Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก - ตอนที่ 97
เหล่าผู้ชมบนเรือเพลิงมังกรทมิฬต่างมีสายตาตกตะลึง ลูกเรือบางส่วนร้องอุทานออกมาด้วยความชื่นชม
เจ้าชายลำดับที่เก้ากระโดดลงจากหัวเราะ ตามมาด้วยเสียงระเบิดจากทะเลสาบ
เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น
ละอองน้ำลอยคละคลุ้งส่องแสงระยิบระยับงดงาม ใจกลางการระเบิดเป็นร่างงูทะเลถูกฝั่งไปกับก้นทะเลสาบ
แม้ลูกเรือส่วนใหญ่จะมองไม่ทันพริบตาของการโจมตี แต่ก็พอจะคาดเดาได้
การต่อสู้จบลงภายในเสี้ยววินาที เจ้าชายลำดับที่เก้าจัดการกับงูทะเลในการโจมตีครั้งเดียว กำจัดสัตว์อสูรในตระกูลมังกรอย่างงูทะเลในการโจมตีครั้งเดียว
‘เป็นไปได้ยังไง…?’
ลูกเรือต่างกลืนน้ำลายมองกันและกันหาคำตอบ บางส่วนมองไปยังกับตันแต่ท่าทางของซิลวานก็ไม่ได้แตกต่างออกไป
ซิลวานรวมลมปราณไว้ที่ตาทำให้เขาสามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน เขาก้มลงมองอินกองที่ลอยอยู่บนซากงูทะเลอย่างตะลึง
อินกองยืนอยู่บนไวท์อีเกิ้ลที่ลอยอยู่อีกที
อินกองโบกมือให้กับซิลวานและซิลวานก็โบกมือกลับก่อนจะระลึกบางอย่าง ซิลวานหันไปมองด้านหลังพบกับเฟลิซีและเคทลิน ดูเหมือนอินกองจะไม่ได้โบกมือให้กับซิลวานแต่เป็นสตรีทั้งสอง
“ได้ไง?”
ซิลวานอุทานถามเฟลิซีทั้งทียังโบกมืออยู่
เฟลิซียิ้มตอบให้ซิลวาน ใบหน้าของดูนางดูสับสนเล็กน้อยบ่งบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เหนือความคาดหมายของนางเช่นกัน
แต่นางก็คุ้นเคยกับอินกองมากกว่าซิลวานและเหล่าลูกเรือ
“ฉันก็บอกไปแล้วนิ? ฉัตรของพวกเราเจ๋งสุด ถึงขนาดกำจัดงูทะเลยักษ์ได้ในครั้งเดียว”
ย่อมมีคำถามจำนวนมากตามมาหากคริสต์อยู่ตรงนี้ ทว่าผู้ที่อยู่ข้างเฟลิซีไม่ใช่คริสต์แต่เป็นเคทลิน
“ใช่แล้ว ฉัตรสุดยอด”
เคทลินพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสองพูดโอ้อวดอย่างภาคภูมิ
นั่นทำให้ซิลวานถึงกับพูดไม่ออก เขาไปพูดคุยกับต้นหนแล้วบรรดาลูกเรือต่างก็ทอดสมอเพลิงมังกรทมิฬ
&
‘นายท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?’
เสียงถามอย่างห่วงใยของกรีนวินด์ดังขึ้นข้างหู อินกองชำเลืองมองพสุธากัมปนาทกับอาซคาลันก่อนผงกศีรษะ แม้ไม่อาจสังเกตได้จากระยะไกล แต่อินกองในตอนนี้หน้าซีดเผือด
“นิดหน่อย ก็แค่ร้าวระบมไปทั้งแขน”
หากมิใช่ว่าอินกองใช้ลมปราณเสริมพลังให้กับแขนของเขาไว้ก่อน มันคงจะแตกกระจุยไปเรียบร้อย การโจมตีที่เขาเพิ่งใช้สร้างภาระให้แขนของเขาอย่างมาก
อินกองเก็บพสุธากัมปนาทกับอาซคาลันเข้าช่องเก็บของ เขาเงยหน้าขึ้นพบกับเพลิงมังกรทมิฬที่กำลังลดระดับลงทีละนิด
‘ข้าขอโทษที่ไวท์อีเกิ้ลไม่กว้างพอ นายท่านควรอยู่นิ่งๆจนกว่าเรือนั้นจะลงมา’
“กีวี่ทำดีแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะกีวี่ลดแรงต้านอากาศให้ ผมคงไม่สามารถจัดการงูนั่นได้ในครั้งเดียว ทำดีมาก”
อินกองพูดพลางหัวเราะให้กับกรีนวินด์ที่ปรากฏกายขึ้นลอยตัวอยู่ด้านข้าง นางมองดูที่ว่างบนไวท์อีเกิ้ล แม้จะมีที่ว่างพอแต่นั่นอาจทำให้อินกองเสียหลักได้
‘อ่า ข้าอยากได้รับคำชมมากกว่านี้แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ไว้กลับขึ้นพื้นแล้วนายท่านห้ามลืมชื่นชมข้าเด็ดขาด แล้วก็ ข้าไม่ได้ชื่อกีวี่!’
