Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 86
คณะของอินกองต่างยิ้มกันอย่างไม่สะทกสะท้านราวกับมาเที่ยวพักผ่อน ทั้งที่สถานการณ์ตรงหน้าไม่เอื้ออำนวยแต่น้อย
คารัคตบไหล่โรบินด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมซักรายละเอียด
“สภาพการณ์นี้ต่างไปจากปกติมากเลยรึ?”
“ช ใช่แล้ว ข ข้าไม่เคยเห็นป่าแมงมุมโกลาหลขนาดนี้มาก่อน”
โรบินตอบคารัคไปอย่างประหม่า นั่นเพราะเจ้าออร์คตนนี้พูดคุยกับเจ้าหญิงเจ้าชายอย่างเป็นกันเองตลอดการเดินทาง แล้วยังมีชุดเกราะอันโอ่อ่าที่สวมอยู่อีก จึงไม่แปลกที่โรบินจะคิดว่าคารัคเป็นขุนนางระดับสูง
เซร่าถามเพิ่มเติม
“มีรายงานผิดปกติจากหน่วยลาดตระเวณแถวนี้บ้างไหม?”
เหล่าพรานป่าจะคอยแบ่งเวรสำรวจชายแดนอาณาเขตไลแคนโทรปอยู่เป็นระยะ
“ม ไม่มีรายงานอะไร ถ ถึงจะไม่ใช่ทุกวัน แต่พรานป่าจะผ ผ่านบริเวณนี้ราวเดือนละครั้ง”
“รายงานที่พรานป่าผ่านบริเวณนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร?”
ในครั้งนี้เป็นคำถามจากเดเลีย
โรบินหลับตานับวันเวลาในหัวก่อนจะตอบอย่างติดขัด
“เอ่อ… พ พรานอย่างพวกเราต้องผันป่าแมงมุมพ่าไปยังจุดรวมพล… ถ ถ้านับเวลาดันทางด้วยแล้ว ค ครั้งสุดท้ายที่พรางสำรวจบริเวณนี้น่านจะราวสิบวันถึงสองสัปดาห์ได้”
สองสัปดาห์ไม่ใช่เวลาอันสั้น แต่ก็ไม่เกินพอที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์โดยไม่มีผู้พบเห็นได้
“แสดงว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน”
เฟลิซีบ่นพึมพำข้อสรุปออกมาพลางมองดูรอบตัว นางสามารถสัมผัสถึงพลังเวทบางอย่างได้ทั้งที่ไม่ได้จดจ่อ
หากไม่มีความผิดปกติใดเมื่อสิบวันก่อนตามที่โรบินบอก แสดงว่าการมาเยือนของพวกเขาบังเอิญตรงกับที่ป่าแมงมุมเกิดการเปลี่ยนแปลงพอดี
แล้วคารัคก็โพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แต่พวกเราจะโทษองค์ชายในเรื่องนี้ก็คงไม่ได้? ก็เมื่อนี่เป็นจุดขายขององค์ชาย”
อินกองไม่รู้ว่าเจ้าออร์คพูดจริงหรือพูดเล่น แต่ดูเหมือนคารัคจะหัวเราะอย่างชอบใจพลางหันไปมองดาฟเน่ นางเป็นดรูอิดและเป็นถึงลูกครึ่งนางไม้ นั่นทำให้นางเป็นผู้ที่มีสัมผัสเฉียบคมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาที่สุด
ระหว่างที่คณะเดินทางกำลังแลกเปลี่ยนความคิดกัน ดาฟเน่หลับตาพยายามสื่อสารกับเหล่าภูติในบริเวณใกล้เคียง ก่อนจะลืมตาขึ้นพลางพูดด้วยน้ำเสียงหวาดวิตก
“เหล่าภูติต่างกำลังหวาดกลัว ไม่ใช่กลัวต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นแต่เหมือนกลัวกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดตามมา”
ดาฟเน่หันไปมองยังกัมมะ และนางก็ผงกหัวให้กับดาฟเน่
“มีความกลัวแฝงอยู่ในเสียงร้องของเหล่าสัตว์ป่า นี่ไม่ใช่เพียงการกู่ร้องข่มขู่ แต่เป็นเสียงร้องที่หวาดกลัวต่อหายนะ”
มีเสียงร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจากภายในของป่า ดูผิวเผินอาจเป็นเพียงเสียงร้องจากการต่อสู้ของสัตว์ป่า แต่ความจริงอาจจะมีบางอย่างมากไปกว่านั้น
สมาชิกทั้งหมดเริ่มแสดงสีหน้าจริงจังขึ้นมา เฟลิซีหันมาถามบางอย่างกับอินกอง
“อมิตาภา พวกนั้นเก่งมากมั้ย?”
