Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 75
หลังจากออกมาจากปราสาทธันเดอร์ดูม คณะของอินกองก็เดินทางไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
เมื่อพวกเขาเข้าใกล้อาณาเขตของเผ่าไลแคนโทรป บรรดาสัตว์อสูรก็สามารถพบเห็นได้น้อยลง
ในวันที่สามของการเดินทางด้วยรถเลื่อน
หลังจากตั้งกระโจมพักแรมเรียบร้อย อินกองยืนเปลือยอกอยู่บริเวณที่โล่ง การฝึกพิเศษของเขากำลังเริ่มขึ้น
“เอาละนะ”
อินกองหายใจอย่างรวดเร็วแล้วใช้เวทมนตร์
“ไฟร์แอร์โรว์!”
ศรเพลิงก่อกำเนิดบริเวณปลายนิ้วของอินกอง!
ทว่าทิศทางของมันกลับผิดแปลกจากปกติ แทนที่มันจะพุ่งโจมตีไปยังเบื้องหน้า ศรเพลิงกลับพุ่งเข้าใส่อกของอินกองอย่างจัง นั่นก็เพราะอินกองได้ชี้นิ้วไปยังบริเวณอกของเขาเอง
บรึ้ม!
ศรเพลิงระเบิดในทันทีที่มันปะทะกับอกของอินกอง เขารีบใช้เวทมนตร์ต่อในทันที คราวนี้เป็นเวทมนตร์รักษาฟื้นฟู
“ฮีล!”
มือขวาของอินกองเรืองแสงสีขาวก่อนแสงนั้นจะรักษาบาดแผลที่อก ความเจ็บปวดเลือนลางหายไป แทนที่ด้วยความโล่งอกและความรู้สึกดีอันแสนวิเศษ
รู้สึกดีเมื่อพบกับความเจ็บปวด… จุดเริ่มต้นของพฤติกรรมที่เข้าข่ายอันตราย
อินกองโจมตีตัวเองแล้วใช้เวทมนตร์รักษาบาดแผลที่เกิดขึ้น เป็นการฝึกพิเศษที่สามารถเพิ่มระดับขั้นให้ทักษะไฟร์แอร์โรว์และทักษะฮีลไปพร้อมกัน ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านั้น
‘ว้าว วิชาควบคุมธรรมชาติเพิ่มขึ้นมาแล้ว แล้วก็ค่าสถานะความแข็งแกร่งเหมือนจะเพิ่มขึ้นนิดหน่อยด้วย!’
เขาต้องควบคุมพลังอย่างแม่นยำเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงเกินร่างกายรับไหว การทำอย่างนี้บ่อยครั้งทำให้ทักษะวิชาควบคุมธรรมชาติของเขาเพิ่มประสิทธิภาพ
การฝึกพิเศษที่เพิ่มความชำนาญให้กับทักษะทั้งสามและเพิ่มค่าสถานะบางอย่าง ถือเป็นการฝึกพิเศษที่เยี่ยมยอดมาก
แต่ก็มีผลลัพธ์บางอย่างตามมาเช่นกัน
“เอิ่ม… วิธีนี้มัน… ออกแนวโรคจิต… ”
‘นายท่านดูน่ากลัวมาก นายท่านยิ้มทุกครั้งที่บาดเจ็บ และดูเหมือนนายท่านจะชอบมันมากด้วย ถึงข้าจะชอบนายท่านมากแค่ไหนก็ตาม แต่นี่มันออกจะ… ’
สายตาเวทนาของคารัคและสายตาอันห่อเหี่ยวของกรีนวินด์พุ่งมาที่อินกอง
และไม่เพียงแค่ทั้งคู่
“เป็นครั้งแรกที่ฉันได้พบเจอการฝึกที่แปลกประหลาดแบบนี้”
เฟลิซีถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าหมดหวัง นางอยากจะบอกให้อินกองหยุด แต่นางคิดว่าคงไม่มีประโยชน์
คารัคหันมาถามเฟลิซี
“องค์หญิง นี่จะไม่ส่งผลอะไรแน่นะ? เกิดร่างกายเขามีบาดแผลภายในขึ้นมาจะทำยังไง?”
