Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 96
อินกองเดินกลับมาที่ทางเข้าวัดต้นไม้ สมาชิกทั้งหมดรวมตัว
เคทลิน เฟลิซี ซิลวาน เซร่า เดเลีย ดาฟเน่ และคารัค รวมทั้งหมดแปดตน
“ฉัตร… ฉันได้กลิ่นแปลกๆจากฉัตร”
เมื่อทั้งหมดมารวมตัวกัน เคทลินก็เริ่มดมกลิ่นอย่างกระทันหัน นางหลับตาลงเพ่งสมาธิไปยังประสาทรับรู้ จมูกของนางเคลื่อนมาบริเวณไหล่ของอินกอง
เฟลิซีที่อยู่ถัดจากอินกองไปทางด้านขวาหัวเราะให้กับท่าทางของเคทลิน
“เคทลิน จมูกไวเหมือนหมาเลย?”
แม้จะฟังดูไร้มารยาท แต่เคทลินก็เป็นลูกครึ่งไลแคนโทรปหมาป่า
ความจริงก็คือเผ่าไลแคนโทรปมีประสาทสัมผัสการดมกลิ่นเป็นเลิศ
ระหว่างที่เคทลินยังคมดมกลิ่น เฟลิซีก็เริ่มสนใจขึ้นมา นางหลับตาและเริ่มเลียนแบบเคทลิน
“หืม? มีกลิ่นหอมบางอย่าง กลิ่นคล้ายผลไม้ หรือจะเป็นเอกลักษณ์ของคนธรรพ์?”
คนธรรพ์เป็นเผ่าที่มีพรสวรรค์ในด้านการร้องรำทำเพลง ร่างกายส่งกลิ่นหอม ฉัตรมีสายเลือดของคนธรรพ์นั่นทำให้เขาแสดงเอกลักษณ์ประจำเผ่าออกมา ในลักษณะเช่นเดียวกับที่เคทลินเป็นลูกครึ่งไลแคนโทรป
อินกองแสดงสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาพยายามรักษาสมดุลร่างกายไม่ให้ล้มท่ามกลางการดมกลิ่นของสาวงามทั้งสอง
ซิลวานที่มองดูอย่างอิจฉาสะกิดหลังของเฟลิซี
“ลิซซี่ อปป้าก็มีกลิ่นหอมเหมือนกันนะ?”
“มากเกินไป ใช้น้ำหอมน้อยลงเถอะ”
เฟลิซีตอบสวนกลับโดยไม่เหลียวหลังทำให้ซิลวานทรุดลงกับพื้น นางยังคงดมกลิ่นต่อ
“จริงอย่างที่เคทลินบอก ฉันรู้สึกถึงกลิ่นบางอย่างผิดแปลกไปจากปกติ?”
นางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ทำให้มีเสียงใหม่ดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลังอินกองทันที
“ข้าลบมันไปแล้วนิ?”
กรีนวินด์ปรากฏกายขึ้นเข้าถูไถอินกอง
“กรีนวินด์? ลบอะไรหรือ?”
เฟลิซีถามนาง เคทลินหยุดดมกลิ่นแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างสงสัยเช่นกัน
ระหว่างที่อินกองอยู่ในที่นั่งลำบาก คารัคก็พูดตัดบทขึ้น
“เลิกเล่นได้แล้วองค์ชาย”
คารัคฉุดซิลวานที่ล้มลงขึ้นพลางหัวเราะ
“ข้าเป็นองค์รักษ์ขององค์ชาย ข้าทนเห็นแกอยู่ในสภาพนั้นไม่ไหวหรอกนะ”
คารัคมองไปยังอินกองที่อยู่ท่ามกลางโฉมงามทั้งสองแล้วผงกศีรษะ
เป็นสัญญาณกระตุ้นอินกอง เขาพูดขึ้นเสียงดังเริ่มหัวข้อสนทนา
“เอาละมาเตรียมตัวเดินทางไปทะเลสาบสุริยันกันเถอะ อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ จุดประสงค์แรกก็คือรวบรวมวัตถุดิบให้อมิตาภา ส่วนอีกประการก็อย่างที่รู้กันแล้ว?”
