Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 80
ความอันตรายของวิชาลับอิเนียไม่ได้อยู่ที่ความเสียหายจากการโจมตี แต่เป็นการทำลายเส้นชีพจร
ชีพจรทั่วร่างอินกองแปรปรวน แม้อิเนียของอินกองไม่รุนแรงเท่าจีราด แต่เส้นชีพจรของจีราดก็ถูกรบกวนเช่นกัน
อินกองกระอักเลือดท่ามกลางลมปราณสีขาวที่แตกกระจาย สภาพของเขาชุ่มชโลมไปด้วยเลือด ความรู้สึกบริเวณร่างกายซีกขวาเลือนลาง แม้แต่ทัศนวิสัยก็ไม่สามารถเห็นได้ชัด
อินกองพยายามรวบรวมสติประคองไม่ให้ร่างกายสลบ เขาเพ่งมองไปยังจีราดที่พยายามประคองตนอย่างยากลำบากเช่นกัน
สภาพของจีราดก็ไม่ได้ดีกว่าอินกองสักเท่าไร ร่างสัตว์สมิงหมดฤทธิ์ แขนซ้ายที่ห้อยอยู่อย่างไร้เรี่ยวแรง พลังแห่งทุพภิกขภัยที่อ่อนกำลังลง
แต่ถึงกระนั้น จีราดก็ยังคงมีชีวิตอยู่ เขาหัวเราะออกมาอย่างขบขันพร้อมซัดบางสิ่งไปยังอินกองอย่างรวดเร็ว
เคล้ง เคล้ง!
แม้สภาพของจีราดในตอนนี้จะสูญเสียประสาทสัมผัสการได้ยินไปแล้ว แต่จีราดก็คาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก ไวท์อีเกิ้ลกางปีกออกปัดป้องอาวุธลับของเขาไว้ได้
ทันทีที่ไวท์อีเกิ้ลบินออกปัดป้องมีดซัด อินกองใช้เรี่ยวแรงที่ยังหลงเหลืออยู่พุ่งเข้าหาจีราด พร้อมกับยิงศรเพลิงใส่ขาของตนเอง เกราะเท้าเกล็ดมังกรเรืองแสงรายล้อมด้วยสะเก็ดไฟ
เคล็ดประกาศิตจิตสุร – อัสนี
สายฟ้าสีส้มฟาดลงในชั่วพริบตา จีราดขยับร่างหลบด้วยสัญชาตญาณ แต่ส้นเท้าของอินกองก็กระแทกลงใส่ไหล่ซ้ายของจีราดอย่างเข้าเป้า
แทนที่จะเรียกว่าจีราดถูกอินกองโจมตี จะเหมาะสมกว่าหากเรียกว่าจีราดถูกเผา ไหล่ข้างนั้นเปลี่ยนเป็นสีดำก่อนจะแตกกระจาย ราวกับถ่านไม้ที่ถูกทุบ
จีราดเซถอยหลังไป แต่ร่างกายของอินกองก็บอบช้ำเกินกว่าจะต่อสู้ เข่าของอินกองแตกหัก ขาที่ฟาดใส่จีราดหักงอในทิศตรงข้ามกับปกติ อินกองตะโกนสั่งทหารคู่ใจของเขา
“คารัค!”
“คุร่าฮ์!”
เจ้าออร์คกระโจนเข้าสนามรบ ขวานของมันฟันใส่อกของจีราดโดยมีไวท์อีเกิ้ลพุ่งเข้าโจมตีใส่บริเวณท้อง การโจมตีทั้งสองส่งให้ร่างของจีราดปลิวกระเด็นถอยไปหลายเมตร
คารัคพยุงร่างของอินกองขึ้นแบกบนหลัง อินกองชำเลืองไปยังจีราด แต่ดูเหมือนทั้งหมดยังไม่จบลงเพียงเท่านี้
“ถอย!
อินกองร้องสั่งด้วยเสียงอันสั่นคลอน พร้อมกันกับจีราดที่ทุบพื้นด้วยแขนข้างที่หลงเหลือ พลังแห่งทุพภิกขภัยลุกโชนขึ้นดั่งเปลวไฟเฮือกสุดท้าย
“เดรน!”