แม้นางจะรู้ว่าอมิตาภาเป็นเพื่อนของปราชญ์ดาบแต่นางก็อดเป็นกังวลไม่ได้
ซึ่งอินกองก็ได้แต่ตอบนางไปอย่างไม่มั่นใจนัก
“น่าจะเก่งครับ”
การปรากฏตัวของอมิตาภาในเกมบทกวีแห่งผู้กล่ามีด้วยรูปลักษณ์ที่หลากหลาย ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ สาวสวยรูปร่างบอบบาง หรือแม้กระทั้งเด็กน้อยน่ารักน่าเอ็นดู
อินกองในตอนนี้สามารถใช้เคทลินเป็นจุดอ้างอิงได้ ว่ารูปร่างไม่สามารถบ่งบอกได้ถึงความเก่งกาจแต่อย่างใด นั่นทำให้เขาไม่สามารถประเมิณความสามารถของอมิตาภาได้เช่นกัน
‘ถึงพวกนั้นจะอยู่มานานก็เถอะ แต่ก็ยังมีเงื่อนไขบ้าบอนั่นอยู่’
ในเกมบทกวีแห่งผู้กล้ามีเงื่อนไขลับอยู่ ผู้เล่นไม่สามารถเป็นทั้งสุดยอดนักรบและสุดยอดนักประดิษฐ์ได้ในเวลาเดียวกัน
ระหว่างที่อินกองและเฟลิซีใช้เวลากับความคิดตนเองอยู่นั้น เคทลินก็พูดแทรกขึ้นมา
“ฉัตร ถึงที่นี้จะอยู่ชายแดนอาณาเขตก็จริงอยู่ แต่มันก็ไม่ได้ไกลขนาดนั้น แทนที่จะบุกลุยเข้าไปแบบนี้ฉันว่าพวกเราน่าจะขอกำลังเสริม”
ถึงแม้เคทลินจะอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องของอมิตาภา แต่นางก็เป็นถึงเจ้าหญิงของราชวงศ์ไลแคนโทรป นางสามารถแยกแยะความเป็นไปได้
เฟลิซีพยักหน้าเห็นด้วยกับเคทลิน
แต่ก็มีเสียงคัดค้านดังขึ้น
“ไม่ทันการแน่”
กรีนวินด์ปรากฏกายขึ้นพร้อมคัดค้าน โรบินตกใจกับการปรากฏตัวของกรีนวินด์ ต่างจากสมาชิกคณะเดินทางที่คุ้นเคยกับกรีนวินด์แล้ว
คารัครีบถามนางทันที
“หมายความว่ายังไง ที่บอกว่าไม่ทันการ?”