กรีนวินด์ถอยกลับออกมาพร้อมกับเฟลิซีและเคทลิน
แล้วเฟลิซีก็พูดเสริมอินกอง
“ใช่แล้ว คำใบ้ที่มีในห้องทะเบียนของปราสาทธันเดอร์ดูมชี้มายังที่นี่ แล้วในตอนแรกฉันก็แจ้งไปยังวังหลวงว่าจะเดินทางมาสำรวจทะเลสาบสุริยันด้วย”
รายงานเท็จมีความผิดในระดับหนึ่ง การที่สามารถตัดปัญหาเรื่องนี้ไปได้ถือเป็นเรื่องที่ดี
“ซากโบราณใต้ทะเลสาบ… แค่พูดถึงก็น่าสนใจแล้ว”
เคทลินแสดงสีหน้าคาดหวังออกมา
คารัคถามกลับ
“แล้วจะเอายังไงกับกัมมะ? นางน่าจะกลับมาพร้อมกำลังเสริมในไม่กี่วัน ปล่อยให้เป็นหน้าที่เจ้าแรคคูนจะดีหรือ?”
ม้าเร็วทั้งสองถูกส่งไปขอกำลังเสริม พวกเขาส่งข้อความไปหาโรบินผ่านทางเครื่องมือสื่อสารบนเรือเหาะของซิลวานเรียบร้อย แต่กัมมะได้ออกเดินทางมาพร้อมกำลังเสริมชุดแรกก่อนหน้านั้นแล้วจึงเป็นปัญหา
อินกองรู้ว่ากัมมะมีฝีเท้าที่เร็ว แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่านางทำหน้าที่ด้วยความตั้งใจอย่างมาก
คณะของอินกองจึงต้องทิ้งผู้ส่งสารเอาไว้เพื่ออธิบายเหตุการณ์ หากหน้าที่นี้สามารถทิ้งให้เป็นภาระของอมิตาภาได้ก็จะดีไม่น้อย แต่ก็อาจมีข้อคลางแคลงได้อย่างที่คารัคบอก
“ช่วยไม่ได้สินะ”
เฟลิซีได้ข้อสรุปแล้วหันไปมองซิลวาน
“ซิลวานช่วยอยู่คอยอธิบายได้ไหม? พวกเราต้องการคนที่รู้สถานการณ์และสามารถปกป้องป่าแมงมุมได้ในเวลาเดียวกัน”
“อืม สิ่งที่หน้ากลัวที่สุดก็คือการจู่โจมกระทันหันหลังจากที่ทุกอย่างจบลง ทิ้งซีพิร่าไว้พร้อมทหารหนึ่งกองน่าจะพอ”
ซิลวานลูบคางใช้ความคิดพลางพูดอย่างวางท่า คารัคถามแทรกขึ้น
“ซีพิร่าใช่หัวหน้ากองคนนั้นสินะ? ที่เป็นสาวงามผมม่วง?”
“ใช่แล้วนางคือที่ปรึกษาของซิลวาน จะว่าไปแล้วเจ้าเห็นนางเพียงครั้งเดียวก็จำได้เชียวรึ?”
คำถามของเฟลิซีเรียกสายตาอันเฉียบคมของเซร่า เดเลีย และดาฟเน่ไปยังคารัคทันที
เจ้าออร์คตอบกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“การจำแนกบุคลากรถือว่าสำคัญ ยิ่งหน้าตาของทหาร ถ้ามีพวกสอดแนมเข้ามา การจำหน้าทหารไม่ได้ยิ่งอันตรายไม่ใช่หรือ? การจำหน้าดีเสียกว่าการจำชื่อ”
นี่แสดงให้เห็นว่าคารัคจดจำใบหน้าและลักษณะของลูกเรือซิลวานทั้งหมดไว้เรียบร้อย
ซิลวานมองคารัคอย่างเหลือเชื่อพลางกระซิบถามเฟลิซี
“ลิซซี่ ไอ้นั่นใช่ออร์คจริงๆหรือ?”