ถ้อยคำอันแผ่วเบาแต่สามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน ไอพลังสีดำแผ่กระจายออกโดยมีจีราดเป็นจุดศูนย์กลาง
คารัครีบวิ่งถอย กรีนวินด์ร่ายม่านพลังป้องกันไอพลังสีดำ ส่วนเหล่าทหารไลแคนโทรปต่างก็พยายามหลบหลีกอย่างสุดกำลัง
‘นายท่าน!’
กรีนวินด์กรีดร้อง พลังแห่งทุพภิกขภัยปะทะเข้ากับม่านพลังของกรีนวินด์ก่อนระเบิดออก ผืนดินที่ถูกปกคลุมสูญเสียความงดงามของธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉา รอยแตกระแหงปรากฏขึ้นทั่วบริเวณ
ทหารไลแคนโทรปที่ไม่สามารถหลบหลีกได้ทันการต่างล้มร้องครวญครางกับพื้น บ้างสูญเสียแขน บ้างสูญเสียขา แต่ทั้งหมดก็รอดตายมาได้
หลังจากไอพลังจางลง จีราดก็หายตัวไป เขาใช้พลังที่ดูดกลืนมาได้ในการหลบหนี
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]
เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง นั่นเพราะการหลบหนีของจีราดถือเป็นจุดสิ้นสุดของการต่อสู้
ร่างของอินกองเรืองแสงขึ้น บาดแผลสมานตัว
หัวหน้าทหารตั้งสติได้พร้อมกับตะโกนออกคำสั่ง
“หาตัวมัน! อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้!”
“กระจายพื้นที่! อย่าเข้าใกล้ตัวมันจนเกินไป พยายามใช้อาวุธระยะไกล!”
ถึงแม้เผ่าไลแคนโทรปจะถนัดการต่อสู้ประชิดตัว แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีอาวุธเลยสักชิ้นในค่ายทหาร เหล่าไลแคนโทรปต่างคว้าหอกและคันศรแล้วกระจายตัวออกไล่ล่าตัวจีราด
แต่อินกองไม่อยู่ในสภาพที่จะเพลิดเพลินกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จริงอยู่ที่ผลจากการเพิ่มระดับเลเวลช่วยฟื้นฟูบาดแผลตามร่างกาย แต่นั่นไม่ส่งผลกับสภาพภายใน ผลจากวิชาลับอิเนียทำให้เส้นชีพจรของเขาปั่นป่วน แม้แต่จะหายใจก็สามารถทำได้ยาก
“องค์ชายแข็งใจไว้ หายใจเข้าช้าๆ หายใจออกเบาๆ”
คารัควางอินกองลงกับพื้น มันมองดูเจ้านายด้วยท่าทางกระสับกระส่าย แม้มันต้องการจะช่วยเหลือ แต่มันก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากคอยเช็ดเลือดที่ไหลรินจากริมฝีปากของอินกอง
ก่อนเสียงของคริสต์จะดังแทรกขึ้น
“ทาง… เร็ว… เคท… เร็ว… ” (ทางนี้ เร็วเข้า พาเคทลินมาเร็วเข้า)
องครักษ์ไลแคนโทรปประคองร่างของคริสต์เข้ามา สภาพของคริสต์ก็ดูไม่สู้ดีนัก แต่เมื่อเทียบ ในบรรดาทั้งสามเรียกได้ว่าคริสต์มีสภาพดีที่สุด
จริงอยู่ที่จีราดหลบหนีไปได้ แต่สำหรับคริสต์ การพยาบาลเคทลินกับฉัตรสำคัญกว่าการไล่ล่านักโทษที่เพิ่งแหกคุกออกมาจากหอคอยนิฬกาล
หลังจากที่คริสต์เห็นสภาพของอินกอง เขาก็ถอนหายใจออกมา
“ผลึก… รา… ” (ผลึกจันทรา)
แม้จะฟังไม่รู้เรื่อง แต่เจตนาของคริสต์สามารถสื่อออกมาได้ไม่ยาก เซร่ารีบลุกขึ้นมุ่งไปยังกระโจม เฟลิซีร้องออกมาอย่างเร่งรีบ
“อย่าทำเป็นฝืน! สภาพเธอตอนนี้ก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน!”
เฟลิซีที่คอยรักษาเคทลินหันมาทางคริสต์ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยน้ำตาและน้ำมูก หมดซึ่งความงามของเจ้าหญิงแห่งเอลฟ์รัตติกาล
“หน้า… นิม… แย่… ” (หน้าของนูนิมก็ย่ำแย่สุดๆไปเลย)
“คริสต์!”