กรีนวินด์พูดตอบกลับอย่างขึงขังทำให้อินกองขนขับยิ่งกว่าเดิม
“ครับ ครับ”
น่าเสียดายที่อินกองทำได้แค่เพียงลูบหัวนางเล็กน้อยก่อนปริมาณน้ำจะไหลทะลักเข้ามา ร่างไร้วิญญาณของงูทะเลลอยกลับคืนสู่ผิวน้ำ
ร่างของมันใหญ่โตพอสมควร แม้จะไม่มีสติปัญญาเทียบเท่ามังกร แต่ด้วยความที่เป็นสัตว์อสูรตระกูลมังกรทำให้มันสามารถใช้พลังจิตและเวทมนตร์ได้
ในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า อินกองประสบปัญหาในการต่อสู้กับผู้เฝ้าทะเลสาบตนนี้พอสมควร
จนพบกับข้อสรุปที่ดีที่สุดว่ากำจัดมันในครั้งเดียว
ด้วยเหตุผลที่อาซคาลันถูกสร้างขึ้นมา
เมื่อรวมกับทักษะ ‘ปลุกพลังแฝง’ ทำให้เขาสามารถใช้ทักษะพิเศษประจำอาวุธได้
แน่นอนว่าอาวุธที่แฝงทักษะพิเศษเอาไว้มิได้มีเพียงพสุธากัมปนาทกับไวท์อีเกิ้ล ผลงานชิ้นเอกในตระกูลอาวุธพิฆาตมังกรย่อมมีทักษะพิเศษเช่นกัน
‘ริวซากิ’
#ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมนิยายเกาหลีถึงมีท่าไม้ตายเป็นภาษาญี่ปุ่น????
‘ทักษะพิเศษที่มีไว้สำหรับสัตว์ตระกูลมังกร… สมกับที่เป็นอาซคาลัน’
อย่างที่ชื่อบ่งบอก ริวซากิ เป็นทักษะพิเศษที่มีไว้เพื่อสังหารมังกร ทักษะที่รวมพลังทั้งหมดเอาไว้ที่ปลายหอกแล้วพุ่งแทงด้วยพลังทั้งหมด เหมาะสำหรับใช้ในการพิฆาตในคราเดียว
#ริวซากิแปลว่านักฆ่ามังกร ถ้าแปลไม่ผิดนะ
‘แต่เราก็มองไม่เห็นอะไรเลยระหว่างพุ่งแทง’
ความกล้าบ้าบิ่นรวบรวมสมาธิพุ่งเข้าโจมตีจุดเดียวบนเป้าหมาย นี่เป็นทักษะที่ทำให้เลือดนักรบในตัวร้ำร้อง
‘ดีนะที่เรามีไวท์อีเกิ้ล’
อินกองกระโดดลงจากระดับความสูงสองร้อยเมตรขี่ไวท์อีเกิ้ลพุ่งดิ่งลงมา ไวท์อีเกิ้ลที่มีสถานะไม่ต่างไปจากกระดานโต้คลื่น
‘แล้วก็ดีที่กรีนวินด์ควบคุมลมได้’
กรีนวินด์คอยควบคุมทิศทางของไวท์อีเกิ้ล และคอยแหวกอากาศเพื่อลดแรงต้าน ทำให้อินกองสามารถจดจ่อไปยังเป้าหมายได้โดยไม่หวั่นเกรง
และก็ต้องขอบคุณพลังที่เขาดูดกลืนมาจากเคทลิน ด้วยพลังนั้นอินกองจึงสามารถควบคุมบงการอาซคาลันให้ยอมสงบลงได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังได้รับผลข้างเคียงบางอย่าง
โลหิตมังกรที่ใช้พลังงานชีวิตหรือลมปราณจำนวนมหาศาล ไหนจะรัศมีเทพที่อินกองใช้ผสานไปในการโจมตีครั้งนี้ด้วยอีก นั่นทำให้อินกองอ่อนแรงอย่างมาก หากมิใช่ว่าการสังหารงูทะเลช่วยให้เขาเพิ่มระดับเลเวล เขาคงไม่สามารถขยับร่างกายได้แม้แต่กระดิกนิ้ว
‘ข้อเสียเดียวก็คือเดาทางง่ายไปนี่ละ’
อาซคาลันไม่เหมาะใช้ต่อสู้กับศัตรูที่คล้ายมนุษย์ อย่างเช่นจีราดหรืออดีตผู้พิทักษ์ ศัตรูจำพวกนี้สามารถเดาทิศทางการโจมตีและหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย
‘แต่เราก็มีวิชาไว้ใช้จัดการกับพวกร่างคนอยู่เยอะแล้ว’
กระสุนสังหาร อิเนีย ระเบิดลมปราณ แล้วก็ยังทักษะพิเศษจากพสุธากัมปนาทอย่างมหาวินาศ
‘มาคิดถึงของวิเศษชิ้นที่สามดีกว่า’
อีกหนึ่งมังกรบรรพกาล พญามังกรหัวรุนแรงไคทีน…
อาวุธวิเศษจะมีรูปร่างเช่นไร? รวมถึงทักษะพิเศษที่แฝงอยู่?