“ฉันก็สงสัยอยู่เหมือนกัน อยากจะลองชำแหละชี้ชัดซักครั้ง”
คำพูดของเฟลิซียากจะบอกได้ว่านางพูดเล่นหรือพูดจริง เดเลียจึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“คารัคสามารถมาก เขาสมเป็นองครักษ์ของเจ้าชาย”
“สุดยอดมากๆ”
เซร่ากล่าวชื่นชมในลักษณะเคทลิน และแน่นอนว่าดาฟเน่ก็ไม่นิ่งเฉย
“เป็นคนที่สามารถพึ่งพาได้ตลอดเวลา”
ซิลวานจ้องมองคารัคอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง คารัคเกาหัวพลางหัวเราะ
#ไรจูววววว เอ็กซ์โปลดดดดดด
“ข้าก็แค่ทำตัวให้สมกับที่เป็นองครักษ์”
ทั้งสามมองคารัคอย่างอบอุ่น อินกองหันไปมองเฟลิซีแล้วทั้งสองต่างหัวเราะ ก่อนเฟลิซีจะพูดสรุปขึ้นอีกครั้ง
“เอาละนั่นก็คือทั้งหมด พวกเราพร้อมเริ่มเดินทางกันหรือยัง? ซิลวานช่วยกรุณาด้วย”
คำขอจากเฟลิซีทำให้ซิลวานพยักหน้าในทันที
“ไว้ใจอปป้าได้เลย”
ซิลวานเดินออกจากวัดต้นไม้ไปรวมลูกเรือ เฟลิซีมองดูซิลวานพร้อมเหล่าลูกเรือเตรียมการเดินทาง
“อปป้านี่หลอกง่ายดีจริง”
อินกองแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรพลางเดินออกจากวัดพร้อมคารัค เรือเหาะของซิลวานที่มีชื่อว่า ‘เพลิงมังกรทมิฬ’ กำลังถอนสมอเตรียมล่องสู่ท้องฟ้า
หลังจากนั้นยี่สิบนาที…
“เพลิงมังกรทมิฬเชียร์! พร้อม!”
““““พร้อม!””””
“เริ่มได้!”
ซิลวานชักดาบของเขาขึ้นพร้อมร้องตะโกน ตามมาด้วยเสียงตอบรับจากเหล่าลูกเรือ เครื่องยนต์เวทมนตร์เริ่มทำงานแล้วเรือใบก็เริ่มลอยตัว
“ลมโชย! ท่องนภา, เพลิงมังกรทมิฬ ฮ่าไฮ่!”
““““โบยบิน!””””
““““ล่องลอย!””””
ลูกเรือทั้งหมดหน้าแดงก่ำ ซีพิร่าและหน่วยทหารที่อยู่ด้างล่างต่างแสดงสีหน้าว่าพวกตนโชคดี
“น่าขายหน้าที่สุดดดดดดดด”
เฟลิซีพึมพำพลางก้มตัวลงราวกับต้องการหลบจากสายตาทั้งหมด นางแสดงท่าทางแทนบรรดาเหล่าลูกเรือ
&
เพลิงมังกรทมิฬเป็นหนึ่งในไพ่ตายของเผ่าเอลฟ์รัตติกาล
ชื่อเดิมของมันคือ แบล็คอาร์ค
ด้วยความที่เผ่าเอลฟ์รัตติกาลยึดถือในสตรีเพศ ตระกูลดูมเบลดจึงสืบทอดต่อโดยบุตรสาวที่ดีที่สุด ส่วนบุตรชายที่ดีที่สุดจะได้รับสืบทอดแบล็คอาร์คแทน นี่เป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบเนื่องต่อกันมา
ลูกจากบุตรชายจะไม่ถือว่าเป็นตระกูลดูมเบลด หรือก็คือตระกูลจะสืบผ่านทางสายเลือดฝั่งแม่เท่านั้น นั่นหมายความว่าแบล็คอาร์คก็จะกลับสู่ตระกูลดูมเบลดสายเลือดหลักเสมอ
ซิลวานรับสืบทอดเรือแบล็คอาร์คมาจาก ลีโอนาโด้ ดูมเบลด ผู้เป็นพี่ชายของราชินีซิลเวีย
และการที่ซิลวานเพิ่งบรรลุนิติภาวะมาเพียงหนึ่งปี จึงหมายความว่าซิลวานรับสืบทอดเรือแบล็คอาร์คมาเพียงหนึ่งปีเช่นกัน
การขับขี่โดยมือสมัครเล่นย่อมเกิดข้อผิดพลาดขึ้นเล็กน้อย แต่การเดินทางของคณะอินกองบน ‘เพลิงมังกรทมิฬ’ ก็ดำเนินไปได้ด้วยดี ระยะทางที่ต้องใช้เวลาหลายวันถูกร่นลงเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง
อินกองใช้เชือกมัดข้อมือเขาเอาไว้ก่อนปืนขึ้นเสากระโดง เขาอยู่ที่ความสูงราวสองร้อยเมตรทำให้มีลมแรง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาต่อการสังเกตการณ์
ทะเลสาบสุริยัน…
สถานที่ที่อินกองเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยครั้งในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า
อสูรโลหะที่อมิตาภากล่าวถึงมีชื่อเรียกว่า คาลโตส พวกมันมีผิวที่กันการเกาะตัวของน้ำโดยธรรมชาติ ทำให้พวกมันสามารถอาศัยอยู่ในทะเลสาบได้โดยไม่มีปัญหา
แน่นอนว่าอุปกรณ์ที่สร้างโดยชิ้นส่วนจากคาลโตสจะได้รับคุณสมบัติป้องกันน้ำไปด้วย
‘ฟาร์มพวกมันจนเบื่อหน้าไปเลยช่วงนึง’
ด้วยเหตุผลที่ว่าอินกองคุ้นเคยกับอสูรโลหะเหล่านี้ดี ทำให้เขาคุ้นเคยกับจุดอ่อนของพวกมันด้วย เขามั่นใจว่าสามารถรับมือกับพวกมันจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย
‘รัศมีเทพ’
หนึ่งในพลังวิเศษทั้งสี่อันได้แก่ ลมปราณ พลังจิต เวทมนตร์ และรัศมีเทพ
และในขณะเดียวกันมันก็เป็นจุดอ่อนของพวกคาลโตส
พันธมิตรร่วมกับแสงสุดท้ายทำให้รัศมีเทพในตัวของเขาตื่นขึ้น
‘แต่เวทมนตร์กับรัศมีเทพใช้ร่วมกันลำบาก’
พลังจากธรรมชาติกับพลังจากปาฏิหาริย์ย่อมไม่เข้ากัน
และเช่นเดียวกับโลกมนุษย์ ที่โลกมารก็มีเทพอยู่หลายองค์
อย่างฟลอร่าที่คอยดูแลคฤหาสน์ของอินกองก็เป็นสาวกของเทพีคาอีล่า เทพีแห่งความฝันและเงา
สาเหตุที่แซเฟียร์ไม่ใช้รัศมีเทพก็เป็นเพราะมันต่อต้านกับเวทมนตร์ของเขา
‘แต่เราต่างออกไป’
อินกองรวบรวมรัศมีเทพขึ้นที่มือขวาของเขาพลางครุ่นคิด ภายในนั้นมีประกายสีเขียวที่ย้ำเตือนเขาถึงแสงสุดท้าย
อินกองลองเสริมพลังเวทเข้าไป พลังที่สองแตกชั้นกันก่อนจะทยอยรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว
กายาชาตรี
ทักษะเสริมจากพลังพระเอกที่สามารถรวมกระทั้งพลังของเอนคิดูและอันเคลที่ตรงข้ามกัน
จะเกิดอะไรขึ้นหากเวทมนตร์และรัศมีเทพสามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างกลมกลืน? และหากเขาเสริมลมปราณเข้าไปด้วยก็จะกลายเป็นสามพลังวิเศษ
อินกองหายใจอย่างตื่นเต้นก่อนจะเบนความสนใจไปยังสิ่งอื่น ทะเลสาบขนาดใหญ่เรืองแสงสีทองระยิบระยับท่ามกลางท้องฟ้าสีแสด
ทะเลสาบแห่งนี้เรืองแสงสีทองทั้งในยามกลางวันและกลางคืน จึงเป็นที่มาของชื่อสุริยัน
อสูรโลหะเป็นกลุ่มเดียวที่อาศัยบริเวณทะเลสาบนี้
ทว่าก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า‘ผู้เฝ้าทะเลสาบ’ที่เปรียบเสมือนหัวหน้าของพวกมัน
‘น่าจะได้เวลาที่ไอ้นั่นโผล่มาละ’
ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงสาดส่อง มีบางอย่างผุดขึ้นจากกลางทะเลสาบ
ฉายาตัวดูดปัญหาที่อินกองพยายามปฏิเสธมาตลอด
ความพยายามปฏิเสธของเขาจะได้ผลหรือไม่?
“งูทะเลยักษ์? ในทะเลสาบ?”