ร่างกายของสิ่งมีชีวิตไม่ใช่เหล็กกล้า การทุบมันอย่างบ้าคลั่งเป็นการทำลายมันเสียกว่าการเสริมความแข็งแกร่ง
แม้บางเผ่าในโลกมารอาจจะฝึกฝนด้วยวิธีอันบ้าคลั่งเช่นนี้
แต่คารัคยังเหลือสามัญสำนึกเกินกว่าจะรู้จักกับเผ่าเหล่านั้นที่ใช้วิธีนี้ และถึงการฝึกนี้อาจจะทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นได้จริง แต่ก็ย่อมส่งผลกระทบร้ายแรงเมื่อแก่ขึ้นแน่นอน
เฟลิซีถอนหายใจออกมาพลางส่ายหน้าให้กับคำถามของเจ้าออร์ค
“ที่น่าแปลกใจก็คือมันปกติ อย่างที่ฉัตรบอก การควบคุมเวทมนตร์ของเขาแม่นยำมาก บางที่นี่อาจจะเป็นผลมาจากเคล็ดไอศวรรย์ราชันสุร เธอคิดเหมือนกันไหมดาฟเน่?”
“เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ร่างกายขององค์ชายเก้าสมบูรณ์พร้อมทุกประการ”
ในเมื่อผู้ใช้เวทรักษาถึงสองท่านบอกเช่นนี้ คารัคก็ได้แต่ยอมรับความจริง
เฟลิซียังคงถอนหายใจออกมา
“ยิ่งดูมันก็ยิ่งแปลก ได้แต่บอกว่าเขาโชคดี”
“ถ้าหม่อมฉันนำเรื่องนี้ไปเล่าต่อ ทั้งหมดต้องคิดว่าหม่อมฉันโกหกแน่นอน”
ดาฟเน่หัวเราะแห้งแห้งออกมา
เฟลิซีหรี่ตาจ้องไปยังอินกอง การระเบิดของศรเพลิงเกิดขึ้นอีกครั้ง
“ว้าวววว!”
อินกองร้องออกมาอย่างดีใจ นั่นเพราะดับขั้นของทักษะไฟร์แอร์โรว์ได้เพิ่มขึ้น
หากทว่าเหล่าผู้ชมที่ไม่รู้เกี่ยวกับการเพิ่มระดับที่ว่า ได้แต่มองดูราวกับเขาได้เสียสติไปแล้ว
กัมมะประนมมือของนางขึ้นสวดภาวนา
“องค์กรีนวินด์ช่วยปกป้องคุ้มครองใต้ฝ่าพระบาทด้วยเถิด”
‘เอ่อ อ่า’
การสวดภาวนาของกัมมะทำให้กรีนวินด์ได้แต่มองไปยังอินกองอย่างเขินอาย คารัคได้แต่กระดกลิ้นส่งเสียงในปากก่อนจะตะโกนใส่อินกอง
“องค์ชาย! ถึงเวลาทานข้าวแล้ว! กินให้หมด! แกต้องกินเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป!”
อินกองพยักหน้าหลังได้ยินเสียงคารัค เขาหัวเราะออกมาอย่างพอใจก่อนจะสวมเสื้อ
หลังจากพักทานอาหาร ทั้งหมดก็มารวมตัวกันดูแผนที่ที่อินกองวาดบนพื้น แม้ท้องฟ้าจะมืดแล้ว แต่ดาฟเน่ก็อัญเชิญภูติแสงออกมาทำให้ไม่มีปัญหากับการมองเห็นแต่อย่างใด
“ตอนนี้พวกเราอยู่บริเวณนี้ เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้พวกเราก็น่าจะไปดินแดนของเผ่าไลแคนโทรป”
เฟลิซีมองไปยังบริเวณที่อินกองชี้ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้งฉันก็อดทึ่งไม่ได้จริงๆ”
“อะไรครับ?”
“ตอนนี้ยังไม่มีดวงดาวส่องสว่างสักดวง มันน่าทึ่งที่เธอสามารถรู้ตำแหน่งชัดเจนของพวกเราได้”
แผนที่ย่อของอินกองคู่ควรกับคำชมนานับประการ เขาได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อนท่ามกลางทุกสายตาที่จดจ้องมาที่เขา
“ผมอธิบายไม่ถูก… ผมก็แค่รู้?”
