Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 81
ผลึกจันทรา เสวนาเล่าขาน
เนืองนับโบราณ ราชันสมิง
แสวงชนเผ่า รวมเข้าพักพิง
ไร้ซึ่งประวิง สันติทลาย
ศัตรูรบเร้า เรียงเข้าท้าทาย
ในนอกมิวาย ปกปักษ์ศักดิ์ศรี
คาสเตียนรุกล่ำ มิมัวรอรี
เจ็ดวันราตรี มังกรดับสิ้น
ราชันหมาป่า นิทราเพียงดิน
หัวใจรวยริน ผลึกจันทรา
บาดแผลสลาย หายในพริบตา
หลอมรวมกายา ตระกูลไลแคน
เป็นหนึ่งปัจเจก จิตเสกทดแทน
คงตำนานแคว้น กล่าวทอดสืบไป
#ต้นฉบับก็เป็นแนวบทกวี ก็เลยพยายามแต่งให้เป็นกลอน ใครไม่พอใจก็ขออภัยด้วย ข้างล่างจะเป็นที่แปลตรงๆอ่านง่ายๆได้ใจความ
ผลึกจันทราถูกค้นพบโดยต้นตระกูลราชวงศ์ไลแคนโทรป
เขารวบรวมชนเผ่าไลแคนโทรปที่อยู่กระจัดกระจายเข้าเป็นปึกแผ่นและก่อตั้งอาณาจักร จนได้รับขนานนามว่าราชาหมาป่า
ด้วยถิ่นอาศัยที่อยู่ในโลกมาร ราชาหมาป่าเผชิญกับการท้าทายหลากหลาย
การบุกของศัตรูจากภายนอก การท้าทายของผู้ที่ต้องการแย่งบัลลังค์จากภายใน
ราชาหมาป่าเผชิญการท้าทายอย่างห้าวหาญ
และในวันหนึ่งอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ก็มาเยือน มังกรแดงคาสเตียนบุกมายังดินแดนไลแคนโทรป
การต่อสู้ดำเนินไปถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน จนในที่สุดราชาหมาป่าก็ได้รับชัยชนะ
ทว่าบาดแผลลึกจากการต่อสู้ก็แทบคร่าชีวิตของราชาหมาป่า หัวใจเกินกว่าจะเยียวยาได้ และในช่วงเวลาที่ความตายกำลังย่างกราย ราชาหมาป่าก็พบกับแสงส่องสว่างตัดผ่านค่ำคืน พืชสีขาวนิรนามที่ผลิบาน
ราชาหมาป่าไม่ตื่นตระหนก เขาไม่ได้พบผลึกจันทรา แต่ผลึกจันทราเลือกราชาหมาป่า
ผลึกจันทราละลายซึมซับผ่านอกของราชาหมาป่า เยียวยาและผสานกลายเป็นหัวใจดวงใหม่
ราชาหมาป่าได้รับหัวใจดวงใหม่ เขาเริ่มชีวิตใหม่ด้วยการตั้งสกุลให้ตนเอง มูนไลท์
สายเลือดราชาหมาป่าสืบทอดต่อเนื่องในราชวงศ์ไลแคนโทรป เวลาล่วงเลยก็มีบันทึกผู้พบเจอผลึกจันทราอีกมาก แต่มิเคยมีผู้ใดได้รับหัวใจจากผลึกจันทราอีกเลย
นี่คือตำนานแห่งผลึกจันทรา
มีเพียงราชาหมาป่าเท่านั้นที่ซึมซับพลังเวทจากผลึกจันทราได้อย่างสมบูรณ์ ราชาหมาป่า ไลแคนโทรปที่ทรงพลังที่สุดที่เคยมีมา
เรื่องเล่านี้เป็นเพียงตำนานปรัมปราเล่าสืบทอดกันในราชวงศ์ จริงอยู่ที่ผลึกจันทราถือเป็นสมุนไพรฟื้นฟูชั้นสูง แต่ทั้งหมดเชื่อว่าสรรพคุณที่เกินจริงเป็นเรื่องเยินยอที่ราชาหมาป่าแต่งเติมให้ผลึกจันทรา
หากทว่าเรื่องทั้งหมดอาจจะเป็นความจริง
ตำนานแห่งผลึกจันทรา ไม่ใช่เรื่องแต่งเติมเยินยอแต่อย่างใด
