Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 106 Leniency
“แอ๊—”
พรีมูล่าที่เลื่อนเปิดประตูห้องพยาบาลเข้ามาและร้องเรียกนากาขึ้นมาเสียงดังนั้นได้แต่ต้องก้มลงไปกุมหัวของตัวเองด้วยความเจ็บปวดเมื่อเธอโดนกำปั้นของอารอนเขกเข้าใส่กลางหัวเหมือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่โมโกะถูกส่งเข้ามาในห้องพยาบาลแบบไม่มีผิดเพี้ยน
“อย่าโวยวายเสียงดังสิพรีมูล่า…เนลเขายังไม่ตื่นเลยนะ…”
“บู่วววว~~~”
พรีมูล่าที่ได้ยินคำดุของอารอนได้เป่าปากออกมาเสียงดังและรีบวิ่งเข้าไปหานากาที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงในทันทีก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีโมโกะ คอนแนล และรีซาน่าเดินตามหลังกันเข้ามาภายในห้องพยาบาลและเอ่ยปากสอบถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้างคะนากาคุง? หวังว่าคงจะไม่ได้มีอาการข้างเคียงอะไรนะคะ?”
“โอ้ ก็ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ ขอบใจที่เป็นห่วงก็แล้วกันนะ”
“ม—ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เอาจริงๆ คนอื่นๆ ในห้องเขาก็อยากจะมาด้วยนะคะ แต่ว่าพวกเขากลัวว่าจะเป็นการรบกวนอาจารย์อารอนกันน่ะค่ะ”
“ก็ดีแล้วล่ะที่ไม่แห่มากันหมดน่ะ… ที่นี่มันห้องพยาบาลนะไม่ใช่ห้องรับแขกน่ะ…”
อารอนที่เดินตามเหล่าเด็กนักเรียนมาด้วยได้พูดบ่นขึ้นมาเล็กน้อยเพราะว่าการที่มีคนมากระจุกกันอยู่ในห้องพยาบาลโดยที่ไม่มีเหตุจำเป็นนั้นมันอาจจะทำให้เกิดความล่าช้าในการรักษาขึ้นมาได้ ซึ่งคำพูดของเขานั้นก็ถึงกับทำให้พรีมูล่าหลุดเสียงร้องออกมาเสียงดังในทันที
“เอ๋~~!? แต่ไม่ใช่ว่าคาร์เทียร์จังเขาก็อยู่แต่ที่นี่จนแทบจะกลายเป็นห้องรั—- อ๊าาาาาาาากกก——- พี่อารอนอย่าดึงแก้มมมมมมมม——–”
“ฉันเพิ่งจะบอกไปว่าอย่าส่งเสียงดังไม่ใช่หรือไง…?”
“โอ๊ยยย— หนูขอโทษษษษ หนูแค่ล้อเล่นเองอ่ะพี่อารอนนนน!!”
พรีมูล่าที่ถูกอารอนดึงแก้มจนยืดนั้นได้ร้องโวยวายออกมาเสียงดังจนทำให้ทั้งคอนแนลและโมโกะหันไปเฝ้ารับชมเรื่องสนุกๆ กัน ซึ่งในทันทีที่รีซาน่าเห็นว่าทุกคนได้ละความสนใจไปมองทางพรีมูล่ากับอารอนนั้น เธอก็ได้รีบใช้จังหวะนี้หยิบเอาม้วนกระดาษที่ถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือกออกมาและส่งมันไปให้นากาในทันที
“จริงด้วยค่ะนากาคุง ไหนๆ แล้วก็เอาเจ้านี่ไปเลยสิคะ”
“หืม? ม้วนกระดาษหรอ? มันคืออะไรล่ะน่ะ?”
“ก็แบบว่า… แผนที่เส้นทางจากเมืองรีมินัสไปที่หมู่บ้านของฉันน่ะค่ะ…”
“เอ๋ะ—”
“…!”