กรีนวินด์ถอนหายใจออกมาแต่ไม่ใช่เพราะคำพูดของคารัค แต่เพราะพลังเวทที่แผ่ออกมาจากป่าแมงมุมสงผลกับตัวนาง
กรีนวินด์กอดตัวเองอย่างสั่นเทาพลางหันไปทางอินกอง
“ข้ารับรู้ถึงตัวตนของผู้พิทักษ์ได้เล็กน้อย มันเลือนลางมาก ที่เหล่าภูติต่างตื่นกลัวมิใช่เพราะการบ้าคลั่งของสัตว์อสูร แต่เป็นเพราะพวกนั้นกลัวว่าผู้พิทักษ์ของป่าแมงมุมจะดับสลาย”
นี่เป็นคำพูดที่ออกมาจากเทพารักษ์แห่งที่ราอินคา นั่นทำให้เฟลิซีรีบถามโรบินทันที
“โรบิน ที่ป่าแมงมุมนี้มีเทพารักษ์ไหม? ผู้พิทักษ์ที่สิงสถิตและคอยปกป้องบริเวณนี้”
เคทลินไม่รู้รายละเอียดของภายนอกสักเท่าไร นั่นทำให้นางไม่รู้ถึงรายละเอียดเกี่ยวกับป่าแมงมุม
โรบินค้นความทรงจำของเขาอย่างไม่มั่นใจ ก่อนจะตบมือขึ้นเข้าใจในบางอย่าง
“มีเรื่องเล่าแต่โบราณเกี่ยวกับวิญญาณแมงมุมยักษ์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับแมงมุมที่เคยอาศัยอยู่ที่ใจกลางป่าแมงมุมนี้”
แต่ก็มิได้เป็นที่นับถือจนได้รับการบวงสรวง
อินกองผงกหัวอย่างเข้าใจ เมื่ออ้างอิงจากในเกมแล้ว ไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในบริเวณป่าแมงมุม ไม่มีชนเผ่าใดอาศัยในบริเวณใกล้เคียง นั่นทำให้เทพารักษ์ที่สิงสถิตป่าแมงมุมแตกต่างไปจากกรีนวินด์ ผู้ที่ได้รับการบวงสรวงจากเหล่าเซนทอร์และเซเทอร์
อย่างไรก็ตาม กรีนวินด์ได้กล่าวว่านางรับรู้ถึงผู้พิทักษ์ แสดงว่าที่นี่มีเทพารักษ์คอยปกปักษ์อยู่มิผิดเพี้ยน
คารัคถามกรีนวินด์เพิ่ม
“แล้ว ถ้าเทพารักษ์ดับสลายไปจะเกิดอะไรขึ้น?”
คำถามของคารัคตรงเข้าประเด็น จนกรีนวินด์รู้สึกลำบากใจที่จะอธิบายตอบ ก่อนเฟลิซีจะพูดขัดขึ้นมาช่วยนางไว้
“เอาเป็นว่าถ้าเทพารักษ์ดับสลายจะเกิดปัญหาใหญ่หลวงแน่นอน แต่เทพารักษ์จะดับสลายได้อย่างไร?”
ทุกสายตาหันไปจดจ้องที่เฟลิซี นางชูนิ้วขึ้นกล่าวอธิบาย ไม่ต่างจากอาจารย์ที่กำลังสาธยายความรู้ให้เหล่าลูกศิษย์
“การที่เทพารักษ์จะดับสลายไปมีสองสาเหตุหลักๆ หนึ่งก็คือวิญญาณของตัวเทพารักษ์สูญสลาย สองก็คือสถานที่สิงสถิตถูกทำลาย”
นี่ทำให้อินกองนึกถึงวัดศิลาที่อยู่ในที่ราบอินคา กรีนวินด์ได้กล่าวไว้ว่าหากวัดศิลาถูกทำลาย ที่ราบอินคาจักกลับคืนสู่สภาพเดิมอันเป็นทะเลทรายที่ไร้ชีวิต
เฟลิซีพอจะเข้าใจความคิดของอินกอง นางจึงรีบอธิบายเพิ่ม
“กรีนวินด์เรียกได้ว่าเป็นเทพารักษ์ชั้นสูง ถึงที่สิงสถิตของนางจะถูกทำลายแต่ตัวนางจะไม่สลายไปด้วย แค่พลังอำนาจของนางจะลดหายจนเรียกได้ว่าอ่อนแอ”
คำพูดนี้ทำให้กัมมะมีสีหน้าราวกับใจสลาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
กรีนวินด์ส่งเสียงขึ้นตอบสนอง
“อืมม อืมม”
ท่าทางของนางราวกับจะบอกว่า ‘เพราะฉะนั้นนายท่านช่วยดูแลข้าให้ดีกว่านี้ด้วย’
อินกองละสายตาจากกรีนวินด์หันไปมองยังเฟลิซี นางหัวเราะก่อนจะดำเนินบทเรียนต่อ
“แต่เทพารักษ์ส่วนใหญ่จะสูญสลายไปด้วยเมื่อที่สิงสถิตถูกทำลาย พวกนี้เป็นเรื่องที่ฉันพบเห็นเวลาสำรวจซากโบราณสถานต่างๆ”
เพราะเฟลิซีเรียกได้ว่าเป็นนักสำรวจผู้ชำนาญการ จึงไม่มีใครกล้าเถียงนาง
เคทลินถอนหายใจออกมา
“ที่ออนนี่จะบอกก็คือ ที่เทพารักษ์ของป่าแมงมุมอ่อนแอลงก็เพราะสถานที่สิงสถิตกำลังโดนโจมตี?”