[ทักษะ พลังพระเอก ได้รับการเสริมประสิทธิภาพ]
[ทักษะ กายาชาตรี ได้รับการเสริมประสิทธิภาพ]
พลังเวทของผลึกจันทราหลอมรวมเข้าสู่ร่างของอินกอง และทักษะพลังพระเอกก็ซึมซับพลังเวทเหล่านี้เข้าไปเต็มที่
ลมปราณที่ไหลเวียนอย่างแปรปรวนหยุดชะงัก ก่อนพลังเวทจากผลึกจันทราจะแผ่ขยายเข้าแทรกซึมทั่วทุกอนู
ตรงข้ามกับพลังแห่งทุพภิกขภัยที่ดูดกลืนทุกสิ่ง พลังแห่งอาณัติครอบงำซึ่งทุกสิ่ง
ผลึกจันทราก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
การไหลเวียนของลมปราณมีจุดกำเนิดเดียวกับการไหลเวียนของชีวิต นั่นก็คือหัวใจที่สูบฉีดเลือดเลี้ยงร่างกาย
และในตอนนี้พลังเวทของผลึกจันทราก็ก่อตัวควบขึ้นถัดจากหัวใจของอินกอง พลังเวทนั้นรวมเข้ากับลมปราณของอินกอง ก่อตัวขึ้นเป็นหัวใจดวงที่สอง
หัวใจสองดวง แหล่งกำเนิดสองแหล่ง…
ประสิทธิภาพของผลึกจันทราที่มีเพียงราชาหมาป่าที่รับรู้
ลมปราณของอินกองเริ่มโคจรไหลเวียนอีกครั้ง แต่เป็นจากสองแหล่งกำเนิด
เคล็ดไอศวรรย์ราชันสุร ที่เกิดจากการรวมตัวของเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพและเคล็ดประกาศิตจิตสุร เคลื่อนเดินลมปราณจากหัวใจทั้งสองดวง
แสงสว่างที่ส่องประกายออกจากตัวอินกองเริ่มแผ่วลง คริสต์ที่เชี่ยวชาญเรื่องลมปราณที่สุดในกลุ่มรับรู้การโคจรลมปราณที่เปลี่ยนไปของอินกองได้ในทันที เขากำหมัดแน่นพลางจินตนาการถึงผลที่สามารถเกิดขึ้นได้ผ่านการเคลื่อนลมปราณจากหัวใจสองดวง
ยิ่งไปกว่านั่น ไม่ใช่อินกองเพียงผู้เดียวที่แสดงการเปลี่ยนแปลง
เคทลินก็ซึมซับผลึกจันทราเข้าไปเช่นกัน
อาจเรียกได้ว่าแสงจันทร์ได้รวมเข้าสู่ตัวอินกอง และแสงดาวรวมเข้าสู่ตัวเคทลิน
ลมปราณของเคทลินตอบสนองต่อลมปราณของอินกอง ดั่งเช่นแสงดาวส่องประกายระยิบระยับรายล้อมดวงเดือน ลมปราณของเคทลินก็เริ่มเคลื่อนตัวโคจรรอบลมปราณของอินกอง
ลมปราณสีขาว ที่มีลมปราณสีน้ำเงินเข้มรายล้อม
กรีนวินด์และดาฟเน่ปล่อยมือ แล้วทั้งสองก็ถอยออก พวกนางทำในสิ่งที่สามารถทำได้แล้ว ที่เหลือก็รอเพียงปาฏิหาริย์จากผลึกจันทรา
ร่างของอินกองและเคทลินที่ลอยอยู่ทยอยร่อนลง ลมปราณที่แผ่คลุมทั้งสองเริ่มเจือจางก่อนจะหายไปในที่สุด
แกนลมปราณในร่างของทั้งสองได้เปลี่ยนไป
คริสต์ได้แต่อ้าปาก ส่วนเฟลิซีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นางลูบหัวอินกองและเคทลินอย่างเอ็นดู
&
อินกองลืมตาขึ้นในห้วงความมืดอีกครั้ง ตรงหน้าของเขาก็คือสตรีในชุดขาวผู้สวมมงกุฎทอง