สิ่งที่รีซาน่าพูดออกมานั้นถึงกับทำให้อารอนที่กำลังดึงแก้มของพรีมูล่าไปมาอยู่ชะงักไปชั่วขณะ เพราะถ้าเขาจำไม่ผิดนากาเหมือนจะเคยบอกว่าจะลองสอบถามเพื่อนคนหนึ่งที่น่าจะรู้เรื่องของหมู่บ้านที่เขาน่าจะให้ความสนใจอยู่กับเขาไปก่อนหน้านี้
แต่ว่าในเมื่ออารอนเห็นว่ารีซาน่าได้มอบแผนที่ไปให้กับนากา เขาก็ได้แต่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไปก่อนแล้วจึงดึงแก้มของพรีมูล่าเล่นต่อไป
“เอาจริงๆ ฉันก็กะจะเอาแผนที่นี่มาให้สักพักนึงแล้วล่ะค่ะ แต่ว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนฉันเห็นว่านากาคุงฝึกฝนอย่างหนักฉันก็เลยไม่ค่อยกล้าจะเข้าไปรบกวนสักเท่าไหร่…แล้วอีกอย่างนึง พอฉันได้เห็นนากาคุงที่พยายามอย่างหนักจนสามารถสู้กับคุณเนลคนนั้นได้อย่างสูสีฉันก็เลยคิดอยากจะลองกลับไปพยายามทำในสิ่งที่ฉันเคยตัดใจไปแล้วขึ้นมาบ้างน่ะค่ะ”
“เอ๋ะ? อ–อื้ม…”
นากาที่ได้ยินคำพูดของรีซาน่าได้แต่งงงวยกับสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อ แต่ว่าเมื่อดูจากท่าทางลังเลของรีซาน่าแล้วเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรออกมาและรอให้อีกฝ่ายเป็นคนรวบรวมความกล้าเพื่อที่จะพูดอธิบายออกมาให้เขาฟังเอง
และหลังจากที่รีซาน่าก้มหน้าลงไปใช้ความคิดตัดสินใจอะไรบางอย่างได้สักพักหนึ่ง เธอก็ได้เงยหน้าขึ้นมาและเอ่ยปากถามนากาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“นากาคุง! ถ้าเกิดว่าเพื่อนของนากาคุงคิดจะออกเดินทางไปที่หมู่บ้านของฉันเมื่อไหร่ฉันขอตามเขาไปด้วยได้หรือเปล่าคะ!? ล—แล้วถ้าเกิดว่าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะให้นากาคุงช่วยเดินทางไปด้วยกันด้วย… เพราะว่าฉันเองก็ไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ว่าจะจัดการด้วยตัวคนเดียวสำเร็จหรือเปล่าน่ะค่ะ…”
“เอ่อ…”
คำขอของรีซาน่านั้นได้ทำให้นากาได้แต่แอบเหลือบมองไปยังอารอนผู้ที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องมาหาข้อมูลของหมู่บ้านที่นับถือเทพมังกรเล็กน้อย ซึ่งอารอนที่แอบฟังอยู่ก็ได้แอบพยักหน้ากลับมาให้นากาเป็นเชิงว่าเขารับรู้แล้วจนทำให้นากาสามารถพูดตอบรีซาน่ากลับไปได้เต็มปาก
“อื้ม! งั้นเอาไว้ถ้าฉันได้วันที่จะเดินทางเมื่อไหร่ฉันจะรีบมาบอกเธอเป็นคนแรกเลยก็แล้วกัน”
