Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 58
#กันลืมๆ โล่วิเศษของอันเคลคือ โล่ชีวาตม์ แต่ถูกใช้ในอดีตโดยผู้กล้าไวท์อีเกิ้ลของเหล่าเซนทอร์ ชื่อในปัจจุบันก็เลยเป็นไวท์อีเกิ้ล แต่บางที่กล่าวถึงทั้งโล่ทั้งตัวผู้กล้าก็เลยจะมี (โล่ชีวาตม์) เพื่อกันสับสน
‘เอาละ ข้าพร้อมแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาสำหรับคำชมแล้ว นายท่าน’
“ขอโทษนะ แต่ช่วยรออีกนิดละกัน”
สีหน้าผิดหวังของกรีนวินด์ผุดขึ้นมาในหัวของอินกอง แต่พวกเขายังไม่ปลอดภัยกันดีสักเท่าไรนักสำหรับการพูดคุย
เขาสำรวจมองแผนที่ย่อ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเช่นเดียวกับตอนที่เขาปราบมุสตาฟา พวกปีศาจโดยรอบที่มุ่งมาทางพวกเขาต่างกระจัดกระจายเมื่อสูญเสียการควบคุมจากพลังสีม่วง การที่พวกมันไม่สามารถฝ่ากำแพงเพลิงของเฟลิซีเข้ามาได้บ่งบอกว่าพวกมันไม่ใช่ปีศาจที่เก่งกาจ แต่ด้วยจำนวนที่มีหลายร้อยก็มากพอที่จะเป็นภัยต่อคณะของอินกอง
อินกองหลับตาลง แม้ร่างกายเขาจะฟื้นฟูจากผลของการเพิ่มระดับเลเวล แต่สภาพจิตใจของเขาไม่ได้รับการฟื้นฟูไปด้วย ความตึงเครียดจากการต่อสู้กับบาโคโรฟ การใช้ใต้ร่มเงากษัตริย์ถึงสองครั้ง วิชาลมปราณที่เขาใช้ รวมถึงพลังเวทของอันเคลที่ใช้เรียกไวท์อีเกิ้ล ทั้งหมดมากพอจะทำให้เขาล้มสลบได้เป็นวัน
อินกองยังคงใช้ความคิดต่อไป เขาควรจะทำอย่างไรในสถานการณ์นี้? บุกทะลวงฝ่าฝูงปีศาจ?
เฟลิซีก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะถ่ายพลังเวทให้กับอาคมของเธอ แม้จะยังมีกำแพงเพลิงหลงเหลือบางส่วนจากการควบคุมของภูติอัคคี แต่ด้วยเฟลิซีผู้เป็นนายอ่อนแอลง นั่นทำให้พลังของภูติอ่อนแอลงตามไป
อินกองตัดสินใจออกมาในที่สุด
“กัมมะ! คว้าดาฟเน่ไว้! คารัค นายยังพอยืนไหวไหม?”
