Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 83
จอมมาร
จุดสูงสุดของโลกมาร ตำแหน่งที่แสดงถึงพลังและอำนาจ
อินกองจ้องมองเอเลนอย่างสับสน ก่อนรอยยิ้มจะเผยขึ้นบนในหน้าของราชินีไลแคนโทรป
“ฮุฮุ เหมือนเจ้าจะไม่เคยคิดฝันสินะ”
เป็นคำตอบที่ถูกต้องในสถานการณ์ของฉัตร
ตามเนื้อเรื่องของเกมบทกวีแห่งผู้กล้า ผู้ที่ได้ขึ้นเป็นจอมมารคือแซเฟียร์
อินกองต้องการหยุดแซเฟียร์เพียงเพื่อยับยั้งวันล้างบางเท่านั้น เขาไม่เคยนึกคิดถึงเรื่องขึ้นเป็นจอมมาร นั่นเพราะด้วยจุดยืนของฉัตรที่ไม่สูงพอ
เอเลนยังคงจ้องมองมาด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดาความคิด
“จากจุดยืนที่ผ่านมาของเจ้า นั่นก็ไม่แปลก”
เจ้าชายลำดับที่เก้า ฉัตร อิกษณา หรือที่รู้จักว่าเจ้าชายกำมะลอ
เด็กชายผู้น่าสงสารที่สูญเสียแม่ไปตั้งแต่เล็ก นั่นทำให้เขาสูญเสียอิทธิพลหนุนหลังไปด้วย
เป็นเพียงแต่เจ้าชายในนามเท่านั้น
“แต่นั่นก็เปลี่ยนไป เจ้าในตอนนี้ควรจะเก็บไปไตร่ตรอง”
ราวกับเสียงกระซิบอันหอมหวานของมารร้าย นั่นทำให้อินกองรู้สึกตัวขึ้นมา
‘ไม่เหมือนกันเลยซักนิด’
แม้เอเลนจะมีหน้าตาที่คล้ายคลึงกับเคทลิน แต่ทั้งสองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าไม่ต้องให้คำตอบเราในตอนนี้ กลับไปใคร่ครวญดู แล้วเราจะรอฟังคำตอบจากเจ้า”
เอเลนก้าวไปหาเคทลินแล้วใช้มือลูบแก้มของนาง
“ฝันดีนะลูกรัก”
นางก้มตัวลงจุมพิตหน้าผากของเคทลินแล้วหันมามองอินกองอีกครั้ง
อบอุ่นและเยือกเย็น ภายใต้ใบหน้านั้นแฝงไปด้วยความคิดที่เกินกว่าจะคาดเดาได้
เอเลนเดินกลับออกไปจากห้องพลางกล่าวบางสิ่งทิ้งท้ายไว้
“แล้วเราจะมาเยี่ยมเจ้าใหม่ภายหลัง”
“ขอบคุ… เป็นพระกรุณาธิคุณพระพุทธเจ้าข้า”
คำตอบที่ติดขัดของอินกองทำให้เอเลนหัวเราะออกมา ก่อนเสียงของนางจะจางหายไป
ทหารไลแคนโทรปปิดประตู ทำให้ทั้งห้องอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะของคริสต์
“ช่วยได้เยอะไหม?”
อินกองหันไปมองคริสต์ที่กำลังหัวเราะกระหยิ่มยิ้มย่อง เขารู้สึกว่าบุคคลตรงหน้าบางที่ก็สุดทน
“ทำไมฮยองไม่บอกผมว่าผู้ที่มาเป็นราชินีเอเลน?”