“ขอบคุณมากค่ะ! ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันขอตัวไปบอกคนอื่นๆ ก่อนละกันนะคะว่านากาคุงกับคุณเนลปลอดภัยดีน่ะค่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวมีหวังซิลเวสเขาได้พาคนอื่นๆ บุกมาที่ห้องพยาบาลด้วยแน่ๆ เลยล่ะค่ะ”
“โอ้ ยังไงก็ขอบใจที่อุตส่าห์มาเยี่ยมกันนะรีซาน่า”
“อ้าว จะไปแล้วหรอพี่รีซาน่า ถ้างั้นก็ไว้เจอกันใหม่น๊า~~”
พรีมูล่าที่ยังคงโดนอารอนดึงแก้มเล่นอยู่ได้หันมาโบกมือลารีซาน่าอย่างร่าเริงจนทำให้อารอนได้แต่ต้องยอมปล่อยแก้มของเธอและเดินไปดูทางด้านคาร์เทียร์และซึบากิที่ดูเหมือนว่าจะมัวแต่คุยเรื่องอะไรบางอย่างกันอยู่จนไม่ได้เริ่มทำแผลกันสักที
และเมื่อรีซาน่าเดินออกจากห้องพยาบาลไปแล้วพรีมูล่าที่ได้รับการปล่อยตัวก็ได้เดินเข้าไปกอดแขนของนากาและดึงตัวเขาให้ลุกขึ้นมาจากเตียงในทันที
“พี่นากา~~ ไปกินข้าวกันนนน~~”
“อ่ะ— อย่าเพิ่งไปเกาะแกะคนเจ็บแบบนั้นสิครับพรีมูล่า”
“ให้ตายสิ… เออใช่ นายรู้หรือเปล่าล่ะนากา ว่ากว่าพวกฉันจะลากตัวยัยนี่กลับขึ้นไปห้องเรียนได้นี่มันยากขนาดไหนน่ะ”
ในขณะที่พรีมูล่ากำลังอ้อนนากาอยู่นั้น โมโกะที่นั่งอยู่เงียบๆ มาสักพักหนึ่งแล้วก็ได้พูดบ่นถึงเรื่องของเด็กสาวผมชมพูขึ้นมาตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อยจนทำให้นากาที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับต้องหันไปหรี่ตาจ้องมองน้องสาวของตนในทันที
“อ้าว นี่อย่าบอกนะว่าหลังจากที่พี่หลับไปแล้วเธอก็ยังไม่ยอมกลับไปขึ้นห้องเรียนตามที่ตกลงกันไว้น่ะ?”
“ก—ก็หนูเป็นห่วงกลัวว่าพี่นากาจะม่องเท่งไปในระหว่างที่หลับนี่นาเพราะว่าพี่นากาเล่นสู้สุดตัวแล้วก็หลับไปซะแบบนั้นอ้ะ!”
“เอาล่ะ… แค่นี้ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรแล้วล่ะ…”
ในขณะที่พรีมูล่ากำลังหาข้อแก้ตัวอยู่นั้น ทางด้านอารอนที่จัดการทำแผลให้ซึบากิเสร็จแล้วก็หันกลับมาทางกลุ่มของพวกนากาเพื่อที่จะพูดสั่งให้เหล่าเด็กๆ ที่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรให้ออกไปรอกันที่ด้านนอกกันก่อนเพื่อที่เขาจะได้ใช้สถานที่ในการตรวจอาการคนป่วยดูอีกครั้งหนึ่ง
“พวกเธอทุกคนออกไปรอด้านนอกกันก่อนซิ… ฉันอยากจะเช็กอาการของนากาอีกครั้งนึงก่อนจะปล่อยให้เขาไปทานข้าวน่ะ…”
“อ่า… ถ้างั้นพรีมูล่าปล่อยตัวนากาแล้วก็ออกไปรอข้างนอกกันก่อนเถอะครับ”
“ม่า—-”
หมับ—
“เอาล่ะ! ไปรอข้างนอกกันเถอะครับ!”