เขาไม่สามารถบอกไปได้ว่าเขาเห็นจากแผนที่ย่อ
คารัคตอบอินกองอย่างจริงจังในทันที
“เพราะแบบนี้แหละ ข้าถึงได้ยินว่าพวกอัจฉริยะมักเป็นตัวซวย”
“ใช่แล้ว ใช่เลยหละ”
“หม่อนฉันก็เห็นด้วย”
เฟลิซีกับดาฟเน่เห็นด้วยกับคารัค แม้การกระทำของมันจะถือว่าหยาบคายและไร้มารยาทมาก แต่ในตอนนี้ทั้งหมดล้วนเคยชินกับมันเรียบร้อย
อินกองเลือกที่จะเปลี่ยนประเด็นสนทนาแทนที่จะพูดหาข้ออ้าง
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้พวกเราจะไปถึงดินแดนของเหล่าไลแคนโทรป พร้อมกันไหม?”
“ข้าพระพุทธเจ้าตื่นเต้นจนหัวใจแทบจะหลุดจากร่างเพคะ ข้าพระพุทธเจ้าไม่เคยพบไลแคนโทรปเลยสักครั้งเพคะ”
กัมมะพูดออกมาด้วยดวงตาเป็นประกาย นางใช้ทั้งชีวิตอยู่ในที่ราบอินคาเช่นเดียวกับกรีนวินด์ นั่นทำให้การเดินทางถือเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับนาง
เฟลิซีมองไปยังกัมมะอย่างเอ็นดู ก่อนจะกล่าวอย่างรู้สึกผิด
“ฉันเสียใจที่จะต้องบอกว่าอย่าหวังไว้มาก ถึงแม้พวกเราจะไปดินแดนของไลแคนโทรป แต่ก็เป็นบริเวณเขตชายแดนเท่านั้น ไม่น่ามีอะไรสะดุดตาให้ดูมากนักหรอก”
การพบอมิตาภาเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดพวกเขาจึงเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุด ทำให้เป็นอย่างที่เฟลิซีว่า พวกเขามายังดินแดนไลแคนโทรปเพียงบริเวณเขตชายแดนเท่านั้น มีโอกาสน้อยที่จะพบกับเหล่าไลแคนโทรป
กัมมะเฉาลงในทันทีก่อนอินกองจะพูดขึ้น
“พวกเราจะไปเยือนราชวังไลแคนโทรปในขากลับ ยังไงพวกเราก็ต้องใช้ค่ายกลเคลื่อนมิติที่นั่น”
ค่ายกลเคลื่อนมิติสามารถใช้เดินทางไปได้ทั่วโลกมาร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวค่ายกลจะมีอยู่ในทุกที่ ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนของค่ายกลที่สามารถใช้เดินทางไปยังวังจอมมารได้ก็มีเพียงจำกัด
แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด
“ฉันจะเฝ้ารอการไปเยือนราชวังของไลแคนโทรปละกัน”
เฟลิซีเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย อินกองไม่รู้รายละเอียดอะไรมาก แต่แรกเริ่มเดิมทีเฟลิซีไม่ถูกโฉลกกับคริสต์ นี่จึงเป็นการเยือนราชวังไลแคนโทรปครั้งแรกของนาง
คารัคหัวเราะก่อนจะถามอินกอง
“องค์ชาย แกอยากจะพบกับองค์หญิงองค์ชายไลแคนโทรปสินะ?”
“แน่นอน”
นี่ไม่ใช่แค่คำตอบตามพิธีแต่เป็นความจริง อินกองอยากจะพบทั้งคู่ โดยเฉพาะเคทลิน
คารัคผงกหัว
“อืมข้าก็อยากพบเซร่า ถึงข้าจะไม่สนิทกับนางก็ตาม แต่ว่า… ทำไมมองข้าแบบนั้นกัน?”
ในพริบตานั้นสายตาของเดเลีย ดาฟเน่ และกัมมะเกินกว่าที่จะบรรยายได้ เฟลิซีหัวเราะออกมา ส่วนอินกองก็ยกมือไปตบไหล่ของคารัคก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คารัค บางทีพระเอกตัวจริงอาจเป็นนาย?”
