Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 73
“แน่นอนว่าพวกนั้นเป็นช่างเหล็ก องค์ชายรู้เกี่ยวกับอมิตาภามากน้อยแค่ไหน?”
ปราชญ์ดาบถามพลางลูบเคราอย่างอยากรู้อยากเห็น ถือว่าโชคยังเข้าข้างอินกองที่ท่าทางของปราชญ์ดาบไม่ได้ส่อแววระแวง
ความตื่นเต้นทำให้อินกองตะโกนร้องชื่อเต็มของอมิตาภาออกมา และนั่นถือเป็นข้อผิดพลาด
อินกองทำสี่หน้าตื่นเต้นและเล่าต่อเพื่อปกปิดความกระวนกระวายเอาไว้
“เคยมีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับช่างตีเหล็กผู้สืบทอดเปลวเพลิงแสงสุดท้าย ผมไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง”
อมิตาภาเป็นทั้งเพศชายและหญิง และด้วยการปรากฏตัวในหลายเพศและวัย บางท้องที่จึงเล่าขานอมิตาภาเป็นชื่อเรียกของภาคี ไม่ใช่เป็นเพียงบุคคลหนึ่ง
อินกองก็ไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของอมิตาภาเช่นกัน ทฤษฎีที่เหล่าผู้เล่นจากเกมบทกวีแห่งผู้กล้าตั้งกันเอาไว้ก็คือ อมิตาภาอาจจะเป็นอีกหนึ่งมังกรรบรรพกาลที่สามารถแปลงร่างได้หลากหลาย
‘ไม่งั้นก็เหมือนกรีนวินด์’
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ชื่ออมิตาภาก็สื่อถึงช่างตีเหล็ก สาวกแห่งแสงสุดท้าย
แสงสุดท้ายคือชื่อเรียกของเปลวไฟที่เกิดขึ้นในยามที่โลกถูกสร้าง ทั้งที่เป็นปฐมเพลิง แต่กลับได้ชื่อว่าแสงสุดท้ายเพราะคำทำนายบางอย่าง
โลกาจักพินาศยามแสงสุดท้ายดับสูญ
แสงแรกและแสงสุดท้าย…
สิ่งที่เกิดและดับพร้อมกับโลก
ด้วยความเชื่อที่มีมากมายของตำนานแสงสุดท้าย แม้จะไม่ได้รับการอวยพรจากเทพเจ้าก็ตาม แต่ยุทโธปกรณ์ที่สร้างด้วยแสงสุดท้ายจะมีรัศมีเทพแฝงอยู่
การพบกับอมิตาภาในเกมบทกวีแห่งผู้กล้าเรียกได้ว่าขึ้นอยู่กับดวง เวลาและสถานที่การปรากฏตัวของอมิตาภาจะเกิดอย่างสุ่ม
ในการเล่นเกมจนจบทั้งสิบรอบ อินกองพบกับอมิตาภาเพียงสามครั้งเท่านั้น
ถึงแม้การหาตัวอมิตาภาจะเป็นการยากมาก
แต่การพบกับช่างเหล็กที่มีฝีมือสูงสุดของโลกมารก็คุ้มค่า
อินกองไม่ได้พูดถึงรายละเอียดจากเกมเหล่านี้ เขาบอกไปแค่ว่าอมิตาภาเป็นช่างเหล็กตามตำนานที่สามารถใช้พลังจากแสงสุดท้ายได้
‘พวกนี้ก็เป็นเพียงข้อมูลจากคู่มือเกมละนะ’
ปราชญ์ดาบพยักหน้าให้กับเรื่องเล่าของอินกองเล็กน้อย
“องค์ชายเข้าใจถูกแล้ว อมิตาภาเป็นช่างเหล็กที่ข้องเกี่ยวกับแสงสุดท้าย พวกนั้นมีตัวตนอยู่จริง ไม่ได้เป็นเพียงตำนานแต่อย่างใด”
ปราชญ์ดาบมองไปทางเฟลิซีก่อนจะเริ่มอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับแสงสุดท้าย ซึ่งเรื่องที่ว่าเป็นเรื่องที่อินกองรับรู้อยู่แล้ว
ในฐานะนักสำรวจมืออาชีพ แน่นอนว่าข้อมูลนี้ดึงความสนใจของเฟลิซีได้มากทีเดียว ทว่าสิ่งที่นางอยากรู้มากที่สุดกลับเป็นสิ่งอื่น
“ฉัตร เธอไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากที่ไหน? เธอยังไม่สามารถเข้าเยี่ยมหอสมุดได้ไม่ใช่รึ?”