“มื๊ออ-อ—ห”
พรีมูล่าที่กำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธออกมาได้ถูกคอนแนลพุ่งมือมาอุดปากเอาไว้ก่อนที่เธอจะถูกทั้งคอนแนลและโมโกะช่วยกันลากตัวออกไปจากห้องพยาบาลโดยมีอารอนมองตามไปและส่ายหน้าพูดบ่นออกมาเบาๆ
“ให้ตายสิ… พรีมูล่านี่ดื้อยิ่งกว่าที่ฉันจำได้อีกนะเนี่ย…”
“เอาจริงๆ พรีมูล่าก็เพิ่งจะมาเกาะติดฉันตอนช่วงเปิดเรียนนี่ล่ะไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เอ้านี่ แผนที่หมู่บ้านที่นายอยากได้น่ะ”
นากาที่รู้ถึงเหตุผลที่อารอนเอ่ยปากไล่เพื่อนๆ ของเขาออกไปก่อนนั้นเป็นเพราะว่าเขาต้องการที่จะคุยเรื่องแผนที่ของรีซาน่าได้โยนม้วนแผนที่ไปให้เขาแต่โดยดี ในขณะที่ทางด้านอารอนนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยและพูดบอกนากาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความดีใจเอาไว้อย่างปิดไม่มิด
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะเก็บแผนที่นี่เอาไว้ในห้องพยาบาลก่อนจนกว่าจะหาเวลาเดินทางได้ก็แล้วกันเผื่อว่ารีซาน่าเขาจะอยากได้มันคืนน่ะ… แล้วก็เดี๋ยวฉันจะไปบอกเอริซาเบธเขาให้ว่าที่นายไม่ได้ทำการบ้านไปส่งเป็นเพราะว่านายต้องทำงานที่ฉันสั่งเอาไว้ก็แล้วกัน… เอริเขาจะได้มีข้ออ้างให้นายได้ซ่อมคะแนนน่ะ…”
“อ—เอ๋ะ— นายรู้เรื่องนั้นด้วยหรอ—”
“ก็พอดีว่าพอมีใครบางคนรู้ว่าพวกเธอสอบเข้าโรงเรียนรีมินัสได้เขาก็เลยไหว้วานมาให้ฉันช่วยดูแลเรื่องคะแนนกับผลการเรียนของพวกเธอให้หน่อยน่ะ… หรือว่านายอยากจะให้ฉันรายงานเขาไปมั้ยล่ะว่านายไม่ได้ทำการบ้านส่งเพราะว่ามัวแต่ฝึกวิชาการต่อสู้น่ะ…?”
นากาที่ได้ยินอารอนพูดขึ้นมาแบบนั้นสามารถมั่นใจขึ้นมาได้ในทันทีว่าคนที่นายแพทย์หนุ่มกำลังพูดถึงคือคุณแม่ของเขากับพรีมูล่าอย่างแน่นอนจนทำให้เขาต้องรีบก้มหัวให้กับอารอนในทันที
“รบกวนช่วยไปบอกอาจารย์เอริให้ผมได้มีโอกาสแก้คะแนนด้วยเถอะครับ!!”
“ฉันล้อเล่นเฉยๆ น่า… เอาเป็นว่านายออกไปกินข้าวเที่ยงกับคนอื่นๆ ได้แล้วล่ะ… แล้วก็อย่าลืมเอาถุงมือกับกำไลข้อมือนั่นไปด้วยล่ะ…”
“อ่าว— มันกลับไปเป็นเหมือนเดิมตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะเนี่ย…”