“ฉัตร!”
เสียงเรียกของเฟลิซีใกล้เข้ามา อินกองทะยานโล่ไวท์อีเกิ้ลเข้าหาเรือเพลิงมังกรทมิฬที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ
&
สิ่งที่ต้อนรับการกลับมาของอินกองมิใช่เสียงชื่นชมจากเหล่าลูกเรือ เฟลิซี หรือคารัค
“ฉัตรแย่มาก!”
เคทลินกอดอกดุอินกองอย่างจริงจัง ถึงแม้น้ำเสียงของนางจะฟังดูน่ารักก็ตาม
“ขอโทษครับ”
“ฉันไม่ใช่พลังงานเสริมของเธอนะฉัตร”
“ขอโทษครับผม”
อินกองดูดกลืนพลังจากเคทลินมาโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะในครั้งนี้ อินกองไร้ซึ่งข้อแก้ตัวนั่นเพราะเขาทำทั้งหมดลงไปเพียงเพราะอยากเห็นท่าทางตอบสนองจากเคทลิน
อินกองกล่าวขอขมาอยู่หลายครั้งจนเคทลินใจอ่อน
“ต่อจากนี้ถ้าเธอจะยืมพลังฉันไปใช่ก็ขอก่อน”
“ถ้าผมขอนูนะก่อนก็ไม่มีปัญหาหรือครับ?”
“ไม่มีปัญหาถ้าเธอขออนุญาตฉันก่อน”
ถ้อยคำและท่าทางของเคทลินทำให้นางดูราวกับนักบุญเลยทีเดียว แต่อินกองยังไม่หยุดเพียงเท่านี้
“แล้วถ้าในกรณีคับขันละครับ?”
อย่างเช่นสถานการณ์ตอนเผชิญหน้ากับอดีตผู้พิทักษ์ สถานการณ์คับขันที่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีสามารถตัดสินความเป็นตายได้
เคทลินหรี่ตาให้กับคำถามของอินกอง
“ถ้ามันคับขันก็คงช่วยไม่ได้”
“รับทราบครับ นูนะอนุญาตแล้วนะครับ”
คำขานรับจากอินกองทำให้เคทลินรู้สึกเสียวสันหลัง เซร่าสะกิดไหล่เคทลินดุนางเล็กน้อย
“องค์หญิงทรงใจอ่อนไปเพคะ”
“ใช่แล้ว เหมือนกับพวกเธอกำลังเล่นตลกกันอยู่”
เฟลิซีเดาะลิ้นก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“เอาเป็นว่าทำได้ดีมาก ถึงจะบอกว่าเธอมีอาซคาลันก็เถอะ การกำจัดงูทะเลยักษ์ในครั้งเดียวถือว่าสุดยอดมาก เกินความคาดหมายของฉันเสียอีก… ไม่ใช่ว่าตอนนี้เธอก้าวข้ามซิลวานกับคริสต์ไปแล้ว?”