นางอยู่ห่างออกไปไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกล อินกองจ้องมองนาง ไม่มีการสนทนาใดระหว่างทั้งสอง นั่นเพราะนางไม่สามารถสนทนากับเขาได้ เสียงของนางที่เตือนอินกองอยู่เป็นระยะเป็นเพียงคำมากกว่าประโยค
อาชาแห่งทุพภิกขภัย
จีราด มูนไลท์ครอบครองพลังแห่งทุพภิกขภัยอยู่ในมือ
แต่พลังแห่งทุพภิกขภัยของจีราดถือว่ายังอ่อนแอ พลังจากตัวทุพภิกขภัยแข็งแกร่งกว่านี้
อินกองรู้ได้เพราะเขาเผชิญกับพลังนี้อย่างซึ่งหน้า ทั้งจีราดและอินกองต่างไม่ใช่อาชาอย่างสมบูรณ์
อาณัติและทุพภิกขภัย
พลังของมือหอกนิรนามในปราสาทธันเดอร์ดูมคือพลังแห่งอาสัญ แม้มือหอกที่ว่าจะไม่ใช่อาชาแห่งอาสัญ แต่เป็นที่แน่นอนว่าเขาได้รับพลังแห่งอาสัญบางส่วนมาจากตัวอาชา
ที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คือรณการ
เมื่อเทียบกับในเกมบทกวีแห่งผู้กล้าแล้ว จีราดในเกมไม่ใช่อาชาแห่งทุพภิกขภัย
ไม่ว่าจะเป็น อาณัติ รณการ ทุพภิกขภัย หรืออาสัญ ทั้งหมดต่างก็เป็นบางสิ่งที่ไม่ปรากฏในเกมที่อินกองเคยเล่น
ทั้งสี่คืออะไรกันแน่? แล้วไหนจะอาชาทั้งสี่ที่สืบทอดพลังจากตัวตนปริศนาเหล่านี้? อาชาเหล่านี่มีอยู่เพื่อจุดหมายอะไร? หรือจุดหมายที่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการที่อาชาแห่งอาสัญเพ่งเล็งตัวแซเฟียร์?
จากการที่อาชาแห่งอาสัญปองร้ายกับทางวังจอมมาร จึงเรียกได้อย่างแน่นอนว่าเป็นอีกขั้วอำนาจของโลกมาร
จีราดผู้เป็นอาชาแห่งทุพภิกขภัยก็เป็นศัตรูกับเผ่าไลแคนโทรป ยิ่งไปกว่านั้นทุพภิกขภัยเองก็มีความเคียดแค้นในอาณัติเป็นอย่างมาก
หรือว่าทุพภิกภัยกับอาสัญจะอยู่ฝ่ายเดียวกัน?
แต่ทำไมทุพภิกขภัยถึงได้เคียดแค้นอาณัติ? ไม่ใช่เป็นเพียงเพราะอินกองเข้าขัดขวางจีราดแน่ ความแค้นที่อินกองรับรู้ได้มันฝังรากลึกยิ่งกว่านั้น
ในดวงตาของสตรีชุดขาว… อินกองมองเห็นความโศกเศร้า นางเงื้อมือขึ้นลูบอากาศราวกับกำลังลูบแก้มอินกอง ก่อนนางจะเอ่ยปากออกมาเล็กน้อย
“อาชาของข้า เจ้าเป็นความหวังเพียงหนึ่ง… ”
เสียงของนางจางหายไปราวกับหมดสิ้นเรี่ยวแรง อินกองเห็นรอยยิ้มอันโศกเศร้าของนางอีกครั้ง ก่อนร่างของนางจะจางหายไปกับความมืด
อินกองหลับตาของเขาลง แล้วร่างของเขาก็จางหายไปในความมืดเช่นเดียวกับนาง
&
จีราดลากตัวเองไปตามพื้น เขาตัดแขนซ้ายที่ใช้การไม่ได้ทิ้งไปเรียบร้อย แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าความเจ็บปวดจะหายไปด้วย
แขนหนึ่งข้างที่เหลืออยู่คลำตามพื้น ลากร่างกายที่อ่อนแรงให้เคลื่อนที่
“เจอแล้ว! มันอยู่ห่างไปไม่ไกล!”