“เรา… ไหว… แผล… ฉัตร… เคท…” (เรายังไหว แค่แผลนิดๆหน่อย ที่สำคัญคือฉัตรกับเคท)
เซร่าวิ่งกลับมาพร้อมบางสิ่งในมือทั้งสอง
คริสต์คว้าแขนเฟลิซีไว้พลางกล่าวบางอย่างออกมา
“เวท… นูนิม… นูนิม… ” (พลังเวทของนูนิมแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเรา ทีนี้ก็ถึงตานูนิมแล้ว)
เฟลิซีไม่รู้จักผลึกจันทรา แต่จากสภาพการณ์ นางก็สามารถเดาสรรพคุณของมันได้
เฟลิซีพยักหน้า ก่อนคริสต์จะครางออกมาอย่างเจ็บปวดแล้วฝืนพูดต่อ
“กล่อง… เวท… ผลึก… แบ่ง… ฉัตร… เคท… ” (พอเปิดกล่องแล้ว ต้องใช้พลังเวทปกคลุมผลึกจันทราไว้ แบ่งมันเป็นสองส่วน แล้วป้อนให้ฉัตรกับเคท)
“ฉ ฉันเข้าใจแล้ว”
คริสต์ปล่อยแขนเฟลิซี เฟลิซีเช็ดเลือดคริสต์ที่เปื้อนแขนนางแล้วสูดหายใจ นางรับกล่องที่ว่าจากเซร่าโดยที่ยังมีน้ำตาคลอ
ด้วยความที่เป็นจอมเวทย์ระดังสูง เฟลิซีจึงคุ้นเคยกับสมุนไพรเป็นอย่างดี นางเข้าใจได้ว่าสรรพคุณของผลึกจันทราจะลดลงหากมันไม่อยู่ในที่ที่อุดมด้วยพลังเวท แทนที่จะเรียกว่าสมุนไพร อาจเรียกได้ว่าเป็นก้อนพลังเวท
เฟลิซีใช้พลังเวทแผ่ปกคลุมกล่องในมือ ก่อนจะเปิดมันออก ภายในมีสมุนไพรสีขาวขนาดเล็ก รูปร่างราวกับก้อนผลึก
ผลึกจันทราคล้ายคลึงกับรากสมุนไพรบางอย่าง หากอินกองเป็นเฟลิซี เขาคงนึกถึงโสมขึ้นมาในทันที
เฟลิซีกลืนน้ำลายพลางหยิบผลึกจันทราออกมา นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะแบ่งเป็นมันออกเป็นสองซีก
แล้วปัญหาตามมา
“แล แล้วฉันจะป้อนทั้งคู่ยังไง?”
ผลึกจันทราเรียกได้ว่าแข็งพอประมาณ เกินกว่าบุคคลที่หมดสติจะสามารถเคี้ยวหรือกลืนมันลงไปได้
คารัคหันมาถามด้วยสีหน้าที่มองราวกับเป็นเรื่องปกติ
“แกก็ป้อนด้วยปากได้ไม่ใช่หรือ?”
คารัคชี้นิ้วไปยังปากของมัน มันทำท่าเคี้ยวบางสิ่งเหมือนแม่ที่ป้อนอาหารให้ลูก
คริสต์ส่ายหน้าให้กับคำถามของคารัค
“ผลึก… ละลาย… ดูดซับ… ” (ผลึกจันทราจะละลายในปาก แล้วร่างกายจะดูดซับเอง)
เฟลิซีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพลางหันไปทางเคทลิน แม้เวทมนตร์ของเฟลิซีจะช่วยรักษาร่างกายของนางได้ แต่สภาพภายในของนางเรียกได้ว่ายับเยิน เฟลิซีน้ำตาคลอจ้องมองเคทลิน
คริสต์พูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง
“ดาฟ… ดรูอิด… ช่วย… เวท…” (ดาฟเน่ เราได้ยินว่าพรของดรูอิดสามารถช่วยในการซึมซับเวทมนตร์ได้)
“รับทราบ!”