“พูดเรื่องบ้าอะไรนี่?”
แน่นอนว่าอินกองไม่เสียเวลาอธิบายไขข้อข้องใจเจ้าออร์ค
&
พวกเขาเดินทางต่อด้วยรถเลื่อนในเช้าวันถัดมา แม้พวกเขาจะมาถึงเขตแดนของเหล่าไลแคนโทรปแต่ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ รอบข้างเป็นเพียงทุ่งหญ้า ไร้ซึ่งที่อยู่อาศัย
แต่เมื่อพวกเขากำลังจะตัดผ่านป่า บางสิ่งก็เปลี่ยนไป
“หยุด!”
รถเลื่อนของพวกเขาถูกหยุดโดยทหารไลแคนโทรปสองตน กัมมะที่นั่งอยู่ข้างคารัคตื่นเต้นขึ้นมาในทันทีก่อนจะผิดหวัง นั่นเพราะลักษณะภายนอกของไลแคนโทรปทั้งสองดูไม่ต่างจากมนุษย์
คารัคหยุดรถก่อนจะชำเลืองไปยังไลแคนโทรปเบื้องหน้า ทหารที่ดูเด็กกว่าประกาศคำเตือน
“ถนนเส้นนี้ถูกระงับการใช้งานชั่วคราว กลับไปซะ!”
มีเสียงคำรามขู่แฝงมาในถ้อยคำนั้น แต่ไม่มีผลอะไรกับคารัค
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“นี่เป็นคำสั่งโดยตรงจากราชวงศ์! เพราะฉะนั้นกลับไปซะ!”
เสียงคำรามเริ่มดังขึ้น คารัคเกาหัวของมันก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปมองภายในรถ อินกองแลกเปลี่ยนสายตากับเฟลิซีก่อนนางจะลงจากรถ
“นี่เป็นคำสั่งจากราชวงศ์ไลแคนโทรป? หรือจะมีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น?”
นายทหารตนนั้นดมกลิ่นเฟลิซีเล็กน้อยก่อนจะหยุดนิ่ง ทหารเฝ้ามองดูทีท่าของเฟลิซีก่อนนางจะออกปากสั่งการ
“ฉันเป็นผู้ถือสาส์นจากวังจอมมาร เปิดทาง ฉันจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง”
นายทหารอาวุโสชำเลืองมองอย่างตริตรอง
รถเลื่อนที่ไม่มีสัญลักษณ์ ออร์คใหญ่ที่เป็นผู้ขับรถ เซเทอร์ที่อยู่ข้างมัน…
แล้วก็เอลฟ์รัตติกาล… ชุดของนางดูหรูหรา ท่าทางและคำพูดจาของนางก็ดูไม่ใช่การเสแสร้ง นางมีบุคลิกของเหล่าขุนนาง
ไม่มีความรู้สึกดิบเถื่อนแต่อย่างใด นี่บ่งบอกว่านางไม่ใช่นักเดินทางธรรมดาทั่วไปแน่นอน
หากแต่นายทหารเด็กกลับไม่ใช้สติคิด ทหารเด็กมองเยาะเย้ยมายังเฟลิซีก่อนจะคำรามออกมา
“อีนี่เป็นใครใหญ่มาจากไหน?! อย่าได้ใจไปนัก! คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงรึไง?!”
“ถูกต้อง”
“รู้ตัวก็ดีนิ… ว่าไงนะ?”
“ฉันเป็น”
“แกเป็น… ?”
“ใช่แล้ว”
เฟลิซียิ้มให้กับนายทหารหนุ่มที่เหงื่อเริ่มแตกพลั่ก
&
คณะของอินกองเดินตามทหารไลแคนโทรปเขาหลืบป่า ตรงหน้าเป็นที่โล่งที่มีกระโจมนับร้อยตั้งอยู่
‘นี่มันออกจะชวนให้คิดถึง?’
อินกองหวนนึกถึงครั้งแรกที่เขาไปค่ายทหารของเคทลิน ในครั้งนั้นก็มีกระโจมสีเหลืองแบบนี้เช่นกัน
‘เดี๋ยวนะ สีเหลือง?’