เซเทอร์สาวรีบแบกดาฟเน่ขึ้นหลังของนาง ส่วนเจ้าออร์คก็พยายามพยุงร่างกายของมันขึ้น อินกองหันไปมองเฟโรเชียสอายกับเฟลิซี
“เฟโรเชียสอายเตรียมออกวิ่ง พวกเราจะกลับเข้าหอคอยอีกครั้ง”
“รับ… ทราบ”
แม่ทัพเซนทอร์พยุงตัวขึ้นพร้อมตอบออกมาอย่างรวยริน เฟลิซีใช้พลังเวทที่เหลืออยู่น้อยนิดเข้ารักษาเฟโรเชียสอาย ทั้งสองเข้าใจความคิดของอินกอง
ด้วยสภาพของพวกเขาในตอนนี้ การตีฝ่าฝูงปีศาจออกไปจะต้องมีผู้เสียสละแน่นอน
อินกองจึงเลือกที่จะกลับเข้าไปในหอคอย มันง่ายกว่ามากหากพวกเขาเลือกตั้งหลักป้องกันและพักผ่อนอยู่ในนั้น
คณะของอินกองหลงเหลือทหารเซนทอร์อยู่เพียงเก้านาย เฟโรเชียสอายนำทัพคอยระวังให้ระหว่างที่ทั้งหมดออกวิ่ง
โชคดีที่เมื่อไร้การควบคุมจากพลังสีม่วง พวกปีศาจต่างกลัวเกรงคณะของอินกองเกินกว่าจะบุกโจมตี
แม้หอคอยจะชำรุดผุพังลงไปมาก แต่มันก็ยังตั้งตระหง่านอยู่หลายชั้น มีกำแพงและหลังคาคอยป้องกัน ส่วนบริเวณที่เป็นรู พวกเขาก็นำสิ่งของที่หลงเหลืออยู่ภายในมาอุดไว้
คารัคช่วยอินกองปิดทางเข้า มันมองผ่านระหว่างรูช่องว่างเล็กน้อยเพื่อดูสถานการณ์ด้านนอก
“ข้าไม่คิดว่าพวกมันจะบุกเข้ามาโจมตี ดูเหมือนพวกมันจะยุ่งอยู่กับการสู้กันเองเสียมากกว่า”
เฟลิซีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เดเลียกระซิบบางอย่างกับนาง ก่อนจะเดินเข้าหาอินกอง
“ใต้ฝ่าพระบาทเพคะ ข้าพระพุทธเจ้าจะขึ้นไปชั้นบนเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ทางทิศเหนือ ข้าพระพุทธเจ้าเกรงว่า…”
เมื่อแรกที่พวกเขาพบบาโคโรฟ มีปีศาจและสัตว์อสูรจำนวนมากที่ตกอยู่ใตการควบคุมจากพลังสีม่วง แต่ด้วยที่บริเวณนี่อยู่บนเนินและมีโขดหินอยู่มากมาย ทำให้ทั้งหมดไม่สามารถบุกมาในคราวเดียว ทว่าพวกมันก็อาจจะกระจายตัวออกเพื่อบุกเข้ามาจากหลายทิศทาง การเฝ้าสังเกตพวกมันจึงเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว
“เราเข้าใจ ขอฝากด้วย”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งเพคะ”
เดเลียยิ้มออกมาก่อนจะรีบขึ้นบันไดไปชั้นบน อินกองทิ้งตัวลงนั่งแล้วมองไปยังสมาชิกคณะสำรวจ
เหล่าเซนทอร์ต่างสะบักสะบอม บ้างก็บาดเจ็บอย่างรุนแรง
แม้แววตาของเฟโรเชียาอายจะยังคงความดุดัน แต่สีหน้าของเขาก็ไม่สู้ดีนัก
กัมมะถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะวางดาฟเน่ลงแล้วนั่งพัก นางวิ่งตลอดด้วยขาของนาง จึงไม่แปลกที่นางก็อ่อนล้าเช่นกัน
เฟลิซีเดินไปทั่วใช้พลังเวทที่เหลืออยู่เล็กน้อยเข้ารักษาเซนทอร์แต่ละตน
“พักก่อนเถอะครับนูนะ”