นากาที่ได้ยินแบบนั้นได้หันไปทางโต๊ะหัวเตียงที่เขาจำได้ว่าถอดถุงมือลาส เซอร์ไวเวอร์ กับดาบเฟเบิ้ล ดรีมเมอร์ ทิ้งเอาไว้ตรงนั้นและได้พบกับถุงมือหนังสีน้ำตาลติดคริสตัลวิซแบบเปิดนิ้วกับกำไลข้อมือสีขาวที่อลิซนำมามอบให้เมื่อวันก่อนเข้าแทน
แต่ว่าในขณะที่นากากำลังจะคว้าเอาถุงมือติดคริสตัลวิซของเขามาสวมเอาไว้นั้น อยู่ๆ อารอนก็ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยและจับจ้องมองดูถุงมือของนากาที่เขาจำได้ว่านากาได้ใช้ความสามารถส่วนตัวเปลี่ยนแปลงหน้าตาและคุณสมบัติของมันไปจากเดิมที่เป็นถุงมือสำหรับสร้างโล่พลังวิซที่เด็กหนุ่มไม่สามารถใช้งานได้ให้กลายเป็นถุงมือยิงมีดโซ่ที่เขารู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
“จะว่าไป… ตอนที่นายกำลังสู้อยู่เหมือนว่านายจะทำให้ถุงมือมันเปลี่ยนหน้าตาไปหน่อยนึงด้วยนี่… แต่ถ้าฉันจำไม่ผิดฉันว่าฉันเคยเห็นถุงมือแบบนั้นมาก่อนหรือเปล่านะ…”
“อ่ะ— เอ่อ… จะว่ายังไงดีล่ะ…”
“ฮึ่ม… เอาเถอะ… เอาเป็นว่านายได้ความสามารถใหม่อีกอย่างนึงมาทดแทนที่ไม่สามารถใช้วิซได้ก็เป็นเรื่องดีแล้วล่ะ… นายรีบๆ ออกไปกินข้าวก่อนเถอะ… เพราะไม่งั้นเดี๋ยวพรีมูล่าก็ได้วิ่งกลับเข้ามาลากคอนายไปโรงอาหารเอาหรอก…”
“อ—อื้อ! ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะอารอน แล้วถ้าได้วันที่จะเดินทางเมื่อไหร่ก็อย่าลืมมาบอกกันด้วยล่ะ”
“อ่า… เข้าใจแล้ว…”
“เฮ้อ ให้ตายสิ~”
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เอริกะที่เพิ่งจะรีบร้อนออกวิ่งไปยังโรงเรียนรีมินัสเพื่อนำเอาเครื่องสื่อสารขนาดเล็กของนากากลับมาตรวจสอบดูก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อนเมื่อเธอเดินกลับเข้ามาในห้องออฟฟิศของตัวเองและพบกับอุปกรณ์บางอย่างที่มีลักษณะเหมือนกับกระเป๋าพับโลหะสีดำที่ครึ่งบนของมันเป็นหน้าจอกระจกส่วนอีกฝั่งหนึ่งมีลักษณะเหมือนกับปุ่มกดที่มีตัวอักษรจำนวนมากเรียงรายกันไปถูกเปิดคาทิ้งเอาไว้
ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะต้องรีบเดินเข้าไปพับปิดมันลงและนำมันเก็บเข้าไปใส่ในลิ้นชักใต้โต๊ะในทันทีก่อนที่เธอจะหยิบเอาอุปกรณ์สื่อสารทรงสี่เหลี่ยมออกมาจิ้มลงไปทางฝั่งที่เป็นกระจกอยู่สักพักใหญ่ๆ จนกระทั่งมันเรืองแสงและส่งเสียงออกมา
ปิ๊บ—
“ฮัลโหล่ๆ ฉันกลับมาแล้ว สัญญาณเป็นยังไงบ้าง?”
“เสียงชัดเจนดี ได้ผลเป็นไงบ้างล่ะเอริกะ…?”