“แบบนั้นก็หมดสนุกสิ”
คริสต์ตอบพร้อมหัวเราะตามแบบฉบับวายร้าย
“เอาเป็นว่าเอ็งเอาเก็บไปคิดให้ดีละกัน เรื่องจอมมารน่ะนะ”
อีกครั้งที่คริสต์พูดด้วยเสียงขี้เล่นแต่แววตาจริงจัง นั่นก็ไม่แปลกเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาพูดเล่นเล่น
แล้วการพบกับราชินีเอเลนครั้งแรกของอินกองก็จบลงด้วยดี ถึงจะมีคำถามเกี่ยวกับตำแหน่งจอมมารมาเกี่ยวข้องด้วยก็ตาม
อินกองพยายามคิดหาสาเหตุ
เอเลนอาจจะเพียงหยอกเล่น? นางถามเพื่อดูเชิง? หรืออาจมีผู้เสนออินกองให้กับนาง
อินกองคิดถึงสาเหตุสุดท้ายพลางจ้องมองคริสต์
คริสต์ มูนไลท์ บุตรชายที่ราชินีเอเลนเชื่อใจมากที่สุด ผู้ที่จะสืบราชวงศ์ของไลแคนโทรป… จะว่าคริสต์สืบบัลลังค์ของไลแคนโทรปเรียบร้อยแล้วก็ว่าได้
และคำถามของเอเลนก็หลุดออกจากปากของคริสต์ในเวลาต่อมา
แม้คริสต์จะชอบพูดติดตลกขนาดไหน แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาพูดตลก
หรือก็คือคริสต์หวังอยากให้อินกองขึ้นเป็นจอมมาร
อินกองพยายามมองย้อนเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในมุมกว้าง
ในมุมมองทั้วไป หากบุคคลที่ไม่ใช่มกุฎราชกุมารมีความคิดจะขึ้นเป็นกษัตริย์ ก็เรียกได้ว่าเป็นกบฏในทันที ยิ่งหากความคิดนี้แพร่งพรายก็จะเกิดเป็นสงครามตามมา
แต่เรียกได้ว่าโลกมารต่างออกไป
นั่นเพราะว่าไม่เคยมีการจัดมกุฎราชกุมารอย่างชัดเจน ทายาทที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมเหมาะสมกับตำแหน่งจอมมารที่สุด ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเพศหรืออายุ
จึงเรียกได้ว่าตำแหน่งจอมมารเป็นสิ่งยั่วยวนอันหอมหวานของเหล่าทายาท
แต่ก็เป็นเพียงในทฤษฎีเท่านั้น
การจะเป็นผู้ที่ทรงพลังมากที่สุด ย่อมต้องเป็นจุดสูงสุดในทุกด้าน ในบรรดาทายาททั้งหมดมีเพียงสามบุคคลเท่านั้นที่แสดงความต้องการเป็นจอมมารออกมาอย่างชัดเจน
เจ้าชายลำดับที่หนึ่งไบคาล แร็กนารอส
เจ้าชายลำดับที่สองแซเฟียร์ แร็กนารอส
เจ้าหญิงลำดับที่สี่อนาสทาเชีย เนคริออน
จากในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า คริสต์ไม่มีเจตนาขึ้นเป็นจอมมารแต่อย่างใด ถึงเขาจะต่อต้านแซเฟียร์อย่างเต็มที่ แต่เขาก็ไม่ได้ต่อต้านฝ่ายอื่น
ในตอนนี้ คริสต์ที่กล่าวถึงกำลังถามอินกองเกี่ยวกับเรื่องตำแหน่งจอมมาร
อินกองสูดหายใจตั้งสติก่อนจะถามคริสต์กลับ
“ทำไมถึงเป็นผม?”