สภาพของเฟลิซีก็ไม่ต่างจากพวกเซนทอร์ ด้วยชุดของเผ่าเอลฟ์รัตติกาล ทำให้อินกองเห็นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยแผลของนาง
เฟลิซีส่ายหน้ากลับมาพร้อมตอบด้วยเสียงขี้เล่น
“หลังจากที่ฉันรักษาทั้งหมดก่อน ฉันเป็นถึงองค์หญิงเชียวนะ”
นางยักคิ้วให้เขาแต่อินกองก็รับรู้ว่านางพยายามฝืนยิ้ม เสียงของนางเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย และอินกองก็เห็นเหงื่อไหลจากหน้าผากนาง
‘นางก็เป็นของนางอย่างนี้ละนะ’
เจ้าหญิงแห่งเผ่าเอลฟ์รัตติกาล
แต่ถึงกระนั้น นางกลับเลือกที่จะรักษาเหล่าเซนทอร์ แทนที่จะพักฟื้นพลังเวทและร่างกายของตน
อินกองเคารพในแรงใจของเฟลิซี เขาเอนตัวลงนอนพักโดยไม่กล่าวอะไรเพิ่ม คารัคนั่งพักบริเวณหน้าต่างพลางชำเลืองมองออกไปด้านนอก
“องค์ชายหลับเถอะ ข้าจะคอยระวังทางทิศใต้เอง”
“เราจะผลัดเวรกัน เพราะงั้นปลุกผมด้วย”
สภาพของคารัคก็ไม่ต่างกัน มันกระอักเลือดออกมาหลายครั้ง
แต่เจ้าออร์คหัวเราะออกมาพลางชี้ไปที่เหล่าเซนทอร์
“มีเวรยามให้ผลัดเปลี่ยนอยู่เยอะ พวกเรารอดมาได้ก็เพราะองค์หญิงองค์ชาย เพราะงั้น พักผ่อนไปเถอะ”
แม้จะไม่มาก แต่ก็ถือเป็นการปรนนิบัติที่ดีในสถานการณ์นี้ อินกองเลือกที่จะไม่ดื้อแล้วหลับในที่สุด
‘พักผ่อนให้สบาย นายท่าน’
อินกองได้ยินนางแต่ก็ไม่โต้ตอบอะไร กรีนวินด์ลูบหัวของเขา ก่อนอินกองเข้าสู่ห้วงนิทรา
&
“งั้น นี่ก็คือไวท์อีเกิ้ล?”
ตกดึกคืนนั้น
ทั้งหมดรวมตัวกันรอบกองไฟ มีเนื้อ หนัง กระดูกของเหล่าคาเซียกองอยู่ที่มุมหนึ่ง เหล่าเซนทอร์ออกไปเก็บซากคาเซียเข้ามาระหว่างที่อินกองหลับ
อินกองลูบท้องของเขาก่อนจะตอบเฟลิซี
“ใช่แล้วครับ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่กรีนวินด์ให้ผมเดินทางมาทิศเหนือ”
ทุกสายตาจ้องมองไปยังโล่ที่วางอยู่ด้านข้างอินกอง ถุงมือและแผ่นเหล็กที่สยายออกได้กลับคืนสู่สภาพเดิม รูปร่างของมันไม่ต่างจากโล่ทรงว่าวที่พบเห็นได้ทั่วไป
ทว่าโล่ชิ้นนี้ก็แสดงพลังให้พวกเขาเห็นในการรบ เฟโรเชียสอายจ้องมองก่อนจะเอ่ยออกมา
“ตำนานไวท์อีเกิ้ล ไม่คาดคิด”
เรื่องเล่าของผู้กล้าเซนทอร์ที่ต่อสู้กับเหล่าสัตว์อสูรเมื่อนับพันปีที่แล้ว
มันอาจจะเป็นเพียงนิยายปรัมปราที่กรีนวินด์เล่าให้อินกองฟัง แต่สำหรับเหล่าเซนทอร์แล้ว พวกเขาเติบโตขึ้นมาพร้อมกับเรื่องเล่าแห่งตำนานนี้
สายตาของเหล่าเซนทอร์และกัมมะส่องประกายเลื่อมใสขึ้นมา ก่อนเฟลิซีจะหัวเราะขึ้น
“ดูเหมือนเธอจะเป็นที่โปรดปรานของเทพารักษ์แห่งที่ราบอินคาเอามาก ขอฉันพบนางสักครั้งสิ?”