ทันทีที่เอริกะเอ่ยปากพูดลงไปในเครื่องสื่อสารก็ได้มีเสียงนิ่มๆ ของนิลิมดังตอบกลับออกมา ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะต้องล้วงเอาเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กของนากาที่เธอเพิ่งจะรีบวิ่งไปเอามันกลับคืนมาออกมาและโยนมันลงไปบนโต๊ะแบบไม่ใส่ใจอะไรมากนัก
“อื้ม… เพิ่งจะไปเอากลับคืนมาได้เนี่ยล่ะ ขอเวลาฉันตรวจสอบดูก่อนสักแป๊บนึงก็ละกัน”
“เข้าใจแล้ว ทางเดดารัสกับทีเอร่าเองก็เพิ่งจะออกเดินไปทางเหมือนกัน น่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพักนึงล่ะมั้งกว่าจะถึงจุดนัดพบน่ะ เธอใช้เวลานี้ตรวจสอบเครื่องสื่อสารอันนั้นไปก่อนเถอะ”
“อื้ม…”
เอริกะที่ได้ยินคำพูดของนิลิมได้พยักหน้าตอบเธอกลับไปเบาๆ ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมากดลงไปที่ปุ่มบนขาแว่นของเธอจนทำให้เลนส์ข้างหนึ่งของมันเรืองแสงออกมาจางๆ และปรากฏภาพเล็กๆ ของหน้าต่างข้อมูลจำนวนมากขึ้นมา
ซึ่งเอริกะก็ได้กวาดตามองดูหน้าต่างข้อมูลเล็กๆ พวกนั้นจนเวลาผ่านไปอีกสักพักใหญ่ๆ จนกระทั่งมีเสียงของนิลิมดังออกมาจากเครื่องสื่อสารทรงสี่เหลี่ยมอีกครั้งหนึ่ง
“เป็นไงบ้างเอริกะ? อีกห้านาทีพวกเดดารัสเขาจะถึงจุดหมายแล้วนะ…”
“เท่าที่ฉันดูคร่าวๆ เหมือนว่ามันจะมีอะไรสักอย่างมาสะดุดกับระบบป้องกันของเจ้าเครื่องนี่เข้าให้จนทำให้ระบบมันรวนไปหมดหรือว่าอะไรแบบนั้นน่ะ… แต่ว่ามันก็ไม่มีร่องรอยของการพยายามบุกรุกเข้ามาเพราะงั้นมันอาจจะเป็นข้อผิดพลาดของตัวระบบเองก็ได้ล่ะมั้ง… ขอเวลาฉันตรวจสอบอีกแป๊บนึงละกัน…”
เอริกะพูดใส่เครื่องสื่อสารของเธอกลับไปแบบไม่แน่ใจนักก่อนจะเอนหลังลงไปพิงพนักเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยอ่อนพร้อมกับยกมือขึ้นมากดบนปุ่มที่ขาแว่นของเธออีกสองสามทีจนหน้าต่างข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนเลนส์แว่นของเธอถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
“อื้ม.. ดูแล้วไม่น่าจะมีความเสี่ยงเรื่องความลับรั่วไหลนะ เพราะงั้นพวกเธอทำตามแผนเดิมไปได้เลย”
“รับทราบ… เซซิเรีย เอริกะเขาบอกว่าให้กลับไปใช้เครื่องสื่อสารได้แล้วล่ะ…”
“แต่ไม่ใช่ว่าเธอก็ใช้ระบบนี้มาตั้งหลายปีแล้วไม่ใช่หรอเอริกะ ทำไมอยู่ๆ มันถึงเกิดปัญหาขึ้นมาตอนที่เรากำลังจะเริ่มทำภารกิจกันแบบนี้ได้ล่ะ?”
ในขณะที่เอริกะกำลังคุยกับนิลิมอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีเสียงของเซซิเรียดังออกมาจากเครื่องสื่อสารให้เธอได้ยิน ซึ่งคำถามของเซซิเรียนั้นก็ทำให้เอริกะต้องหมุนเก้าอี้เล่นไปสองสามรอบเพื่อใช้ความคิดแล้วจึงยกขาขึ้นมาพาดไว้บนโต๊ะของเธออย่างสบายอารมณ์
“นั่นสินะ… แต่ว่าเท่าที่ฉันตรวจดูแล้วก็ไม่มีร่องรอยว่ามีการพยายามเจาะระบบเข้ามา แถมระบบป้องกันอื่นๆ ที่ฉันวางเผื่อเอาไว้ในกรณีแบบนี้มันก็ไม่ทำงานด้วย… ถ้าเกิดว่ามีคนพยายามจะเจาะเข้าระบบมาผ่านทางเจ้านี่จริงๆ มันก็น่าจะเจ๊งไปทั้งอันแล้วล่ะ เพราะงั้นมันก็น่าจะเป็นแค่ตัวระบบมันตีกันจนรวนไปเองซะมากกว่าล่ะมั้ง”
“แต่ว่าระบบที่เธอเขียนก็ไม่น่าจะเสียได้ง่ายๆ แบบนั้นไม่ใช่หรอ? เพราะเธอเองก็พัฒนามันอยู่เรื่อยๆ ควบคู่ไปกับของที่เธอสร้างขึ้นมาให้คนของที่นี่ใช้งานไม่ใช่หรือไง?”
