
ขณะที่บาโคโรฟพุ่งเข้าจู่โจมอินกอง เฟลิซีก็ร่ายเวทมนตร์จู่โจมออกมา หลังจากที่สร้างม่านเพลิง นางก็ใช้เวลาทั้งหมดเตรียมการโจมตีครั้งนี้
แม้เฟลิซีจะเป็นจอมเวทที่ถนัดการใช้เวทมนตร์เข้าควบคุมทิศทางการรบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะไม่สามารถใช้เวทมนตร์จู่โจมโดยตรงได้
“ทริ้ปเปิ้ลแบลสท์!”
เป็นการโจมตีที่ผสานการโจมตีจากธาตุทั้งสามเข้าไว้ด้วยกัน
ประกายแสงสีน้ำเงิน แดง และเหลือง ส่องสว่างออกจากวงเวทที่มือของเฟลิซี แสงทั้งสามผสานรวมกันก่อนจะพุ่งโจมตีไปยังบาโคโรฟ
‘เสร็จละ’
ทันที่ที่อินกองดีใจ…
ร่างของบาโคโรฟก็อันตรธานหายไป ทริ้ปเปิ้ลแบลสท์พุ่งเข้าโจมตีอากาศอันว่างเปล่า ก่อนเสียงกรีดร้องของเดเลียจะดังขึ้น
“บลิ๊งค์!”
เวทมนตร์ก้าวข้ามห่วงมิติในชั่วขณะ!
แม้บาโคโรฟจะจับจ้องมองอยู่ที่อินกอง แต่มันก็สามารถใช้ทัศนวิสัยของอันเดดที่เป็นสมุนจับจ้องเฟลิซีได้ ระหว่างที่เฟลิซีเตรียมการเวทมนตร์ของนาง บาโคโรฟก็เตรียมเวทมนตร์ของมัน และมันก็ใช้ในทันทีเฟลิซีร่ายเวทมนตร์ของนางออกมา ร่างขนาดใหญ่ของบาโคโรฟปรากฏขึ้นตรงหน้าเฟลิซีที่ห่างออกไปราวสิบเมตร กรามของมันเปิดกว้าง เผยให้เห็นแสงสีม่วงระยิบระยับภายใน!
บรึ้ม!
เสียงกึกก้องดังขึ้นมาอีกครั้ง แสงสีม่วงแตกกระจายออก เผยให้เห็นร่างหนึ่งเข้ามาป้องกันเฟลิซีและเดเลียเอาไว้
“เฟโรเชียสอาย!”
เซนทอร์ตรงหน้ากลับไม่มีเสียงตอบรับแต่อย่างใด ร่างของเขาทรุดลงกับพื้น อาการบาดเจ็บของเขามาจากการเร่งฝีเท้าและใช้ลมปราณป้องกันอย่างกระทันหัน
เสียงหัวเราะแบบฉบับตัวร้ายดังขึ้นจากบาโคโรฟ มันหันกลับไปสนใจอีกกองอีกครั้ง ปล่อยให้ไกสท์ที่บินอยู่ด้านบนเข้ามาจัดการเฟลิซี เดเลีย กัมมะ และดาฟเน่แทน
สถานการณ์เริ่มจนตรอก
แม้จะรู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่อินกองก็ไม่ละทิ้งความหวัง เขายังคงรวบรวมลมปราณไปที่พสุธากัมปนาท ด้วยลมปราณที่หลงเหลือ เขายังสามารถใช้กระสุนสังหารได้อีกหนึ่งครั้ง
บาโคโรฟยังคงหัวเราะระหว่างก้าวเดินมาหาอินกอง พวกคาเซียและเดรคโอเกอร์ต่างมารวมตัวกันที่อีกฟากของม่านเพลิง
#ประมาท 300%
คารัคกำขวานของมันเงียบเงียบ อินกองสูดหายใจเข้าให้เต็มปอด ทั้งคู่เตรียมพร้อมสำหรับการบุกโจมตีครั้งสุดท้าย
ณ ช่วงเวลานั้นเอง…
‘นายท่าน!’
เสียงของกรีนวินด์ก็ดังขึ้น ทว่าเสียงของนางกลับเลือนลางราวกับว่านางอยู่ห่างไกลออกไป
อินกองคว้ามือไปสัมผัสเศษไม้ที่เขาเหน็บไว้ข้างเอว เขาไม่รับรู้ถึงตัวตนกรีนวินด์ในเศษไม้
นางจากไปตั้งแต่เมื่อไร และทำไม?
‘นายท่าน! ใช้พลังเวทของอันเคลเร็วเข้า! ยิงพลังเวทของนางขึ้นไปในอากาศ!’