แม้แต่เฟลิซียังเพิ่งจะได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับแสงสุดท้ายเป็นครั้งแรก เช่นนั้นฉัตรไปได้ยินตำนานเหล่านี้มาจากที่ไหนกัน?
ฉัตรรู้กระทั้งเรื่องเกี่ยวกับทั่งวัชรกร นี่บ่งบอกว่าเขามีความรู้เกี่ยวกับตำนานโบราณค่อนข้างมาก
อินกองได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน
“เอ่อ… มันก็แค่เรื่องเล่าที่ผมเคยได้ยินสมัยเด็กๆ”
เสียงของเขาฟังดูไม่มีน้ำหนักแต่อย่างใด นั่นเพราะนี้เป็นข้ออ้างที่เขาเพิ่งคิดขึ้นมาเฉพาะหน้า แต่ข้ออ้างนี้กลับใช้ได้ผล
“อ่า ราชินีสมิตา… ขอโทษนะฉัตร”
เฟลิซีก้มหน้าสำนึกผิดราวกับนางพูดถึงเรื่องที่ไม่ควรกล่าวถึง
ราชินีองค์ที่ห้า สมิตา อิกษณา…
ในบรรดาราชินีทั้งห้าของจอมมาร มีเพียงหนึ่งพระองค์เท่านั้นที่ลาจากโลกไปแล้ว นั่นก็คือมารดาของฉัตร
อินกองรีบเกาหัวกลบเกลื่อน
“ไม่เป็นไรครับ ก็แค่อดีต”
การเข้าใจผิดของเฟลิซีช่วยให้อินกองกลบเกลื่อนเรื่องราวได้ง่าย ถึงมันจะทำให้เขารู้สึกผิดก็ตาม
คารัคที่เห็นสีหน้าของทั้งสองพยายามดึงประเด็นกลับมา
“ถ้าอย่างนั้น อมิอะไรนั่นก็คือช่างเหล็กที่เก่งที่สุดและก็เป็นเพื่อนของปราชญ์ดาบ”
“เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากเพคะ”
กัมมะที่นิ่งเงียบมานานกล่าวขึ้นสนับสนุนสมทบคารัค นางเข้าใจถึงเจตนาของเจ้าออร์คที่ต้องการจะเปลี่ยนบรรยากาศ
อินกองหัวเราะออกมาตามหลังขุนพลทั้งสองอย่างเห็นด้วย
สุดยอดนักดาบกับสุดยอดช่างเหล็ก ตำนานย่อมเข้าคู่กับตำนาน
ปราชญ์ดาบโบกปัดราวกับไม่ใช่เรื่องวิเศษอะไร ก่อนจะขยับดาบที่ห้อยอยู่ที่เอวขึ้นมาแสดงให้ผู้ชมตรงหน้า
“เจ้านั่นเป็นผู้ตีดาบเล่มนี้ขึ้นมา แน่นอนว่าดาบของมิตรก็ถูกสร้างขึ้นโดยพวกนั้น”
ดาบที่ถูกแสดงมีรูปร่างที่เรียบง่าย ฝักดาบไม่มีรอยสลักหรือการตกแต่งแต่อย่างใด มีเพียงสายรัดสีแดงที่ร้อยอยู่บริเวณด้ามดาบเท่านั้น
แต่ไม่มีใครกล้าคิดว่าดาบของปราชญ์ดาบจะเป็นเพียงอาวุธธรรมดา ยิ่งเมื่อมันถูกสร้างขึ้นโดยสุดยอดช่างเหล็กด้วยแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ปราชญ์ดาบยังบอกอีกว่าดาบของมิตรก็ถูกสร้างขึ้นโดยอมิตาภาเช่นกัน
แน่นอนว่าในบรรดาดาบที่สามารถหาได้ภายในโลกมาร ดาบที่ดีที่สุดย่อมเป็นดาบของจอมมาร
และอินกองก็รู้จักอีกหนึ่งผลงานของอมิตาภา
อาวุธที่ดีที่สุดในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า อาวุธที่เหนือยิ่งไปกว่าดาบของจอมมาร…
ดาบวีรชน
แม้วัตถุดิบทั้งหมดจะถูกจัดเตรียมโดยผู้พิทักษ์ควิเอียนผู้เป็นหนึ่งในหกมังกรบรรพกาล และตัวดาบก็ได้รับการปลุกเสกโดยพญามังกรตนนี้เช่นกัน ถึงกระนั้นผู้ที่ลงมือในการสร้างที่แท้จริงก็คืออมิตาภา