“นี่มันกลิ่นเลือด!”
เสียงของบรรดาทหารไลแคนโทรปดังขึ้นห่างออกไปไม่ไกล จีราดกัดฟันรวบรวมสมาธิไปยังแขนของเขา จีราดอยู่ในสภาพที่ชีพจรลมปราณแปรปรวน นั่นทำให้การรวบรวมลมปราณทำได้ยาก
จีราดดึงตัวขึ้นนั่งถอนหายใจอย่างเหนื่อยหอบ ผืนดินที่เปียกแฉะและเย็นพอช่วยระงับความเจ็บปวดให้เขาได้บ้าง
จีราดนับถอยหลังในใจ เขาหลับตาลงรวมสมาธิไปยังประสาทการได้ยินพลางรวมพละกำลังในแขนของเขา
บรึ้ม!
พลังในแขนขวาของจีราดระเบิดออก เขากระโจนเข้าโจมตีทหารไลแคนโทรปที่พลาดเข้าใกล้จีราดมากเกินไป ทหารตนนั้นยกแขนขึ้นปัดป้องแต่ก็ไม่ทันการ จีราดคว้าแขนข้างหนึ่งของทหารเคราะห์ร้ายตนนั้นแล้วเหวี่ยงลงพื้น ก่อนจะเงื้อไปจับคอ
คอของเผ่าไลแคนโทรปใหญ่เกินกว่าจะคว้าได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว แต่จีราดใช้แรงที่หลงเหลือบีบมันอย่างง่ายดาย เสียงหายใจติดขัดดังขึ้นก่อนมีเสียงบางสิ่งแตกหักตามมา
“แค่ก แค่ก!”
ไลแคนโทรปตนนั้นหายใจไม่ออก พยายามใช้แขนคว้าหาบางอย่างใกล้ตัวแต่ก็ไม่เป็นผล จีราดออกแรงบีบมากขึ้น
“……”
ร่างทหารไลแคนโทรปล้มลง จีราดใช้พลังแห่งทุพภิกขภัยดูดกลืนพลังคืนมาได้เล็กน้อย เทียบได้กับการตักน้ำเพียงหนึ่งขันใส่บ่อน้ำ
“ทางนั้น!”
“ขว้างหอกใส่มัน!”
ไม่มีช่องว่างให้ร่างกายอันบอบช้ำของจีราดหลบเลี่ยงได้ หอกพุ่งแทงเข้าใส่ร่างของจีราดและศพทหารไลแคนโทรปเข้าพร้อมกัน
ความร้อนที่วูบไปทั้งร่าง แม้จะอยู่ในสภาพเจียนตายขนาดไหน ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างนี้ก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน
“ขว้างไปอย่าหยุด!”
หอกจำนวนมากถูกซัดมาอย่างต่อเนื่อง ไหล่ เอว อก น่อง ทั้งร่างของจีราดถูกปักไปด้วยหอก ถึงแม้เผ่าไลแคนโทรปจะทนทายาดขนาดไหนก็ตาม ท่ามกลางบาดแผลเหล่านี้ สิ่งที่ทำได้มีเพียงรอความตายเท่านั้น
ไม่มีทหารไลแคนโทรปตนใดเข้าใกล้จีราด แม้นี่อาจจะใช้เวลามากกว่าแต่พวกเขาก็ไม่คิดจะเสี่ยง
จีราดหัวเราะออกมา อาจดูเหลือเชื่อท่ามกลางบาดแผลเหล่านี้ แต่จีราดหัวเราะอย่างไม่ผิดเพี้ยน
ยี่สิบปีที่ไร้แสงเดือนแสงตะวันภายใต้หอคอยนิฬกาล
ภายใต้สภาพที่อาจตายได้ทุกเมื่อ สิ่งเดียวที่ทำให้จีราดยื้อชีวิตอยู่ได้คือความแค้น
เอเลน มูนไลท์ น้องสาวผู้พรากทุกสิ่งไปจากตัวเขา
และลูกของนาง คริสต์กับเคทลิน
ที่สำคัญที่สุดคือผู้ที่ขัดขวางการชำระแค้นอันแสนยาวนาน อาชาแห่งอาณัติ!
จีราดไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีกต่อไป เบื้องหน้าเขามีแต่ความมืดมิด
หากแต่จีราดกลับเห็นบางสิ่งในความมืดนี้ บุรุษในชุดสีดำที่กลืนกินทุกแสงสว่างชำเลืองมองลงมายังจีราด
‘ทีนี้ เจ้าจะยอมรับหรือไม่?’
ทุพภิกขภัย
เขาต่างไปจากรณการหรืออาสัญ ความคิดที่จะนำไปเทียบกับอาณัติยิ่งเรียกได้ว่าเป็นเรื่องตลก
ผู้ที่หิวกระหายอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่ไม่ต้องการเลือกอาชาอย่างทั้งสามที่เหลือ
สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่กายเนื้อที่สืบทอดพลัง แต่เป็นการถือกำเนิดของตัวตนทุพภิกขภัยอีกครั้ง
จีราดหัวเราะให้กับบุรุษชุดดำตรงหน้า ในที่สุดฟางเส้นสุดท้ายที่เรียกว่าศักดิ์ศรีของชายที่ชื่อจีราดก็ขาดลง ทุพภิกขภัยเข้ากลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างของจีราด
ร่างไลแคนโทรปที่ถูกหอกจำนวนมากเสียบอยู่ไม่อาจเรียกว่าจีราดได้อีกต่อไป
สิ่งที่อยู่คือตัวตนแห่งทุพภิกขภัยพร้อมกับความหิวกระหายที่ไม่อาจหมดสิ้น
ดวงวิญญาณของจีราดตกอยู่ภายใต้อาณัติของทุพภิกขภัยอย่างสมบูรณ์
ร่างของจีราดหรือก็คือตัวทุพภิกขภัยในตอนนี้หัวเราะออกมาอย่างขบขัน นั่นก็เพราะเขาไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองเพิ่งจะนึกใช้นิยามของ ‘อาณัติ’
“เดรน”
เสียงกระซิบแห่งจุดเริ่มต้นและจุดจบ ทหารไลแคนโทรปทั้งหมดต่างตกอยู่ในอาณาบริเวณของทุพภิกขภัยอย่างไม่ทันตั้งตัว
ทุกสิ่งที่อยู่ในรัศมีต่างถูกดูดกลืนพลังชีวิต
ร่างของทหารที่เหี่ยวเฉาจนไม่อาจแม้แต่จะส่งเสียง ถูกฝั่งลงสู่รอยแตกระแหงของผืนดินที่แผ่ขยายออกอย่างรวดเร็ว
อาชาแห่งทุพภิกขภัยกลืนกินทุกอย่างที่อยู่ในอาณาเขตของเขาแล้วขยับร่างอย่างช้าช้า ร่างกายบางส่วนที่รับภาระไม่ไหวบุบสลายแตกหัก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ ในแววตาของเขาเป็นฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว
ทุกสิ่งอย่างผิดแปลกไปตั้งแต่วันที่อันเคลตายเมื่อหนึ่งพันปีก่อน
ถึงเวลาแล้วที่มันจะต้องได้รับการแก้ไข และจุดจบในครั้งนี้จะต้องเปลี่ยนไป
อาชาแห่งทุพภิกขภัยเงยมองแสงจันทร์บนท้องฟ้า ก่อนร่างของเขาจะจางหายไปกับความมืด
จบบทที่ 12 – ตำนาน เริ่มบทที่ 13 – อำนาจ