“เฮ้ นี่ฉันเองก็เป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนกันนะจ๊ะ จะมีพลาดกันบ้างมันก็เป็นเรื่องปกติสิ ถึงมันจะมีโอกาสแค่สักหนึ่งในแสนหรือว่าหนึ่งในล้านเองก็เถอะนะ”
“อย่างเธอเนี่ยนะ…? ฉันให้มากที่สุดแค่หนึ่งในหมื่นก็พอ…”
เซซิเรียที่ได้ยินคำพูดอวดตนของเอริกะได้พูดตัดบทออกมาอย่างรวดเร็วจนถึงกับทำให้นิลิมหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่เซซิเรียจะเอ่ยปากถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แต่เธอมั่นใจนะว่าพวกเราไม่ได้ถูกดักฟังน่ะเอริกะ? เพราะความสามารถในการสื่อสารระยะไกลแบบนี้นี่มันเป็นจุดที่สำคัญที่สุดของพวกเราเลยนะ ถ้าเกิดว่าระบบของเธอถูกพวกนั้นดักฟังได้ขึ้นมาจนต้องกลับไปใช้วิธีการสื่อสารธรรมดาๆ แผนการทั้งหมดของเธอมันจะเป็นหมันไปเลยนะนั่น”
“อื้ม… ฉันเชื่อว่าพวกนั้นจะไม่ทำผิดสัญญาแล้วมาเล่นงานระบบสื่อสารของพวกเราหรอก อีกอย่างนึงถ้าเกิดว่าเป็นพวกนั้นจริงๆ ล่ะก็ป่านนี้น่าจะโดนระบบป้องกันของฉันเล่นงานจนเครื่องไหม้ไปบ้างแล้วล่ะ”
“ถึงฉันจะไม่เข้าใจเรื่องระบบอะไรของพวกเธอก็เถอะนะ แต่ว่าถ้าเกิดเอริกะเขาพูดแบบนั้นก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องเป็นห่วงหรอกมั้งจ๊ะเซซิเรีย…”
นิลิมที่นั่งฟังสองสาวคุยกันเองมาได้สักพักหนึ่งแล้วได้พยายามที่จะพูดให้เซซิเรียคลายความกังวลลงมาบ้าง ซึ่งถึงแม้ว่าเซซิเรียจะยังคงรู้สึกไม่ไว้วางใจในความปลอดภัยของระบบสื่อสารอยู่บ้างแต่ว่าเธอก็เลือกที่จะเออออตามนิลิมไปก่อนเพื่อไม่ให้ทั้งสองคนลำบากใจ
“อื้ม… ถ้าเธอว่าอย่างนั้นล่ะก็นะ… ในเมื่อระบบสื่อสารของเธอมันกลับมาใช้งานได้แล้วงั้นฉันขอไปเตรียมตัวก่อนก็แล้วกัน”
“เฮ้อ… ขี้กังวลเหมือนเดิมเลยนะเนี่ยเซซิเรียจังน่ะ~ อ๋อใช่แล้วล่ะนิลิม ถึงฉันจะยังไม่ได้ดูบันทึกการสอบของวันนี้ก็เถอะ แต่ฉันได้ยินมาว่านากาเขาเพิ่งจะไปก่อเรื่องใหญ่ที่โรงเรียนมาด้วยล่ะ แล้วไหนๆ เธอก็น่าจะว่างอยู่อีกสักพัก… เธอมีเรื่องอะไรลับๆ ของนากาคุงที่ฉันยังไม่รู้มาเล่าให้ฉันฟังบ้างมั้ยเอ่ย?”