ความตื่นเต้นของอินกองแน่นอยู่เต็มอก การพบกับอมิตาภาเป็นเรื่องเหมาะแก่การตั้งตารอคอย
เฟลิซี คารัค และกัมมะต่างก็พยายามข่มความตื่นเต้นเอาไว้ เมื่อรับรู้ถึงตัวตนผู้สร้างดาบของจอมมาร ข้อกังขาในความสามารถของอมิตาภาก็หมดไป
“เจ้านั่นมักจะเก็บตัวปลีกวิเวกและชอบความสันโดษ แต่ถ้าเอาชื่อข้าไปใช้ อมิตาภาก็น่าจะยอมพบด้วย ส่วนเรื่องที่ว่าจะยอมรับงานหรือเปล่า คงต้องขึ้นกับความสามารถเจรจาขององค์หญิงองค์ชายเอง”
ปราชญ์ดาบยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะก้าวถอยหลัง เป็นการบ่งบอกว่าความช่วยเหลือหมดเพียงเท่านี้
คณะของอินกองอาจจะดั้นด้นไปพบอมิตาภา เพื่อที่จะพบการปฏิเสธอันไร้เยื่อใยก็เป็นได้
ทว่าเฟลิซียิ้มออกมาอย่างไร้กังวล
“เรื่องนั้น เดี๋ยวฉัตรก็คงจัดการอะไรซักอย่างเอาเอง ที่ฉันต้องทำก็แค่อาศัยไปด้วย”
“ถูกต้อง ถ้าเป็นองค์ชาย ก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง”
‘ข้าก็คิดเยี่ยงนั้นเช่นกันนายท่าน’
“ข้าพระพุทธเจ้าเชื่อมั่นในตัวใต้ฝ่าพระบาทเพคะ”
เสียงของคารัค กรีนวินด์ และกรีนวินด์ดังขึ้นราวกับเป็นเรื่องปกติ
ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันในความเชื่อนี้ แต่ใบหน้าของทั้งสี่ต่างเชื่อมั่นอย่างไร้ข้อสงสัย อันที่จริงแล้วอินกองก็คิดเช่นเดียวกัน
‘เดี๋ยวมันก็ผ่านไปได้เองแหละ’
นั่นเพราะว่าเขาคือ ‘พระเอก’
อินกองคิดติดตลกขึ้นมาในหัว ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว เหตุการณ์ที่ผ่านมาก็พอเป็นหลักประกันได้ เขาไม่ยอมโดนไล่กลับหลังจากพบกับอมิตาภาแน่นอน
ไม่มีอะไรให้ต้องตีตนไปก่อนไข้
‘ถ้าไม่มีทางเป็นไปได้ ปราชญ์ดาบคงไม่พูดเกริ่นออกมาแน่’
นอกจากนี้ แม้จะแค่สามครั้งแต่อมิตาภาก็เคยสร้างของให้อินกองในเกมบทกวีแห่งผู้กล้ามาแล้ว เขาพอรู้ว่าต้องทำอะไรในการชักจูงให้อมิตาภายอมรับคำขอ
ปราชญ์ดาบมองดูลัทธิเชื่อมั่นในฉัตรตรงหน้า ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกตำแหน่งล่าสุดของเจ้านั่นให้ พวกเจ้าก็ควรจะรีบเดินทางซะ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าอมิตาภาจะเดินไปทางไปที่ไหนเมื่อไร”
ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น อมิตาภาในเกมบทกวีแห่งผู้กล้าก็ตระเวณเดินทางไปทั่วทุกที่เช่นกัน
“แต่ก็อย่าได้วิตกไป เจ้านั่นน่าจะอยู่ที่นั่นอีกราวครึ่งปี”
อินกองถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในทางกลับกัน เฟลิซีถามคำถามเพิ่มเติมอย่างกังวล
“ปราชญ์ดาบ พอจะมีทางผ่านให้พวกเราพบกับอมิตาภาในระหว่างกลับวังไหม?”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะรีบกลับไปรายงานวังหลวงก่อนหรอกรึ?”