เสียงของนางยังคงอยู่ไกล เหมือนนางใช้พลังทั้งหมดเพื่อที่จะส่งข้อความมา
อินกองมองดูบาโคโรฟที่กำลังก้าวเข้ามาก่อนจะยิ้มอย่างไร้สาเหตุ เขาหลับตาลงก่อนจะเพ่งสมาธิไปที่พลังแห่งอาณัติในตัว เป็นการกระทำที่เรียกได้ว่าบ้ามากในสถานการณ์ระหว่างความเป็นความตายนี้
แต่อินกองไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เขาพยายามเพ่งสมาธิมากขึ้น เขาระลึกถึกความรู้สึกที่รับรู้ได้ในวินาทีที่ร่างกายแปรสภาพเป็นมังกรจำแลง รวมถึงภาพเงาของอันเคลที่เขาได้เห็น
พยานอันเคล
พญามังกรผู้ควบคุมพลังแห่งชีวิต คำพูดที่นางกล่าวกับเขา และพลังที่นางมอบให้…
อินกองลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขายิงกระสุนสังหารที่เตรียมไว้เข้าใส่บาโคโรฟก่อนจะเงยหน้าคำรามขึ้นสู่ท้องฟ้า
สิ่งที่ออกมาคล้ายคลึงกับลมปราณ ไม่สิ เขาไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าทำอะไรลงไป เสียงคำรามแห่งมังกรจำแลงแผดดังไปทั่วท้องฟ้า ร่างของบาโคโรฟก้าวมาอยู่ตรงหน้าอินกอง กระสุนสังหารที่เขายิงไปถูกมันปัดป้องได้โดยง่าย มันยังคงหัวเราะเยาะเย้ยก่อนจะเงื้อดาบฟาดลงมา
ในช่วงเวลานั้นเอง…
มีเสียงบางสิ่งแหวกฝ่าอากาศอย่างรวดเร็วดังขึ้น ประกายแสงสีขาวปนเขียวพุ่งมาที่อินกอง
นั่นทำให้ทั้งหมดอดสงสัยไม่ได้ แม้แต่บาโคโรฟก็มองไปยังบางอย่างที่กำลังพุ่งตรงมา มันพุ่งผ่านเฉือนร่างของไกสท์ที่กำลังเข้าโจมตีกลุ่มของเฟลิซี เลือดสาดกระเซ็นราวกับเม็ดฝนสีแดง ก่อนที่ร่างของเหล่าไกสท์จะตกสู่พื้น
วัตถุนิรนามพุ่งมาตกระหว่างอินกองกับบาโคโรฟ มันแฝงไปด้วยพลังชีวิตอันมหาศาล ทำให้บาโคโรฟถอยห่างออกไปอย่างยำเกรง
อินกองมองไปยังวัตถุนิรนามตรงหน้า
เศษโลหะสีขาวจำนวนมากเรียงตัวติดต่อเนื่องกัน ราวกับปีกที่กำลังสยาย แสงสีเขียวอ่อนเรืองออกมาจากช่องว่างระหว่างโลหะ!
‘นายท่าน!’
เสียงของกรีนวินด์ดังขึ้นอย่างชัดเจน และอินกองก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในที่สุด
โลหะสีขาวตรงหน้าก็คือไวท์อีเกิ้ล(โล่ชีวาตม์) ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น กรีนวินด์ได้แยกตัวออกไปหาหลุมศพของไวท์อีเกิ้ลเพื่อนำโล่มาให้อินกอง
เป็นการกระทำที่เสี่ยงมาก พวกเขาอาจจะตายกันหมดก่อนที่นางจะพบโล่เสียด้วยซ้ำ
แต่นางก็เลือกที่จะเสี่ยง นางพบหลุมศพและปลุกไวท์อีเกิ้ล(โล่ชีวาตม์)ที่หลับอยู่ให้ตื่นขึ้น นางให้อินกองยิงพลังเวทของอันเคลขึ้นฟ้า ก็เพื่อให้มันรับรู้ถึงตัวตนของเจ้านายท่านใหม่
“กรีนวินด์!”
‘ไว้ค่อยชื่นชมข้าทีหลัง! ตอนนี้นายท่านมีงานที่ต้องทำ! ทำงานซะ!’
อินกองหัวเราะแห้งแห้งออกมา เขาสัมผัสได้ถึงพลังแห่งชีวิตในไวท์อีเกิ้ลที่กำลังผลักดันให้บาโคโรฟล่าถอย
พลังขั้วตรงข้ามที่หักล้างซึ่งกันและกัน
อินกองรับรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องทำอะไร เขาไม่รอช้าและยื่นมือออกไปหาโลหะตรงหน้า
กรีนวินด์และไวท์อีเกิ้ลบินมาที่แขนซ้ายของอินกอง โลหะแยกตัวออกประกอบเป็นถุงมือเหล็กที่แขนซ้ายของอินกอง ก่อนโล่ทรงสีเหลี่ยมรูปว่าวจะโผล่มาติดที่ถุงมือนั้น
ไม่ต้องรอให้สตรีชุดขาวพูดกำกับ อินกองกำหมัดของเขาพร้อมรวบรวมพลังแห่งอาณัติในตัว
พสุธากัมปนาท ไวท์อีเกิ้ล
มรดกตกทอดจากมังกรบรรพกาลทั้งสอง
คำฝากจากคนเขียน:
อินกองไม่รู้ชื่อของบอสหรอกนะ แค่ใส่ชื่อไปเพื่อสะดวกต่อการบรรยาย ฮ่า ฮ่า
กรณีของมุสตาฟาก็เช่นกัน แต่อินกองก็รู้ชื่อมันหลังจากปราบมันสำเร็จ