อินกองไม่ได้พบไวท์อีเกิ้ล เป็นไวท์อีเกิ้ลต่างหาก ที่บินมาหาเขา
แม้เฟลิซีจะไม่รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริง แต่นางก็เดาได้ไม่ยากว่ามันต้องเกี่ยวกันกรีนวินด์
ดาฟเน่เสริมขึ้น
“กระหม่อนสัมผัสได้ถึงพลังแห่งชีวิตอันมหาศาลจากไวท์อีเกิ้ล ยิ่งไปกว่านั้น… กระหม่อมคิดว่าสิ่งที่ประจักษ์ในวันนี้ไม่ใช่พลังที่แท้จริงทั้งหมด”
อินกองเข้าใจได้ในทันที เช่นเดียวกับพสุธากัมปนาท ของวิเศษทั้งสองต่างปลดปล่อยพลังออกมาเพียงเล็กน้อยเพื่อไม่สร้างภาระให้กับร่างกายของอินกองเกินไป
‘เราต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้’
พสุธากัมปนาทแสดงพลังออกมากขึ้นในทันทีที่ร่างกายเขาแปรสภาพเป็นร่างมังกรจำแลง
เฟลิซีเหยียดตัวออก ก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ยังไงก็ตาม โล่นี่เป็นของเธอ ถ้าเธอต้องการ ฉันจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจากทางวังหลวง ถึงมันจะถูกรายงานไป ยังไงโล่นี้ก็เป็นของเธออยู่ดี”
ทางวังจอมมารไม่ได้ยึดผลงานทั้งหมดไปจากเหล่าทายาท แม้ทั่งวัชรกรจะถือเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ ในกรณีของไวท์อีเกิ้ล มันถือเป็นสมบัติของฉัตร
เฟโรเชียสอายจ้องมาที่อินกองก่อนจะตอบรับออกมา
“กรีนวินด์ ส่งมอบ ไวท์อีเกิ้ล ลูกหลานที่ราบ ยอมรับ องค์ชายต้องการ ทั้งหมดเคียงข้าง”
อินกองเปรียบเสมือนผู้สืบทอดตำนานจากผู้กล้าไวท์อีเกิ้ล ผู้กล้าแห่งเหล่าเซนทอร์และผู้ส่งสาสน์แห่งกรีนวินด์ในตำนาน สำหรับเหล่าเซนทอร์แล้ว พวกเขามองอินกองอยู่สูงกว่าเหล่าทายาทตนอื่นมากนัก
เฟลิซีจ้องเฟโรเชียสอายอย่างเหลือเชื่อ แต่ดูแล้วแม่ทัพเซนทอร์ไม่มีทีท่าว่าพูดเล่น อินกองขอบคุณเฟโรเชียสอายก่อนจะหันไปทางเฟลิซี
“ผมขอไปที่หลุมศพไวท์อีเกิ้ลสักพักได้ไหม? ผมคิดว่าผมควรจะไปเคารพสักครั้ง”
เป็นความคิดที่ดูไม่ผิดแปลกเมื่อเขาได้รับไวท์อีเกิ้ล(โล่ชีวาตม์) เฟลิซีกระพริบตาก่อนจะถามออกมา
“ตามลำพัง?”
“ไม่ครับ ผมจพาคารัคไปด้วย ผมคิดว่าพวกเราไม่ควรอยู่ที่นี่นาน เพราะงั้นผมจะออกไปตอนนี้”
พวกเขาตั้งใจออกจากหอคอยแล้วมุ่งหน้าลงทิศใต้ในยามฟ้าสาง แม้ตอนนี้เป็นกลางคืน แต่ด้วยแผนที่ย่อแล้ว ทำให้เขามั่นใจที่จะเดินทางไปที่หลุมศพ
เฟลิซีถอนหายใจก่อนจะพยักหน้า
“ฉันก็อยากจะไปด้วย เอาเถอะ ระวังตัวด้วยแล้วกัน”
หลังจากฝืนสังขารรักษาสมาชิกทั้งหมด ร่างกายของเฟลิซีอ่อนแออย่างมาก แม้นางจะสามารถพูดคุยได้ แต่นางต้องพักผ่อนมากกว่านี้ก่อนจะสามารถวิ่งหรือเดินตามปกติ
อินกองยิ้มออกมาก่อนจะหันไปทางเฟโรเชียสอาย
“ผมขอฝากนูนะด้วยนะครับ”
“รับทราบ”
เฟโรเชียสอายตอบออกมาอย่างหนักแน่น เมื่อตกลงเรียบร้อยอินกองก็ลุกขึ้น
“ไปกันเถอคารัค”
“รับทราบ”
แล้วอินกองก็ขึ้นขี่หลังเดรโก้
&
หลุมศพของไวท์อีเกิ้ลอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