“คาดว่านะ”
“ข้าก็คิดว่าเป็นไปได้สูง”
กรีนวินด์ผงกหัวอย่างจริงจังพลางกางแขนของนางออก
“แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ข้ามาเยือนที่นี่ เหล่าภูติต่างกำลังสับสนและไม่สามารถรับรู้ได้ชัดเจน แต่ข้าสัมผัสได้ มีพลังเวทบางอย่างอยู่ที่ใจกลางป่าแห่งนี้ เมื้อพลังเวทนั้นถูกทำลาย จะเกิดความเปลี่ยนแปลงกับบริเวณโดยรอบนี้อย่างถาวรแน่นอน”
“เหมือนที่ราบอินคา?”
อินกองถามขึ้นอย่างทันทีและกรีนวินด์ก็พยักหน้ารับ
“นายท่านแก้วิกฤตของที่ราบอินคาไปได้ แต่หากมิเป็นเพราะนายท่าน ที่ราบอินคาคงมิแคล้วกลับคืนสู่ทะเลทรายเป็นแน่แท้ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเวทมนตร์ของที่นี่เป็นอย่างไร แต่มันก็มีลักษณะใกล้เคียงกับของที่ราบอินคา เป็นไปได้ว่าที่นี่อาจจะกลับคืนสู่สภาพเดิมอันเป็นทะเลทรายเช่นกัน”
สีหน้าของโรบินขาวซีดทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ทะเลทราย’ กรีนวินด์ยังคงกล่าวต่อไป
“พวกเราไม่มีเวลาพอจะขอกำลังเสริมจากที่ใด พลังของผู้พิทักษ์อ่อนแอมาก หากมัวรอกำลังเสริมคงไม่ทันการแน่นอน”
คณะของอินกองใช้เวลาเดินทางไม่นาน แต่เมื่อนึกถึงระยะทางทั้งหมด แน่นอนว่าต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามวันกว่าที่กำลังเสริมจะมาถึง
อินกองมองตรงเข้าไปยังป่าแมงมุม สิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำก็คือหาตัวตนของศัตรู
“ในที่ราบอินคา เหตุเกิดเพราะเหล่าสัตว์อสูรจากทางเหนือบุกลงมาโจมตี พวกสัตว์อสูรที่กำลังโจมตีป่านี้มาจากที่ไหนกัน?”
“ข้าไม่สามารถหาคำตอบนั้นได้ บางทีอาจจะเป็นคำสาปทรงพลังบางอย่างที่ทำให้ผู้พิทักษ์อ่อนแอลง”
“สุดท้ายก็ไม่พ้นต้องเข้าไปหาคำตอบที่กลางป่าเอาเอง”
จากภายนอก สิ่งที่พวกเขาทำได้เป็นเพียงการคาดเดาต่างต่างนานา
นี่ทำให้อินกองนึกถึงอาชาแห่งอาสัญ สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ที่ราบอินคาเป็นผลเนื่องมาจากพลังแห่งอาสัญ เมื่อลองนึกคิดไปแล้ว เป็นไปได้สูงว่าเหตุการณ์นี้ก็เช่นกันน่าจะมีต้นตอมาจากอาชาแห่งอาสัญ
‘ไอพลังสีม่วง’
พลังปริศนาที่ครอบคลุมร่างของเหล่าสัตว์อสูรจากทิศเหนือ แล้วไหนจากมือหอกนิรนามที่ปกคลุมด้วยไอพลังสีน้ำเงิน พลังแห่งอาสัญที่แก่กล้ายิ่งขึ้นไปอีก
“ข ขอพระราชทานกราบทูลทราบฝ่าพระบาท”
กัมมะพูดขัดขึ้นมา อินกองหันไปมองนางส่งสัญญาณให้นางพูดต่อ
“ข้าพระพุทธเจ้าเกรงว่าการสำรวจป่าในตอนนี้จะสามารถทำได้อย่างยากลำบาก… ”
ดาฟเน่พยักหน้าเห็นด้วยกับกัมมะ
“กระหม่อมเห็นด้วยกับนาง เหล่าภูติต่างหวาดกลัวต่อค่ำคืน เป็นที่แน่ชัดว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นตอนกลางคืนแน่นอน”
กรีนวินด์ผงกหัวพลางกอดตัวเองอย่างสั่นเทา
เฟลิซีกัดปากอย่างขัดใจแล้วถามเพิ่ม
“พวกเราน่าจะไปถึงกลางป่าทันก่อนค่ำไหม?”