“แหะแหะแหะ”
เฟลิซีหัวเราะออกมาผิดปกติ มันต่างจากท่าทีโดยปกติของนางอย่างสิ้นเชิง
‘แต่นางก็ยังดูน่ารักอยู่ดี’
อินกองชำเลืองมองไปยังปราชญ์ดาบ แน่นอนว่าผู้อาวุโสระเบิดหัวเราะออกมาในท่าทีของเฟลิซี
“น่าสนุกจริงๆ ในเมื่อท่าทีของเจ้าต่างไปจากเดิมขนาดนี้ก็ช่วยไม่ได้”
ใบหน้าของเฟลิซีแดงก่ำด้วยความอาย ปราชญ์ดาบลูบหัวนางอย่างเอ็นดูก่อนจะหันมายังอินกอง
“ถ้าองค์ชายกลับไปในตอนนี้ ต้องตกเป็นเป้าสายตายิ่งกว่าเดิมแน่นอน เจ้าควรจะไปพบอมิตาภาก่อนกลับวังหลวง”
นี่เป็นสาเหตุในทีท่าของเฟลิซี
“ข้าจะสร้างภารกิจสำรวจซากโบราณสถานขึ้นมา พวกเจ้าเข้ามาร่วมช่วยเหลือข้า มันอาจจะฟังดูแปลกอยู่บ้าง แต่พวกเจ้าจะเข้าร่วมภารกิจเพื่อช่วยเหลือปราชญ์ดาบ”
เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นที่ปราสาทธันเดอร์ดูมยังไม่เป็นที่กระจ่าง อินกองและเฟลิซีไม่จำเป็นต้องกลับไปรายงานยังวังหลวงโดยตรง และทางวังก็ไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์อะไรได้หากพวกเขาจะไปทำภารกิจอื่นต่อ
ในกรณีนี้ การทำภารกิจร่วมกับปราชญ์ดาบเปรียบเสมือนภารกิจพิเศษ
หากไม่ใช่เพราะปราชญ์ดาบ พวกเขาคงไม่แคล้วโดนองค์กรนิรนามสังหารตายเป็นที่เรียบร้อย
แต่พวกเขาก็ไม่สามารถคอยหลบอย่างปลอดภัยอยู่แต่ในวังหลวงได้
นั่นเพราะอันตรายเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องปกติของโลกมาร ที่ภารกิจถูกมอบให้กับเหล่าทายาท ก็เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้คุ้นเคยกับสถานการณ์เหล่านี้
อินกองจ้องมองไปยังปราชญ์ดาบ ผู้อาวุโสท่านนี้ช่วยชีวิตอินกองเอาไว้แล้วยังถ่ายทอดเคล็ดวิชาระดับ S ให้เขาด้วย เพียงสองอย่างนี้ก็ถือเป็นบุญคุณมากมาย ในตอนนี้เขายังจะบอกตำแหน่งของอมิตาภาให้อินกองอีก อินกองไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากขอบคุณปราชญ์ดาบจากใจจริง
“ขอบคุณครับปราชญ์ดาบ”
“ข้าสนใจในตัวองค์ชาย นานๆทำอะไรต่างจากปกติแบบนี้บ้างก็ไม่เลว”
ปราชญ์ดาบทำตัวเสมือนคุณปู่จิตใจดีข้างบ้าน แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
ผู้ที่ได้รับขนานนามว่าปราชญ์ดาบในอดีตไม่มีเศษเสี้ยวของเยื่อใยแม้แต่น้อย
