Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 7
อินกองร่วมทานมื้อเที่ยงกับคริสต์และเคทลิน ดูเหมือนทั้งคู่จะพาพ่อครัวส่วนตัวมาด้วย เพราะอาหารที่ออกมาเรียกได้ว่าคนละเรื่องกับมื้อเช้าของอินกองเลย
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อย เขาและคารัคก็เดินทางกลับค่าย
‘คนแรกที่รู้ความลับนี้ ก็น่าจะเป็นแซเฟียร์นี่ละนะ’
ความลับในชาติกำเนิดของเคทลิน
เธอเป็นลูกอย่างลับๆของราชินี เอเลน มูนไลท์ กับ กาลาฮัด ผู้เป็นหนึ่งใน 5 แม่ทัพองครักษ์หลวง
แซเฟียร์ใช้สิ่งนี่เป็นข้ออ้างระดมพลเพื่อกำจัดคริสต์ เคทลิน และราชินีเอเลนให้พ้นทาง
ทั้งสามต่อสู้ขัดขืน และทั้งสองฝ่ายต่างก็บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
คริสต์ เคทลิน และเอเลน ตายในที่รบ ส่วนเผ่าไลแคนโทรปก็เรียกว่าสูญพันธุ์เลยทีเดียว
ด้านกองทัพของเหล่าพี่น้องที่เป็นคู่แข่งแซเฟียร์ ก็อ่อนกำลังลง
ส่วนแซเฟียร์ที่เป็นคนก่อเรื่อง เลี่ยงการปะทะทำให้กองกำลังของเขาเสียหายน้อยมาก
‘หลังจากการต่อสู้นั่น ไม่มีใครกล้ามองข้ามอิทธิพลของแซเฟียร์’
หรือก็คือ มันจะเป็นผลดีสำหรับอินกองมาก ถ้าไม่มีการกวาดล้างเคทลินเกิดขึ้น
‘หรือจะเอามาใช้ประโยชน์แบบแซเฟียร์ดี?’
อินกองรู้สึกผิดกับความคิดเลวร้ายในหัว นี่เขาเพิ่งจะร่วมทานอาหารกับทั้งคู่ และจะพูดตรงๆ เขาชื่นชอบเคทลินมากกว่าคริสต์เสียอีก ใบหน้าของเธอยังคงปรากฎอย่างชัดเจนในหัวเขา
‘ช่างมันไปก่อนละกัน ไว้แก้ปัญหาตรงหน้าให้เสร็จก่อน ค่อยกลับไปคิด’
กว่ามันจะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นก็อีกหลายปี เขายังพอมีเวลาให้คิดอยู่
‘ไม่ว่าจะเอามาใช้หรือว่าจะช่วย ยังไงซะเราก็ต้องหากำลังพลของตัวเองให้ได้ก่อน’
แล้วเขาก็ได้ข้อสรุปเดียวกับเมื่อเช้า ไม่ว่าจะทำอะไรเขาต้องมีกองกำลังของตัวเองเสียก่อน
“คารัค เตรียมหน่วยสำหรับลาดตระเวนที พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางหลังทานมื้อเช้า”
“ตัดสินใจได้ดี”
คารัคยืนยันด้วยใบหน้าปลื้มปิติ อาหารที่ค่ายของเคทลินสร้างความประทับใจให้เขาอย่างมาก
‘จะว่าไปเราก็ได้ทักษะ นักชิม มาด้วยนี่นะ’
นักชิม ขั้น1 ทักษะที่ดูแล้วไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรในการรบ ทำให้เขาคิดที่จะปล่อยมันทิ้งไว้
‘มันก็แค่เอาไว้วิจารณ์อาหารเฉยๆ ไม่ช่วยให้เราทำอาหารเก่งขึ้นไม่ใช่หรือไง?’