บรรดาลูกเรือที่เห็นต่างส่งเสียงร้องอย่างประหลาดใจ อินกองได้แต่กัดฟันกำหมัดแน่น
เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น บรรดาลูกเรือต่างเข้าประจำตำแหน่งรบ
“งูทะเลยักษ์?”
ซิลวานจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเคร่งเครียด อสรพิษตัวนั้นจ้องมองมายังเรือเหาะของพวกเขาเช่นกัน
งูทะเล…
สัตว์ชั้นต่ำในตระกูลมังกรที่อาศัยอยู่ในทะเล
ลำตัวของมันยาวราวห้าสิบเมตร มันถือเป็นสัตว์อสูรที่ดุร้าย
ผู้เฝ้าทะเลสาบ สัตว์อสูรที่เรียกว่าแข็งแกร่งและต่อกรได้ยากเพราะมันอาศัยอยู่ในทะเลสาบ
แต่ไม่ใช่วันนี้
“ปฐมเพลิง”
อินกองเรียกใช้ทักษะที่ได้รับจากแสงสุดท้าย
เปลวเพลิงสีเขียวลุกขึ้นชโลมเกราะเท้าเกล็ดมังกร อินกองสวมพสุธากัมปนาทกับไวท์อีเกิ้ล เขาปลดสายนิรภัยที่รัดเอวไว้
“ฉัตร?”
ซิลวานจ้องมองอินกองอย่างสับสน เฟลิซีโบกพัดของนางอย่างผ่อนคลายพลางหันมาถามราวกับนางกำลังพักผ่อน
“เธอจะลุยสินะ?”
“ครับผม พวกเราต้องสำรวจใต้ทะเลสาบนิดหน่อย”
อินกองหัวเราะตอบกลับ ซิลวานยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น คารัคหันมาแสยะยิ้มให้อินกองก่อนมันจะหันกลับไปคุยกับเดเลีย
“อาซคาลัน”
ผลงานชิ้นเอกในกลุ่มอาวุธพิฆาตมังกร
อาวุธอันร้ายกาจที่ถูกใช้สังหารมังกรพาติซานในปราสาทธันเดอร์ดูม
ไม่มีการต่อต้านระหว่างพสุธากัมปนาทและอาซคาลันอย่างคราวก่อน อินกองกำหอกสีขาวไว้ในมือพลางหันไปทักเคทลิน
“ขอโทษนะครับนูนะ”
เคทลินเอียงคอสงสัยในท่าทางขอขมาของอินกอง
แม้อินกองจะไม่อยากใช้วิธีนี้ แต่นี้เป็นหนทางที่รวดเร็วที่สุด เพื่อลดเวลาลงแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
โลหิตมังกร…
พลังแฝงของร่างมังกรจำแลง
พสุธากัมปนาทส่งเสียมคำรามออกมา พร้อมกับการสั่นเทาต่อต้านจากอาซคาลัน
สิ่งที่อินกองยากจะทานทนในปราสาทธันเดอร์ดูมเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่เขาเตรียมวิธีรับมือเอาไว้แล้วในครั้งนี้
ด้วยแก่นจันทราและแก่นบริวาร
อินกองดึงพลังจากตัวเคทลินเช่นเดียวกับที่เขาทำยามต่อสู้กับภูติที่คลุ้มคลั่ง
เคทลินตกใจที่พลังถูกดูดไปอย่างกระทันหันแต่ก็เพียงชั่วขณะ นางเบ้ปากแล้วพึมพำออกมา
“ฉัตรแย่มาก”
ทำไมเสียงของนางดูน่ารักทั้งที่ถ้อยคำแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง? ยิ่งกว่านั้นท่าทางของนางกลับดู… ยินดี?
อินกองรวมลมปราณไปยังหอกอาซคาลัน แน่นอนว่าทั้งพลังเวทและรัศมีเทพก็ถูกรวมไว้ที่หอกเช่นกัน
อินกองไม่สนใจสายตาของซิลวานที่ยังตกตะลึง เขาเดินปีนขึ้นไปบนหัวเรือ
“ลุยละนะ”
“ลุยมันองค์ชาย”
อินกองกระโดดพุ่งลงใส่ผู้เฝ้าทะเลสาบในทันทีที่เสียงตอบรับดังขึ้นจากคารัค
&
[คุณได้รับฉายา: พิชิตมังกรในคราเดียว]