“เป็นไปไม่ได้ ยิ่งตอนนี้บ่ายสายๆแล้วด้วย”
คารัคเงยหน้าชี้ไปยังดวงอาทิตย์ที่ค่อนไปทางซีกตะวันตก
“ก็ได้ งั้นพวกเราจะพักแรมแถวนี้ พวกเราจะระงับการสำรวจป่าไว้ตอนพรุ่งนี้เช้า”
ถึงการสำรวจปราสาทธันเดอร์ดูมจะเป็นภารกิจของอินกอง แต่การมาเยือนป่าแมงมุมในครั้งนี้ถือเป็นภารกิจของเฟลิซี
“ที่สำคัญที่สุดก็คือชีวิตของพวกเรา ถึงเราจะไม่ควรถอยหนีในทันที แต่ก็ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงจนเกินไป”
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของนักสำรวจแล้ว เรียกได้ว่าเฟลิซีไม่คิดจะถอยหนีจากป่าแน่นอน ไหนจะเรื่องของอมิตาภาอีก
แต่ชีวิตของฉัตรและเคทลินมีความสำคัญกว่า นางพูดออกมาอย่างชัดเจนก่อนจะหันไปถามอินกอง
“ฉัตร ฉันจะขอให้กัมมะทำงานบางอย่างได้ไหม?”
อินกองหันไปมองกัมมะ ซึ่งนางก็ตอบสนองต่อสายตาของเขาทันที
“ควรมิควรสุดแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม”
อินกองหันกลับไปมองเฟลิซี นางถือว่าเป็นการอนุญาตแล้วบอกกัมมะ
“อย่างไรเสียพวกเราก้ต้องแจ้งเรื่องให้กับเหล่าไลแคนโทรป โรบินทำหน้าที่นำทางให้พวกเราในป่า ฉะนั้นเธอที่มีฝีเท้าเร็วที่สุดจะเป็นผู้แจ้งข่าวให้ทางนั้น”
“รับทราบ”
กัมมะตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน เฟลิซียิ้มออกมาอย่างหายห่วง
“ฉันจะเขียนจดหมายให้ รอสักครู่ แล้วกรีนวินด์เห็นด้วยกับการพักแรมบริเวณนี้ไหม?”
“รับทราบ”
“ไม่มีปัญหา อาจต้องขอโทษกับผู้พิทักษ์ดินแดนนี้ด้วย แต่นายท่านสำคัญกว่า”
แล้วกรีนวินด์ก็สลายตัวกลับกลายเป็นสายลมเขียวขจี หลังจากที่จัดวางแผนการอย่างคร่าวแล้ว ทั้งหมดก็แยกย้าย
เคทลินคว้ามือของอินกองไว้แล้วจ้องมองตรงไปยังดวงตาของเขา
“นี่ไม่ได้เป็นเพราะฉัตร”
ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเขา เขาเพียงแต่บังเอิญมาข้องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
“ในทางกลับกัน เพราะฉัตรมาที่นี่เหตุการณ์จึงกำลังได้รับการคลี่คลายไม่ใช่หรือ?”
เคทลินยิ้มออกมาอย่างใสซื่อ จนอินกองทำได้แต่ยิ้มกลับให้กับรอยยิ้มของนาง
“ข้าก็คิดแบบนั้นเช่นกัน”
คารัคหัวเราะให้กับการสนทนาของทั้งสอง อินกองหัวเราะแล้วตบอกเจ้าออร์ค
“ก็เป็นซะแบบนี้ละนะ”
“โชคดี”
แล้วคารัคก็เดินไปพูดคุยกับกัมมะที่กำลังเตรียมออกเดินทาง
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
ป่าแมงมุมก็เข้าสู่ห้วงราตรี