เปล่าประโยชน์ที่จะเก็บมาคิด อินกองหันไปสั่งคารัคอีกครั้ง
“แล้วมื้อเย็นผมขอเป็นเนื้อวัวนะ”
“รับทราบ”
อินกองเดินกลับเข้าไปพักในกระโจม พออยู่คนเดียว เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
นี่เขาได้เข้ามาอยู่ในโลกอื่นจริงๆ โดยไม่มีอะไรบ่งบอกว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
อินกองสงสัยว่าทำไมเขาถึงมีความสามารถราวกับอยู่ในเกม
อาชีพเขาคือ พระเอก แถมเอกลักษณ์เขาก็เป็น อาชาแห่งอาณัติ
อินกองยังมีคำถามอีกมากมาย แต่เลือกที่จะเก็บมันไว้ก่อน
‘เราควรจะฝึกวิชาดาบไว้ก่อน’
สิ่งที่สำคัญที่สุดคงไม่พ้นการเพิ่มความสามารถให้ฉัตร โดยระหว่างนั้นเขาก็ต้องหาข้อมูลและกำลังพลไปด้วย
อินกองนำดาบไม้ออกมาใช้ฝึกต่อ
เขาเลื่อนขั้นเรื่อยๆ เมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นมาเยือน เขาก็มาถึงเลเวล 5
&
“วันนี้แกจะไม่เป็นอะไรแน่นะ?”
คารัคถามขณะที่เริ่มออกเดินทาง ถึงมันจะมีรอยยิ้มบนหน้า แต่สายตามันแสดงความกังวล
“ผมไม่เป็นอะไรหรอก”
ถึงมันจะเป็นออร์คตัวใหญ่ไร้มารยาท แต่อินกองก็เริ่มชินกับความตรงไปตรงมาของมัน
“ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะเปลี่ยนกันได้ในชั่วข้ามคืน เอาเถอะ ยังไงแบบนี้ก็น่าจะดีแล้วละ”
คารัคเพิ่งพบกับฉัตรแค่เพียง 2 วันเท่านั้น อินกองเลือกที่จะไม่โต้ตอบแล้วหันไปดูกองทหาร
รวมคารัคด้วยแล้ว ทั้งหมดเป็น ออร์ค 31 ตน
พวกนี้เป็นกองกำลังท้องถิ่นที่นำโดยคารัค
‘เอาเถอะ ถ้าให้เลือกเราก็ยังอยากจะฝึกต่อ’
เพราะเขาถูกส่งมายังโลกที่ไม่เคยอยู่อย่างกระทันหัน มันเลยทำให้เขานอนไม่หลับทั้งคืน การวาดดาบไปรอบๆมันก็ช่วยให้เขาลืมความกังวลไปได้ จนรู้สึกตัวอีกทีก็เช้าแล้ว
ผลลัพท์ก็ออกมาชัดเจน ด้วยความที่เขายังเลเวลน้อย เขาจึงเพิ่มเลเวลได้ง่ายมาก
เขาอดภูมิใจไม่ได้ มันก็เหมือนกับที่เวลาคนเราตั้งใจอ่านหนังสือ แล้วก็ได้คะแนนสอบออกมาดีมาก
‘เราอยากได้ดาบมาใช้เก็บเลเวลต่อแฮะ’
ถึงสมรรถภาพของฉัตรจะต้อยต่ำ แต่เพราะทุกครั้งที่เขาเลเวลเพิ่มขึ้น ความอ่อนล้าทั้งหมดของร่างกายจะฟื้นฟูกลับมา นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาสามารถรำดาบได้ทั้งคืน
‘หึหึหึ ข้าคือ จู-อินกอง ผู้ที่เก่งกาจกว่า นาย ก ถึง 1.3 เท่า!’
ตอนนี้อินกองมีสถานะแต่ละอย่างเป็น 13 ทำให้เขาแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปแล้ว
เขาเลือกที่จะไม่ใช้แต้มพิเศษและแต้มทักษะที่ได้มา ตอนนี้เขายังเพิ่มเลเวลได้ง่ายอยู่ เขาคิดจะเก็บไว้ใช้เมื่อเพิ่มเลเวลได้ยากยามเลเวลสูง
‘ว่าแต่ เราจะเรียนพวกเวทมนตร์ พลังจิต ทั้งหลายยังไง? หรือว่าต้องมีคนสอน?’
ในระหว่างที่เขาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เขาก็เดินทางมาถึงพื้นที่ลาดตระเวนเรียบร้อย
บริเวณนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าสายฟ้าชาด แต่ด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์พวกมันจึงย้ายที่
ซึ่งจะปล่อยไว้เฉยๆก็ดูไม่ดีแน่
‘มาถึงนี้แล้ว ให้เขียนแค่รายงานลาดตระเวนอย่างเดียวก็ใช่ที’
ถึงเคทลินบอกว่าที่นี่ปลอดภัย แต่อินกองก็ยังไม่ปักใจเชื่อเสียสนิท ในระหว่างที่ยืนยันกับแผนที่ในมือคารัค อินกองก็ตรวจเช็คบริเวณโดยรอบผ่านทางแผนที่ย่อของเขา
หลังจากผ่านไปประมาณ 20 นาที
“เอิ่ม”
จู่ๆอินกองก็หยุดเดิน คารัคจึงสั่งให้ทหารหยุดเคลื่อนขบวนแล้วหันมาถามไถ่
“เกิดอะไรขึ้น? หรือว่ามันยากเกินไป? หรือว่าขาไปเตะโดนอะไรเข้า?”