“ดูเหมือนข้าจะพูดถึงเรื่องที่จำเป็นหมดแล้ว พวกเจ้าดูเหนื่อยอ่อนกันอยู่ น่าจะได้เวลาพักผ่อน? ไปล้างตัวแล้วทานอาหารเถอะ”
ดวงตาของสตรีสองนางมีปฏิกิริยากับคำว่าล้างตัวในทันที สำหรับทั้งสอง นั่นเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการทานอาหาร
พวกเขายึดห้องควบคุมของปราสาทเอาไว้ได้แล้ว การหาสถานที่พักผ่อนจึงไม่ใช่เรื่องยาก
ด้วยความที่พวกเขาทิ้งเดเลียไว้ที่ห้องควบคุม เป็นที่แน่นอนว่าองครักษ์ประจำตัวดีเด่นอย่างนางย่อมจัดเตรียมสถานที่รอไว้นี้เรียบร้อย
“ซากมังกรที่เหลือเดี๋ยวข้าจะชำแหละเอง ไม่ต้องเป็นห่วง”
ปราชญ์ดาบขยิบตาพลางหยิบดาบชี้ไปยังร่างของพาติซาน อินกองกับเฟลิซีผงกหัวรับ
“เข้าใจแล้วครับ รบกวนด้วยครับ”
พวกเขาอยากรู้วิธีการขั้นตอนในการชำแหละมังกรอยู่บ้าง แต่ความเหนื่อยล้าก็ชนะความใฝ่รู้
คณะของอินกองทิ้งปราชญ์ดาบให้อยู่กับซากมังกรแล้วเดินทางกลับห้องควบคุม
&
อินกองตื่นขึ้นมาอีกทีในสิบสี่ชั่วโมงให้หลัง
หลังจากล้างตัวและพักผ่อนเรียบร้อย เฟลิซีก็กลับมาปรากฏตัวในชุดประจำเผ่าเอลฟ์รัตติกาล
“ถือว่าปฏิบัติการบุกยึดปราสาทเสร็จสมบูรณ์”
ห้องควบคุมอยู่ใต้การควบคุมของพวกเขา นั่นทำให้ปัญหาเรื่องกับดักหมดไป เหล่าผู้พิทักษ์ต่างก็รับบัญชาจากอินกอง
ปราชญ์ดาบเรียกพวกเขาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ก่อนจะพาไปหาส่วนแบ่งของมังกร หนัง กระดูก เกล็ด กรงเล็บ ชิ้นส่วนทั้งหลายต่างถูกจัดแบ่งออกอย่างเป็นระเบียบ
อินกองนำส่วนแบ่งของเขาและเฟลิซีเข้าช่องเก็บของ ก่อนจะเริ่มออกทำงานที่แท้จริง การเก็บรวบรวมสมบัติเป็นเรื่องที่ทำให้เขาพอใจได้ทุกครั้ง
การที่อินกองบอกความลับกับปราชญ์ดาบไว้ก่อนแล้ว ทำให้เขาไม่ต้องหลบซ่อนในการเก็บสมบัติเข้าช่องเก็บของ อินกองตระเวณปล้นทรัพย์สมบัติจากตัวปราสาทโดยให้ดาฟเน่รออยู่ที่ห้องควบคุม
เฟลิซีรีบเตือนอินกองหลังจากที่นางเห็นเขาแทบจะกวาดทุกสิ่งที่มีมูลค่า
“ถึงฉันจะไม่รู้ขอบเขตของเวทมนตร์เธอ… แต่พวกเราควรจะเหลือของมีค่าไว้พอประมาณ ไม่งั้นทางวังหลวงอาจจะรู้สึกสงสัยได้”
เสียงเตือนจากเฟลิซีทำให้สติของอินกองหลุดออกจากความโลภมาได้
เขาไม่ถอดชุดเกราะจากเหล่าดวอฟที่ล้มตาย และห้องสมบัติบางห้องก็ถูกปล่อยเอาไว้