หากอินกองจำไม่ผิด กระโจมสีเหลืองเป็นกระโจมของเคทลิน ถ้าเช่นนั้นหรือว่าเคทลินจะอยู่ที่นี่?
อินกองหันไปมองสีหน้าสงสัยของเฟลิซี ในเวลานั้นเอง เสียงกล่าวต้อนรับก็ดังขึ้น
“ฉัตร!”
“เคทลินนูนะ! คริสต์ฮยอง!”
ไม่ต้องสงสัย ทั้งคริสต์และเคทลินต่างยืนอยู่หน้ากระโจมสีเหลืองที่ว่า ทั้งคู่มีสีหน้าแปลกใจที่พบกับเขาทีนี่
อินกองเดินเข้าหาอ้อมกอดต้อนรับของพี่น้องไลแคนโทรป แต่เขาลังเลเล็กน้อยตอนที่คริสต์จะกอดเขา นั่นทำให้คริสต์ยักไหล่แล้วลูบหัวอินกองแทน
นายทหารเด็กมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยใบหน้าอันซีดเซียว แต่ก็ไม่มีใครสนใจ
“นี่ ฉันก็มาด้วยไม่ใช่รึไง?”
เฟลิซีร้องถามอย่างท้าทายพลางกางพัดขึ้นปิดปาก คริสต์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส
“เอ่อ นูนิม?”
เป็นคำตอบที่ท้าทายกลับมาเช่นกัน เฟลิซีหรี่ตาของนางส่วนคริสต์ก็ระเบิดหัวเราะ ก่อนเคทลินจะเข้ามาขวางทั้งสองเอาไว้
“ออนนี่!”
“ว้าย! นี่! เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน!”
เคทลินกอดเฟลิซีอย่างแน่นหนา โดยปกติเคทลินจะมีทีท่าค่อนข้างสำรวม แต่ในแดนบ้านเกิดแล้ว นางไม่จำเป็นต้องเสแสร้งวางมาด
ระหว่างที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เซร่าก็เข้ามากล่าวทักทายคารัคเช่นกัน ท่ามกลางสายตาจ้องเขม็งจากเดเลีย กัมมะ และดาฟเน่
“เอาเป็นว่าเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ”
คริสต์กล่าวขึ้นพลางตบบ่าอินกอง เซร่านำทางคารัคและสมาชิกที่เหลือไปรวมกลุ่มกับเหล่าไลแคนโทรป ผู้ที่ตามสองพี่น้องเข้ากระโจมมีเพียงอินกองและเฟลิซี
อินกองนั่งลงบนเก้าอี้ที่ทำจากหนังเสือก่อนจะเอ่ย
“มีเรื่องอะไรหรือครับ? เส้นทางถูกปิด หรือว่าจะมีนักโทษแหกคุก?”
การที่คริสต์กับเคทลินไปไหนด้วยกันไม่ใช่เรื่องแปลก ที่แปลกคือการที่ทั้งคู่มาอยู่เขตชายแดนแบบนี้
คริสต์นั่งลงตรงข้ามเฟลิซีแล้วยักไหล่
“ก็แบบนั้นแหละ แล้วลมอะไรพัดกันมาที่นี่? ได้ยินข่าวว่าฉัตรทำทั้งวังครื่นเครงกันน่าดู”
“สุดยอด”
เคทลินโพล่งขึ้นแทบจะในทันทีที่นางนั่งลงข้างคริสต์ และก็เป็นไปตามคาด นางโพล่งขึ้นด้วยสายตาอันเป็นประกายระยิบระยับ
เฟลิซีหลุดหัวเราะออกมาพลางยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง
“อยากได้ยินเรื่องที่ยิ่งไปกว่านั้นไหมละ? ใช่ไหมฉัตร?”
สายตาอยากรู้ของสองพี่น้องไลแคนโทรปพุ่งมาที่อินกองในทันที เป็นการท้าทายที่อินกองน้อมรับ
ปัญหาคือเขาควรจะเล่าจากส่วนไหนก่อนดี?
อินกองตัดสินใจเริ่มด้วยประเด็นที่สุดยอดที่สุด
“ผมพบกับปราชญ์ดาบ”
แล้วเหตุการณ์เดียวกับที่ประชุมสภาก็เกิดขึ้นในกระโจมนี้