คารัคถามเพราะท่าทางอินกองเหมือนคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ อินกองชี้ไปที่แผนที่แล้วถาม
“แผนที่อันนี่ถูกแน่นะ?”
“มีอะไรผิดหรือไง?”
“ก็ไม่มีอะไรผิดหรอก แค่…”
แผนที่ในมือคารัคแสดงแค่ทางตรงธรรมดา ในขณะที่แผนที่ย่อของอินกองบอกว่ามีซอกเล็กๆ
มันหมายความว่ายังไง?
‘นี่มัน ทางลับ!’
มันไม่อยู่บนแผนที่ ก็แปลว่าคนทำแผนที่ไม่รู้ว่ามีมันอยู่
แต่การที่มีโผล่ในแผนที่ย่อก็แสดงว่ามีเส้นนี้อยู่
‘ถ้านี่เป็นในเกม มันต้องมีฉากพิเศษแน่ๆ’
โดยปกติ ทางลับมักจะมีผู้เฝ้าสมบัติ ยิ่งนี่เป็นภารกิจลาดตระเวน ไม่ว่าจะเจออะไรก็เป็นข่าวดี
‘อาจจะมีศัตรูโผล่มาก็จริง…แต่เรามีคารัค!’
เขามีคารัคกับออร์คอีก 30 ตน เขาไม่คิดว่าจะมีปัญหา เว้นแต่จะมีศัตรูโผล่มาจำนวนมาก
“คารัค ตรงนี้เดี๋ยวผมขอนำทางเอง”
คารัคหรี่ตาลงเบาๆ แล้วก็หัวเราะลั่น
“ตาเป็นประกายเลยเชียว ไฟติดแล้วละสิ”
พออินกองเปลี่ยนมาเป็นคนนำ เส้นทางก็เปลี่ยนไป พวกออร์คก็เอะใจอยู่บ้างแต่เพราะเห็นคารัคเดินตามก็เลยไม่ได้ทักท้วงอะไร
ทางลับก็ลับสมชื่อ หลังจากเดินฝ่าพุ่มหญ้าไปพอสมควร ก็มีทางขนาดเล็กปรากฏขึ้น
อย่างที่อินกองคาดเอาไว้ นี่ไม่ใช่เส้นทางธรรมดา เมื่อเดินไปตามทางจนสุดก็พบประตูศิลาขนาดใหญ่ มีอักขระแกะสลักอยู่โดยรอบ มีมอสขึ้นเต็มไปหมด ยากแก่การอ่าน
“โอ้ แกรู้จักที่นี้ได้ยังไง? หรือว่าองค์ชายจะเป็นจอมเวท?”
อินกองยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ผมก็แค่หาเจอ”
อินกองยังไม่ใช่จอมเวท เขาอาจกำลังจะเป็น แต่ยังไม่ใช่ในตอนนี้
อินกองยักไหล่แล้วสั่งให้เหล่าออร์คทำความสะอาดพื้นที่โดยรอบ
ประตูข้างหน้ามีขนาดใหญ่พอที่คารัคจะลอดได้อย่างสบาย แต่พวกเขากลับไม่สามารถเปิดมันได้ ดูเหมือนว่าจะถึงเวลาที่ต้องใช้กำลัง
“เอายังไงดีองค์ชาย? ให้พังเข้าไปเลยไหม?”
อินกองมองประตูพลางคิดพิจารณา
‘เหมือนกับเวลาพระเอกตกเขาละนะ อย่างมากก็แค่ขาหัก ถ้าเป็นลูกกระจ๊อกก็ตายห่าไปละ’
ไม่ว่าพระเอกจะทำอะไร ก็จะไม่มีทางเกิดเรื่องร้ายแรง
อินกองจ้องมองทักษะ พลังพระเอก ขั้น1 ของเขา แล้วพยักหน้าสั่งคารัค
“พังโลด”
คารัคยกค้อนมาถือในท่าเตรียม