ภาพที่อินกองพุ่งกระโจนลงจากหัวเรือดำดิ่งดูไม่ต่างไปจากอุกกาบาตจากฟากฟ้า น้ำที่สาดกระเซ็นอย่างรุนแรงจากแรงปะทะ ละอองน้ำที่ระเหยจากความร้อนของการปะทะ
แน่นอนว่าคำพูดของเฟลิซีทำให้ซิลวานสะท้านขึ้นมาทันที
“ถ้าเราถอดผ้าปิดตานี้ออกละก็… ”
ซิลวานเอื้อมมือแตะผ้าปิดตาของเขาพลางพึมพำออกมา ทำให้อินกองพูดปลอบซิลวานขึ้น
“อย่างที่นูนะบอกครับ เพราะงูทะเลนั่นเป็นตระกูลมังกร ความสามารถของอาซคาลันก็เลยช่วยได้มาก… ความเก่งกาจไม่ได้วัดกันแค่การโจมตีครั้งเดียวนิครับ ผมยังห่างไกลจากระดับของคริสต์ฮยองกับซิลวานฮยองอีกเยอะ ใช่ไหมครับ?”
คำพูดด้วยเสียงอันนอบน้อมและอ่อนโยน
ซิลวานลังเลชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า
“อืม ใช่แล้ว ฉัตรสุดยอดจริงๆ”
คำชมที่หลุดจากซิลวานสร้างความขนขับให้กับเฟลิซี
ก่อนเสียงของคารัคจะดังขึ้นช่วยซิลวานเอาไว้
“แล้วพวกเราจะเอายังไงกับร่างของงูทะเลนั่นดี? เอาไปฝากเจ้าแรคคูนด้วยดีไหม?”
แม้จะถือว่าชั้นต่ำ แต่ก็ยังเป็นสัตว์อสูรตระกูลมังกร แน่นอนว่าเกล็ดและหนังของมันก็นับว่าเป็นวัตถุดิบชั้นดี
“นั่นก็ไม่เลว แต่ว่าขนาดของมัน… ฮยองครับ เรือของฮยองพอจะขนมันได้ไหมครับ?”
ซิลวานที่กำลังซึมเศร้าแอ่นอกขึ้นในทันที
“ไม่มีปัญหา ท้องเรือของเพลิงมังกรทมิฬใหญ่โตมาก แค่งูทะเลนั่นเหลือเฟือ”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราควรจะรีบขนมันขึ้นบก ไม่อย่างนั้นพวกสัตว์อสูรในทะเลาสาบเห่กันมารุมทิ้งซากงูทะเลแน่นอน”
ยิ่งสัตว์อสูรที่ตายแข็งแกร่งเท่าไร จำนวนของสัตว์อสูรที่มารอกินซากก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น
พวกปลาและสัตว์ทะเลทั่วไปต่างมาห้อมล้อมเรียบร้อย
เฟลิซีถามขึ้น
“ไม่ใช่ว่าพวกเราควรเตรียมรับมือกับคาลโตสก่อนหรือ? นั่นคือจุดประสงค์ของพวกเรานิ”
อาจจะไม่เทียบเท่างูทะเลยักษ์ได้ แต่คาลโตสก็เป็นอสูรโลหะที่แข็งแกร่ง ร่างกายของพวกมันสร้างปัญหาได้มากมาย
“เฮ้อ ข้าก็แค่หวังว่าจะไม่มีแสงสีม่วงจากพวกคาลโตส… ”
คารัคพึมพำออกมา อินกองรีบพูดตัดเจ้าออร์คทันที
“หยุดคำพูดนั้นไว้เลย”
“ข้าก็แค่ภาวนาไม่ให้เจอพวกมัน”
นับว่าโชคดีของพวกเขาที่ความปรารถนาของคารัคเป็นจริง
&
“เอาละ มาเริ่มแผนการปราบคาลโตสกันเถอะ”
หลังจากที่เพลิงมังกรทมิฬขึ้นบก อินกองก็เปิดหลักสูตรคาลโตสพื้นฐาน โดยมีเฟลิซี เคทลิน ซิลวาน และทีมต่อสู้เข้าฟังบรรยาย
“พวกคาลโตสมีร่างกายเป็นโลหะ แต่ก็แค่เพียงผิวเปลือกนอกเท่านั้น ภายในพวกมันก็ไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตทั่วไป มีเลือด มีเนื้อ”
ร่างกายดุจสิงโต ศีรษะของจระเข้ เกล็ดที่ปกคลุมราวหยกเจียระไน
อินกองยกมือชี้ไปยังภาพที่เดเลียวาด
“พวกมันทนทานต่อการโจมตีกายภาพและเวทมนตร์ ทำให้วิธีที่ดีที่สุดคือโจมตีมันจากภายใน ปากของพวกคาลโตสเป็นอาวุธอันร้ายกาจ แต่ก็เป็นจุดอ่อนในเวลาเดียวกัน”
“สรุปก็คือ ให้โจมตีเวลามันอ้าปากสินะ?”