แม้อินกองจะพอคาดเดาได้บ้าง แต่เขาอยากจะได้ยินจากปากของคริสต์มากกว่า
แทนที่จะตอบอย่างทันทีเยี่ยงเคย คริสต์ตั้งท่าบนเก้าอี้ของเขา ร่างกายอันเป็นปึกแผ่นของคริสต์ทำให้เก้าอี้ดูเล็กลงในทันตา
คริสต์ยิ้มออกมาแล้วตอบอินกอง
“อาจจะเรียกได้ว่าคิดตื้นๆ… และก็ค่อนข้างยากจะพูดถึง”
การสนทนาย่อมเปลี่ยนไปตามผู้พูดและผู้ฟัง
คริสต์ถอนหายใจออกมา ใบหน้าขี้เล่นหายไปอย่างสิ้นเชิง เหลือเพียงใบหน้าอันสุขุมเช่นเดียวกับตอนที่วางแผนเกี่ยวกับกบฏเผ่าสายฟ้าชาด
“เราไม่สามารถเป็นจอมมาร… แต่ฉัตรเป็นได้”
คำพูดของคริสต์ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เขายกกำปั้นขึ้นมาพลางเค้นลมปราณสีน้ำเงิน
“เราเก่ง เรียกว่าเป็นอัจฉริยะก็ว่าได้”
ถึงจะออกจากปากเจ้าตัวเอง แต่ก็เรียกได้ว่าคริสต์พูดอย่างจริงจัง
คริสต์ถือเป็นอัจฉริยะ ด้วยอายุเพียงสิบเจ็ดปี แต่เขากลับมีความสามารถเทียบเท่าเหล่าผลเอกของวังจอมมาร เรียกว่าการเติบโตของเขาเป็นที่น่าหวั่นเกรง
“แต่มันก็เท่านั้น อย่างมากก็แค่ระดับเดียวกับซิลวาน ถึงจะฝึกอีกกี่สิบปีเราก็ไม่สามารถเทียบเท่าไบคาลได้ ไหนจะแซเฟียร์อีก”
เจ้าชายลำดับที่ห้าซิลวาน ดูมเบลด พี่ชายฝาแฝดของเฟลิซี ผู้เป็นอัจฉริยะในระดับเดียวกับคริสต์
เจ้าชายลำดับที่หนึ่งไบคาล แร็กนารอส ผู้ซึ่งชำนาญทั้งด้านการต่อสู้และเวทมนตร์ ด้วยอายุเพียงยี่สิบกว่าเขาก็สามารถเทียบเคียงได้กับเหล่าห้าแม่ทัพองครักษ์
แม้คริสต์จะไม่ได้กล่าวถึงเจ้าหญิงอนาสทาเชีย แต่ความสามารถของนางก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไป หากเรียกว่าเฟลิซีเป็นอัจฉริยะทางเวทมนตร์ อนาสทาเชียก็เรียกได้ว่าเป็นปีศาจ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้นางเป็นผู้นำของหนึ่งในขั้วอำนาจ แทนที่จะเป็นพี่ชายของนางวิคเตอร์ เนคริออน
แล้วก็ยังมีเจ้าชายลำดับที่สองแซเฟียร์ แร็กนารอสอีก
ในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า แซเฟียร์เก่งกาจมากและเป็นถึงตัวเอกของเกมอีกด้วย
ทว่าจากข้อมูลที่อินกองมี เขาพบว่าแซเฟียร์ในตอนนี้กลับเก่งกาจมากไปกว่าในเกมที่เขารู้จักอีก
“กำลังพลของเหล่าไลแคนโทรปไม่อาจเทียบเคียงกับเผ่ามังกรได้ ถึงเราจะยังพอมีโอกาสขึ้นเป็นจอมมาร แต่การเข้าห้ำหั่นกับอีกสามขั้วอำนาจดูไม่ค่อยดีเท่าไร”
แล้วไหนจะเรื่องจุดอ่อนของเผ่าไลแคนโทรปที่ชื่อว่าเคทลิน มูนไลท์อีก…
เคทลินเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เผ่าไลแคนโทรปเลือกที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามการเมือง ซึ่งคริสต์และเคทลินก็แสดงจุดยืนของเผ่าอย่างชัดเจนด้วยการอาศัยอยู่ที่เผ่าของตน มิใช่ที่วังจอมมาร
เมื่อไม่ตกเป็นเป้าสายตา ก็จะไม่มีปัญหาตามมามากนัก
“แต่ฉัตรต่างออกไป เอ็งสามารถไล่ทันไบคาลกับแซเฟียร์ได้”
ดวงตาสีน้ำเงินของคริสต์มีประกายความทะเยอทะยานอยู่ในนั้น เขาเชื่อมั่นว่าฉัตรสามารถก้าวข้ามแซเฟียร์และไบคาลไปได้
ฉัตรก้าวขึ้นมาเทียบเท่าเคทลินหลังจากเรียนรู้ลมปราณเพียงไม่กี่เดือน ผสานเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพและเคล็ดประกาศิตจิตสุรเข้าด้วยกัน แล้วยังสามารถดึงเอาพลังที่ซ่อนเร้นในผลึกจันทราออกมาได้อีก
เกินกว่าอัจฉริยะ เรียกว่าเป็นปีศาจในระดับเดียวกับแซเฟียร์ก็ว่าได้ จนแม้แต่ปราชญ์ดาบก็ยังสนใจ
“ต่างจากเราที่มีเพียงเผ่าไลแคนโทรป เอ็งยังมีขั้วอำนาจอื่นหนุนหลังอีก”
ถึงจะไม่มีอะไรยืนยันว่าปราชญ์ดาบหนุนหลังฉัตร แต่การที่ปราชญ์ดาบถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตนเองก็บ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง
“เหล่าเอลฟ์รัตติกาลยังคงเป็นกลางอยู่ และดูท่าทางพวกนั้นน่าจะเข้าฝักใฝ่ฝ่ายอนาสทาเชีย จนกระทั้งเอ็งโผล่ขึ้นมา และเอ็งก็ได้ใจเฟลิซีในไม่กี่เดือน”
คู่ของเฟลิซีกับซิลวานก็ไม่ต่างจากคู่ของคริสต์และเคทลิน ทันทีที่เขาได้เฟลิซีหนุนหลัง เขาก็ได้ซิลวานมาด้วย
แม้การที่บอกว่าฉัตรได้ใจจากเฟลิซีจะทำให้อินกองรู้สึกไม่สะดวกใจ แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะหากต้องเลือกฝ่าย อินกองก็ไม่สามารถจินตนาการได้ว่าเฟลิซีจะเลือกทายาทตนอื่นที่ไม่ใช่ฉัตร
“และหากเอ็งยังคงสร้างผลงานไปเรื่อยๆ เอ็งก็สามารถขอนิรโทษกรรมปลดทัณฑ์บนให้กับเผ่าคนธรรพ์ที่ถูกคุมขังได้ ถึงในตอนนี้เผ่ากำลังล่มสลาย แต่ก็เป็นถึงเผ่าของอดีตราชินี ทำให้ไม่สามารถมองข้ามอำนาจทางการเมืองของพวกนั้นได้”
อินกองรู้สึกราวกับโดนน้ำสาดเข้าหน้าอย่างจัง
ทัณฑ์บน? คุมขัง?
หรือนั่นจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่พบคนธรรพ์เลย? แต่ตราบาปอะไรกันที่ทำให้ทั้งเผ่าถูกคุมขัง?
เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูง และน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉัตรไม่มีคนธรรพ์คอยดูแล
แต่ว่าพวกนั้นทำอะไรผิด? ยิ่งเมื่อพูดถึงการทำผลงานเพื่อขอนิรโทษกรรมด้วยแล้ว จะมีความผิดอะไรที่ทำให้ทั้งเผ่าถูกคุมขังแต่กลับยังสามารถรักษาสถานะเจ้าชายของฉัตรและราชินีสมิตาได้?