อินกองมองแผนที่ย่อแล้วเลือกเดินทางไปอย่างไม่รีบร้อน
‘สถานะและทักษะของเราตอนนี้ถือว่าไม่เลวเลย’
เป็นเรื่องที่ไม่แปลกเมื่ออินกองเพิ่มระดับเลเวลในเวลาอันรวดเร็ว ในบทกวีแห่งผู้กล้าตัวละครจะได้ค่าสถานะและทักษะที่มากขึ้นเมื่อระดับเลเวลสูงขึ้น
‘พูดสั้นๆก็คือ เร็วโคตร’
สำหรับเกม RPG ทั่วไป ตัวละครจะเก็บค่าประสบการณ์เพื่อเพิ่มเลเวลจากเหล่าสัตว์อสูรและหัวหน้าพวกมัน แต่อินกองก็ไม่เคยเล่นเกมอะไรที่สามารถเพิ่มเลเวลได้เร็วขนาดนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงเวลาระหว่างปะทะกับหัวหน้าสัตว์อสูรแต่ละตนก็สั้นอย่างเหลือเชื่อ
อินกองค้นพบทั่งวัชรกร เขาเดินทางกลับวังจอมมาร แน่นอนว่ายังไม่มีการต่อสู้อะไรที่วัง
หลังจากนั้นก็เดินทางมายังที่ราบอินคา ต่อสู้กับฝูงคาเซีย รับพลังจากพยานอันเคล เพิ่มเลเวล
ถัดจากนั้นก็ปะทะกับมุสตาฟาแล้วเพิ่มระดับเลเวลอีก
แล้วก็การต่อสู้กับบาโคโรฟ
‘นับจากที่วัดศิลา ก็ห้าเลเวลได้?’
หากเลเวลของอินกองยังเป็นเพียงแค่เลขหลักเดียวมันก็คงดูไม่แปลก แต่นี่ระดับเลเวลของเขาขึ้นถึงสองหลักแล้ว และอีกไม่นานเขาก็จะเข้าถึงเลเวล 20
ต้องขอบคุณการต่อสู้กับหัวหน้าสัตว์อสูรอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระดับเลเวลของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงแม้แต่ละการต่อสู้จะเป็นวินาทีความเป็นตายสำหรับเขาก็ตาม
“องค์ชาย ข้าเห็นบางอย่างด้านหน้า”
เสียงคารัคดังขึ้น อินกองมองไปยังทิศที่เจ้าออร์คชี้
“เละตุ้มเป๊ะ… ”
เมื่ออินกองเข้าไปใกล้ เขาก็เห็นสภาพอันยับเยิน แท่นหินส่วนใหญ่พังทลายหลังจากที่ไวท์อีเกิ้ล(โล่ชีวาตม์)บินพุ่งทะลุออกมา
กรีนวินด์กระซิบขึ้นที่ข้างหูของเขา
‘นายท่านอย่าได้ห่วง วิญญาณของผู้กล้าจะไม่โกรธเคืองท่านแต่อย่างใด กลับจะยินดีเสียด้วยซ้ำ ศัสตราที่แกร่งกล้าย่อมคู่กับผู้กล้าที่คู่ควร ของเหล่านี้จะมีประโยชน์มากกว่าหากมันถูกใช้กำจัดศัตรูในสนามรบ’
หมายความว่าเขาไม่ต้องเกรงใจแต่อย่างใด อินกองปรับทัศนคติเป็นเหมือนตัวละครในเกม RPG ที่พบหีบสมบัติ
“ไปกันเถอะ”
หลุมศพนี้เปรียบเสมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่เหตุผลหลักที่เขามาที่นี่ก็เพื่อ รวบรวมของวิเศษที่หลงเหลือ
#tomb raider ถ้าถือปืนคู่นี่ เป็นลาร่าครอฟได้เลย
นอกจากไวท์อีเกิ้ล(โล่ชีวาตม์)แล้ว ภายในยังหลงเหลือของวิเศษอีก ทั้งหมดเป็นของที่ผู้กล้าไวท์อีเกิ้ลใช้ในสมัยที่เขายังมีชีวิต
‘ดูเหมือนพลังจากไวท์อีเกิ้ล(โล่ชีวาตม์)จะช่วยทำให้ของวิเศษชิ้นอื่นคงสภาพใช้การได้อยู่’
มิเช่นนั้น การที่ของวิเศษเหล่านี้จะยังคงใช้การหลังจากผ่านมาร่วมพันปีดูเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย
หลังจากสงบนิ่งทำความเคารพ อินกองก็เริ่มที่จะขุดหลุมศพโดยมีเจ้าออร์คเป็นผู้ช่วย
“เรื่องนี้ก็เป็นความลับสินะ?”