คำที่ใช้อธิบายการกระทำของอินกองได้ชัดเจนที่สุดก็คือ ‘ออมชอม’
ทรัพย์สมบัติทั้งหลายหายไปไม่มากเนื่องจากพวกเขาเก็บมาเพียงตนละกล่อง
กล่องหนึ่งถูกมอบให้สำหรับกรีนวินด์ โดยนางจะชี้บอกถึงสิ่งที่นางต้องการ
ทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่คือเหรียญทองที่สลักรูปค้อนและสายฟ้าอันเป็นสัญลักษณ์ของอาณาจักรดวอฟ
หลายชั่วโมงถัดมา…
สมาชิกทั้งหมดก็กลับมาหาดาฟเน่ที่ห้องควบคุม ก่อนจะเคลื่อนพลไปยังห้องทะเบียน
ภายในประกอบด้วยเอกสารจดบันทึกมากมายของอาณาจักรดวอฟ นั่นทำให้สภาพของคารัคดูไม่ต่างจากชายหนุ่มที่ถูกแฟนสาวลากไปดูเครื่องสำอาง
ซึ่งแฟนสาวที่ว่าก็คือเฟลิซีและเดเลีย ทั้งสองมองเอกสารบันทึกทั้งหลายด้วยตาอันเป็นประกาย เป็นดวงตาเดียวกับในยามที่ค้นพบทั่งวัชรกร
แรกเริ่มกัมมะก็สนใจเอกสารบันทึกเช่นกัน แต่ไม่นานสภาพของนางก็ไม่ต่างไปจากคารัค นั่นเพราะเอกสารทั้งหมดถูกบันทึกด้วยอักขระดวอฟ
อินกองก้าวเท้าสำรวจไปรอบบริเวณ ชั้นหนังสือและชั้นวางมากมายถูกจัดเรียงทั่วห้อง การไล่อ่านเรียบเรียงทั้งหมดต้องใช้เวลาหลายวัน
และในบรรดาบันทึกเหล่านี้ สิ่งหนึ่งก็สะดุดตาของอินกอง
ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ เขาเพียงรู้สึกถึงบางอย่าง
สิ่งที่ว่าอยู่ที่หลืบลึกสุดของห้อง อายุของมันเก่าแก่มากจนลักษณะของมันไม่ใช่หนังสือ แต่เป็นแผ่นหิน
อินกองหยิบแผ่นหินที่ว่าแผ่นหนึ่งขึ้นมาสำรวจ อาจจะเพราะมันถูกร่ายเวทมนตร์เอาไว้ แผ่นหินที่ว่าจึงมีน้ำหนักเบาทั้งที่มีความกว้างและความยาวถึงครึ่งเมตร
มีรูปภาพถูกแกะสลักจารึกเอาไว้บนแผ่นหิน
ในรูปภาพแบ่งครึ่งเป็นสองกลุ่มหันหน้าเข้าปะทะกัน
มังกรหกตนในฝั่งขวา และสี่บุคคลในฝั่งซ้าย
แม้จะเป็นรูปสลักแผ่นหิน แต่รายละเอียดของสมาชิกทั้งหมดถูกแกะสลักเอาไว้ครบถ้วน อินกองจดจำมังกรสองตนในนั้นได้ทันที
ทรราชเอนคิดูและพยานอันเคล สองพญามังกรจากหกมังกรบรรพกาลอันร่ำลือ
อินกองกลืนน้ำลายลงลำคอ นั่นเพราะในกลุ่มบุคคลทั้งสี่ที่อยู่ตรงข้ามกับเหล่ามังกร อินกองเห็นผู้ที่เขาคุ้นเคยอยู่ในนั้นเช่นกัน
สตรีชุดขาวในมงกุฎสีทอง…
นางเป็นผู้ที่อยู่นำหน้าบุคคลเหล่านั้น