อินกองเกิดข้อสงสัยเพิ่มขึ้นมากมาย และเขาต้องใช้เวลาในการหาคำตอบ
คริสต์ถอนหายใจพลางยกแก้วน้ำขึ้นจิบ
“เราไม่ชอบไบคาล แซเฟียร์ หรืออนาสทาเชีย แต่เอ็งดูต่างออกไป เราเชื่อว่าอนาคตที่เอ็งขึ้นเป็นจอมมารจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับเผ่าไลแคนโทรป”
นี่ไม่ใช่แค่เพียงมิตรภาพ
เรียกได้ว่าตั้งแต่อินกองเรียนรู้เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ สายสัมพันธ์ระหว่างฉัตรกับเผ่าไลแคนโทรปก็ถูกสร้างขึ้น
สำหรับฉัตรที่ไม่มีญาติทางฝั่งแม่หนุนหลังแล้ว การได้ผูกสัมพันธ์กับเผ่าไลแคนโทรปย่อมเป็นผลดีกับเขา
แล้วคริสต์ก็ยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัยพร้อมใบหน้าขี้เล่นที่กลับมา
“เอาเป็นว่าตอนนี้เอ็งยังไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เก็บเอาไปคิดให้ดี การคิดหาข้อสรุปเอาเองมันต่างกันเยอะกับการฟังจากคำพูดคนอื่น”
คริสต์ขยิบตาเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นไปหาเคทลิน เขาลูกแก้มนางก่อนจะจุมพิตลงที่หน้าผากเช่นเดียวกับเอเลน
“แล้วเราจะรอฟังคำตอบ”
คริสต์พูดพลางหันมามองอินกอง ท่าทางของคริสต์ทำให้อินกองคิดถึงเอเลนขึ้นมา
ดวงตาสีน้ำเงินที่ไม่ต่างกัน ยิ่งกว่านั้นการที่ทั้งคู่มองมาที่เขาหลังจากเอ็นดูเคทลินมีความหมายอะไรแอบแฝงกันแน่?
“แล้วก็สักพักถ้าเอ็งหิวหรือว่าเคทตื่น ให้สั่นกระดิ่งนี่”
คริสต์กล่าวก่อนจะเดินออกจากห้อง อินกองหัวเราะขึ้นอย่างอดไม่ได้
‘เป็นจอมมาร’
คำพูดของคริสต์ค่อนข้างเป็นเรื่องจริง
ในตอนแรกอินกองก็คิดเช่นเดียวกับคิด ว่าตัวเขาไม่มีทางขึ้นเป็นจอมมารได้
ทว่าหลังจากเหตุการณ์ทั้งหลายที่ราวกับถูกจัดฉากขึ้นแต่แรก
แซเฟียร์เป็นทายาทที่ทรงพลังที่สุด หากมีผู้ที่ทรงพลังกว่านั้นปรากฎตัวขึ้น ผู้นั่นก็คู่ควรกับบัลลังค์จอมมาร
‘เหมือนกับแม่ที่อยากให้ลูกตัวเองเก่งที่สุดในโรงเรียน ถึงลูกของเพื่อนจะเก่งที่สุดในประเทศก็ตาม’
อินกองหัวเราะให้กับข้อเปรียบเปรยที่เขานึกขึ้นมา
แม้จะเป็นข้อแนะนำที่ดีแต่อินกองก็มีข้อสรุปแต่แรก เรียกได้ว่าเป็นความคิดที่เรียบง่าย
‘แข็งแกร่ง’ เก่งยิ่งขึ้นไปอีกจนสามารถใช้พลังฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหมดที่ขวางทาง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกวาดล้างเผ่าไลแคนโทรป วันล้างบาง หรือแม้กระทั้งกับอาชาทั้งสาม
‘ยังไงซะเกมบทกวีแห่งผู้กล้าก็เพื่อให้ขึ้นเป็นจอมมารอยู่แล้ว’
หลังจากจัดระเบียบความคิด อินกองก็มองมือขวาของเขาและเคทลินที่นอนอยู่
เป็นความรู้สึกที่อธิบายยาก แต่อินกองอยากจะเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้
อินกองมองเคทลินอย่างเอ็นดู ก่อนจะมีเสียงกรีนวินด์ดังแทรกขึ้นมา
“นายท่านดูเจ้าเล่ห์มาก”
กรีนวินด์ปรากฏกายขึ้นนั่งอยู่บนตักของอินกอง เขาหรี่ตามองนาง
“นี่ตาผมดูเจ้าเล่ห์ขนาดนั้นเลย?”
กรีนวินด์พยักหน้าอย่างร่าเริง จนทำให้อินกองไม่รู้จะตอบอย่างไร
‘สงสัยจะเป็นการเอาคืนที่เราเรียกนางว่ากีวี่’
แล้วอินกองก็รู้สึกอยากเห็นหน้าคารัคขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้