“แน่นอน ความลับ อาฮ์ ดูขวานชิ้นนี่สิ นี่สำหรับคารัค”
สิ่งแรกที่ทั้งคู่พบก็คือขวานศึก คารัครับรู้ถึงพลังเวทที่แผ่ออกมาจากขวาน เจ้าออร์คพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“องค์ชายแค่มาทำความเคารพหลุมศพ ทั้งหมดนี้ผุพังไปตามกาลเวลา”
#นี่มันนนน ค่าปิดปากสินะ ┐(︶▽︶)┌
ภายในหลุมศพมีทั้งหอก ดาบ แม้กระทั่งเครื่องประดับ แม้ทั้งหมดจะยังคงสภาพใช้งานได้จากพลังเวทของไวท์อีเกิ้ล(โล่ชีวาตม์) แต่สภาพของพวกมันก็ไม่เต็มร้อยเหมือนสมัยที่ผู้กล้าไวท์อีเกิลใช้
ทั้งหมดล้วนแผ่พลังเวทออกมาไม่ต่างจากขวานที่พวกเขาพบ
‘ขวานอันนั้นเหมือนจะเสริมพละกำลัง ส่วนหอกนี้… เหมือนจะเพิ่มความเร็วฟื้นฟูร่างกาย?’
พลังเวทในดาบทำให้มันคมอยู่เสมอ คันศรเพิ่มทัศนวิสัยให้กับผู้ใช้ แม้เหล่าเซนทอร์จะเชี่ยวชาญเรื่องธนูอยู่แล้ว แต่ด้วยคันศรนี้ ก็เปรียบเสมือนมีกล้องเทเลสโคปติดตา
อาวุธทั้งหมดดูแข็งแกร่งมาก อินกองไม่สามารถคาดเดาได้ว่าทั้งหมดสร้างมาจากอะไร แต่มันต้องพิเศษกว่าของทั่วไปแน่นอน
‘ซักวันนึง เราจะสามารถใช้ของพวกนี้ได้ทั้งหมด’
แม้เขาจะไม่สามารถใช้มันได้ในตอนนี้ แต่เขาก็เก็บรวบรวมทั้งหมด เขารวบรวมแม้กระทั้งดาบเหล็กทมิฬคู่กายของบาโคโรฟ
หลังจากการปล้นสุสานเสร็จสิ้น อินกองก้มโค้งคำนับหลุมศพอีกครั้ง ก่อนจะรวบรวมเศษหินที่กระจัดกระจายมาทำป้ายสุสานใหม่ มันเป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำให้ผู้กล้าไวท์อีเกิ้ลได้
‘เอาละ ทีนี้ก็เหลืองานชิ้นสุดท้าย’
อินกองมองไปยังไวท์อีเกิ้ล(โล่ชีวาตม์) ก่อนแสงสีเขียวจะสว่างวาบขึ้นมาราวกับรอคอยเวลานี้มานาน
ร่างของกรีนวินด์ปรากฏขึ้นจากไวท์อีเกิ้ล(โล่ชีวาตม์) คารัคแปลกใจที่เห็นนางโผล่ออกมาจากโล่ ส่วนอินกองก็ได้แต่ส่งยิ้มให้นาง
“สุดยอด ทำได้ดีมาก เยี่ยมที่สุด”
อินกองลูบหัวกรีนวินด์ที่นั่งส่ายขาบนไวท์อีเกิ้ล(โล่ชีวาตม์) เทพารักษ์แห่งที่ราบกระพริบตายิ้มอย่างพึงพอใจไม่ต่างจากเด็ก
“ข้ารู้สึกเหมือนถูกแกล้ง แต่มันก็ไม่เลว พูดต่อเลยนายท่าน”
อินกองพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ในระหว่างที่เขาสรรเสริญเยินยอท่านเทพารักษ์ คารัคได้แต่อ้าปากค้างระหว่างมองดูทั้งคู่
หลังจากอินกองชมเชยนางได้ราวสิบนาที นางก็หายไปอย่างพึงพอใจ ที่สิงสถิตของนางได้เปลี่ยนจากเศษไม้ที่อินกองเหน็บเอวเป็นไวท์อีเกิ้ล(โล่ชีวาตม์)
อินกองมองไปยังเส้นขอบชายแดนทางทิศเหนือหลังจากเก็บของวิเศษทั้งหมดเข้าช่องเก็บของ
พลังสีม่วงเข้าครอบงำเหล่าสัตว์อสูรทางทิศเหนือ
แต่ทั้งหมดจบแล้วจริงหรือ? สาเหตุทั้งหมดมาจากบาโคโรฟจริงหรือ?
ถึงกระนั้นก็ยังมีเรื่องที่คาใจอินกองอยู่ ทำไมบาโคโรฟถึงเลือกจะโจมตีทิศใต้? มันรู้เกี่ยวกับความลับของวัดศิลาได้อย่างไร?
บางทีเลยเขตชายแดนไป อาจจะมีบางอย่างอยู่อีกก็เป็นได้
“องค์ชาย พวกเรากลับกันแต่เท่านี้เถอะ”
คำพูดของคารัคทำให้อินกองยิ้มออกมาก่อนพยักหน้า
“นายพูดถูก”
อินกองไม่มัวโอ้เอ้ เขาทำหน้าที่ของเขาเสร็จสิ้น งานที่เหลือเป็นหน้าที่ของทางวังจอมมาร
“ไปกันเถอะ เมว่า”
เจ้าเดรโก้ร้องครางออกมาก่อนพวกเขาจะเดินทางกลับไปยังหอคอยสังเกตการณ์
&
ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่างในยามราตรี
ในมุมที่มืดมิดและแสนลึก
ทรราชเอนคิดูเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าในรอบหลายทศวรรษ
ในฐานะพญามังกรที่ถือกำเนิดขึ้นจากลาวา การก้มมองเหล่าสิ่งมีชีวิตเบื้องล่างสร้างความพึงพอใจมากกว่าการแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน ทว่าเอนคิดูในวันนี้กลับเงยหน้าขึ้น มีบางสิ่งเรียกขานเขา
เอนคิดู
“อันเคล”
หนึ่งในหกมังกรบรรพกาลที่คอยปกป้องโลกใบนี้ พญามังกรตนแรกที่ถูกสังหาร
การตายของนางเป็นเรื่องในอดีตที่ล่วงเลยมานับพันปี แต่เจตจำนงของนางยังคงอยู่ในโลกนี้
เสียงเรียกขานของนางลอยมายังเอนคิดูผ่านตามสายลม
เอคิดูไม่กล่าวเอ่ยอะไร เขาเพียงแต่แผดเสียงคำรามลั่นก่อนจ้องมองไปยังความลี้ลับเหนือท้องฟ้า
อาณัติ รณการ ทุพภิกขภัย อาสัญ
สี่อาชาผู้นำพาซึ่งวันสิ้นโลก
ฟันเฟืองที่หลับไหลมานานได้เริ่มเดินอีกครั้ง
จบบทที่ 8 – ขุดค้น เริ่มบทที่ 9 – พิเศษ