สำหรับดรูอิดที่ใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติแล้ว การใช้สมุนไพรทั้งหลายอาจเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ต่างจากการหายใจ ดาฟเน่ร่ายพรของนางเพื่อช่วยในการดูดซับผลึกจันทรา
“เริ่มละนะ”
เฟลิซีร้องออกมาพลางป้อนผลึกจันทราให้กับเคทลิน และก็เป็นไปตามที่คริสต์บอก ผลึกจันทราละลายกลายเป็นของเหลวสีขาวไหลลงคอ
ดาฟเน่หลับตาลงพลางกล่าวร่ายคาถา แล้วร่างกายของเคทลินก็เรืองแสงขึ้น
“แสงจันทร์ นางมีแสงจันทร์เรืองออกมาจากร่าง!”
คารัคร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ และทันใดนั้นกรีนวินด์ก็ปรากฏกายขึ้นข้างคารัค นางพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจังผิดแปลกไปจากปกติ
“ผลังเวทของผลึกจนทราเริ่มเลือนลาง รีบป้อนให้นายท่านเร็วเข้า ข้าจะช่วยนายท่านดูดซับมันเอง”
องครักษ์ไลแคนโทรปต่างตกใจกับการปรากฏตัวอย่างกระทันหันของนาง แต่เฟลิซีที่รู้จักกรีนวินด์อยู่แล้วรีบป้อนผลึกจันทราที่เหลือให้อินกอง
เริ่มแรกก็ไม่ต่างไปจากเคทลิน แต่เมื่อกรีนวินด์สัมผัสอินกอง บางสิ่งก็เกิดขึ้น
แสงสีขาวแผ่ออกจากร่างของอินกอง หากแต่ไม่ใช่แสงอันอ่อนโยนที่เรืองออกจากร่างเคทลิน แสงจากร่างของอินกองส่องสว่างเจิดจ้าไปรอบบริเวณ ก่อนร่างของอินกองจะเริ่มลอยตัวขึ้น
คารัครีบหันไปจ้องกรีนวินด์แต่กรีนวินด์ก็อ้าปากค้างเช่นกัน ท่าทางของนางบ่งบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เหนือความคาดหมาย
“ให้ตายเถอะ! จะมีอะไรปกติเหมือนชาวบ้านบ้างไม่ได้หรือไงเนี่ย?”
คารัคบ่นออกมาอย่างถอดใจ ส่วนเฟลิซีก็รีบหันไปถามคริสต์
“เกิดอะไรขึ้น? ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่า?”
เสียงของเฟลิซีสั่นราวกับจะร้อง ไม่สินางร้องไห้ออกมาเป็นที่เรียบร้อย คริสต์จ้องไปที่ร่างอินกอง หากแสงจากเคทลินเป็นดั่งดวงจันทร์ยามปกติ แสงที่แผ่ออกมาจากอินกองก็เรียกได้ว่าเหมือนกับพระจันทร์เต็มดวง
ร่างของอินกองยังคงลอยสูงขึ้นทีละน้อย ราวกับได้รับอิทธิพลจากอินกอง ร่างของเคทลินก็เริ่มลอยขึ้น ทั้งดาฟเน่และกรีนวินด์ต่างคว้าทั้งสองไว้พลางสวดภาวนาร่ายพร
ผลึกจันทราเป็นสมุนไพรที่ผลิบานทุกร้อยปี นี่จึงเป็นครั้งแรกที่คริสต์เห็นมันถูกกิน
สภาพของเคทลินดูไม่แตกต่างไปจากที่มีกล่าวไว้ในเอกสารบันทึก แต่สภาพของอินกองผิดแปลกไป มิหนำซ้ำสภาพของเคทลินในตอนนี้ก็เริ่มเปลี่ยนแปลง
หรือว่าจะเป็นอย่างที่เฟลิซีว่า หรือว่าพวกเขาจะทำอะไรผิดไป?
“บางที… เป็นไปไม่ได้…”
“บางทีอะไร?”
คริสต์กลืนน้ำลายพลางจ้องไปยังแสงสว่างตรงหน้า ก่อนจะฝืนกล่าวออกมา
“บางทีนี่อาจจะเป็นตำนานแห่งผลึกจันทรา”
เหตุการณ์ที่ไม่มีการจดบันทึก
ตำนานแห่งผลึกจันทราที่เป็นเพียงเรื่องเล่าปากต่อปากในราชวงศ์ไลแคนโทรป
คริสต์กระอักเลือดก่อนจะหัวเราะออกมา
“ไม่ว่าไปที่ไหน ก็เกิดเรื่องผิดปกติตลอด”
เฟลิซีหันกลับไปมองอินกอง แสงสว่างที่ส่องออกมาปัดเป่าความมืดให้จางหายไป