เฟลิซียกมือขึ้นถามอาจารย์
“ใช่แล้ว พวกคาลโตสชอบใช้ปากกัดแทะศัตรู เราจะใช้ประโยชน์จากจุดนี้”
สีหน้าของเฟลิซีเปลี่ยนไปทันที นั่นเพราะแผนการนี้ดูจะไม่ราบรื่นอย่างที่คิด
อินกองยิ้มให้นางแล้วบรรยายต่อ
“สิ่งที่ได้ผลที่สุดก็คือเวทมนตร์น้ำแข็ง พวกคาลโตสแพ้ความเย็น เวทน้ำแข็งจะทำให้พวกมันเชื่องช้าลง สรุปง่ายๆก็คือ ใช้เวทน้ำแข็งทำให้มันช้าลง แล้วเล็งเวลามันอ้าปาก”
เฟลิซีพยักหน้าอีกครั้ง
“หมายความว่าดาวเด่นในงานนี้ก็คือฉันสินะ”
หากพูดถึงสมาชิกที่เชี่ยวชาญเวทมนตร์ที่สุดในคณะของอินกองก็คงไม่พ้นเฟลิซี แต่ซิลวานรีบยกมือขึ้นขัด
“อืม เป็นวิธีที่ไม่เลว แต่เรามีความคิดที่ดีกว่านั้น”
ซิลวานชักดาบของเขาออก ลมปราณสีดำห่อหุ้มคมของมันไว้
ดาบลมปราณที่สามารถฟาดฟันทุกสิ่ง
เห็นได้ชัดเจนว่านี่เป็นความสามารถเฉพาะตัวของซิลวาน
“ดาบลมปราณของเราสามารถตัดผ่านโลหะได้ง่ายดาย เกล็ดโลหะของพวกคาลโตสไม่ใช่ปัญหาอะไร”
อย่างที่ซิลวานกล่าว ดาบลมปราณของเขาสามารถตัดผ่านพวกคาลโตสได้โดยไม่เป็นปัญหา
เฟลิซีตบมือของนางจ้องมองซิลวานด้วยดวงตาเป็นประกาย
“อปป้าสุดยอดมาก”
คำเรียกซิลวานกลายเป็นอปป้าในทันที แต่นี่กลับทำให้ซิลวานรู้สึกผิดแปลกมากกว่ายินดี
เฟลิซียังคงพูดต่อ
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราปล่อยให้พวกคาลโตสเป็นหน้าที่ของอปป้า ฉันจะคอยเฝ้ามองเป็นกำลังใจให้”
แน่นอนว่าเป็นคำเยินยอโกหกคำโต แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างซิลวานกลับเชื่อคำพูดนี้
“ไว้ใจอปป้าได้เลยลิซซี่”
“ใช่แล้ว ฉันเชื่อในตัวอปป้าเสมอ”
“เอาละ เพราะฉะนั้นเราจะจัดการพวกคาลโตสให้เอง วะฮะฮะฮ่า!”
ซิลวานร้องตะโกนอย่างมั่นใจพลางกระโดดลงจากเรือวิ่งตรงเข้าหาพวกคาลโตสที่อยู่ห่างออกไป
เฟลิซีจ้องมองพี่ชายของนางชั่วครู่ก่อนจะหันกลับมาหาสมาชิกที่เหลือ
“เอาละทีนี้พวกเราก็ทานมื้อเย็นแล้วพักผ่อนกันเถอะ พวกเรือต้องเตรียมตัวสำหรับการสำรวจทะเลสาบวันพรุ่งนี้”
ทั้งหมดเป็นไปตามแผนการณ์ที่นางวางไว้
เคทลินกระพริบตาด้วยความสับสน เฟลิซีเข้ากอดนางเอาไว้
“เคทลิน ปล่อยทั้งหมดให้อปป้าจัดการเถอะ เข้าใจนะ?”
และนั่นทำให้เคทลินตาโตอย่างตกตะลึง
คารัคเดาะลิ้นพลางมองไปทางซิลวานที่อยู่ห่างออกไป
“เฮ้อ องค์ชายห้าผู้น่าสงสาร”
“ในเมื่อเจ้าตัวเค้ายินดี ก็ไม่เป็นไร”
อินกองมองตามซิลวานก่อนจะเลิกสนใจแล้วหันไปทางอื่น
‘เฟลิซีจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อย’
เขาเคยวิตกกับการเผชิญหน้าซิลวาน แต่เรื่องพวกนั้นก็หายไปในพริบตา
อินกองหัวเราะพลางหันไปมองทะเลสาบสุริยัน แสงสะท้อนจากผิวน้ำส่องตัดพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน ช่างเป็นทิวทัศน์อันงดงาม