“เอ๋ะ? เด็กคนนั้นไปก่อเรื่องที่โรงเรียนมาหรอ? แล้วนี่เขาโดนลงโทษหรือว่าอะไรหรือเปล่าน่ะ?”
ทันทีที่นิลิมได้ยินสิ่งที่เอริกะพูดบ่นออกมาเธอก็รีบพูดถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงและเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ทางด้านเอริกะก็ได้หยิบเอาเอกสารบันทึกการสอบของนากาและเนลออกมาอ่านดูพร้อมกับคว้านหาเอากระดาษอีกแผ่นมาเขียนอะไรบางอย่างลงไป
“ตอนนี้ข่าวยังไม่ได้กระจายไปไหนไกลเพราะว่ามีแค่อลิซกับอารอนแล้วก็เพื่อนร่วมห้องที่เห็นการสอบน่ะ แล้วต่อให้อลิซกับอารอนเขาไม่น่าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกใครก็เถอะแต่ว่าพวกเด็กๆ คนอื่นน่ะคงจะปิดปากกันเอาไว้ได้ไม่นานแน่ๆ ล่ะ… แต่ถึงมันอาจจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมาได้ก็เถอะแต่ว่าเรื่องนี้ฉันเองก็ทำใจโทษนากาเขาไม่ลงเหมือนกัน… เฮ้อ…”
“…เธอไม่โกรธเด็กคนนั้นจริงๆ หรอเอริกะ?”
“อื้อ เพราะฉันเองก็เข้าใจความรู้สึกของเขาที่ไม่อยากจะให้คนอื่นมามองว่าตัวเองเป็นคนพิการเหมือนกันนั่นแหล่ะ เพราะงั้นถึงเขาจะก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาบ้างแต่ว่ามันก็เป็นหน้าที่ของผู้ปกครองแบบพวกเราอยู่แล้วไม่ใช่หรอที่จะต้องคอยดูแลเด็กๆ อย่างพวกเขาไม่ให้โดนคนอื่นมาฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบน่ะ”
“เอริกะ… ขอบคุณนะ…”
“หึ… ฟังดูไม่ค่อยเหมาะจะเป็นคำพูดของคนที่ปากบอกว่าเกลียดการดูแลเด็กๆ จะตายไปสักเท่าไหร่เลยนะเอริกะ”
ในขณะที่นิลิมกำลังพูดตอบเอริกะกลับไปด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้มใจนั้นก็ได้มีเสียงหัวเราะเบาๆ และคำพูดเชิงหยอกล้อของเซซิเรียดังขึ้นมาจนทำให้เอริกะถึงกับต้องหยุดมือที่กำลังเขียนเอกสารอยู่เพื่อพูดต่อว่าอีกฝ่ายกลับไปในทันที
“แอบฟังคนอื่นคุยกันแบบนี้มันเสียมารยาทนะเซซิเรียจัง~ แบบนี้เดี๋ยวเอาไว้เจอกันครั้งหน้าฉันต้องจับเธอมาลงโทษสักหน่อยแล้วล่ะมั้งเนี่ย~”
“ก็นิลิมเล่นเปิดลำโพงดังลั่นแบบนี้ต่อให้ฉันไม่ได้คิดจะฟังมันก็ต้องได้ยินอยู่แล้วสิ แต่เรื่องพูดเล่นนั่นเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้เดดารัสกับทีเอร่าเขาไปถึงจุดหมายแล้ว จะให้เริ่มแผนการกันเลยหรือเปล่า?”
“เดดาลัสผู้ที่สร้างปีกขึ้นมาเพื่อให้ตนเองกับลูกชายโบยบินไปบนฟากฟ้าอย่างอิสระแต่สุดท้ายเขาก็สูญเสียทุกอย่างไปเพราะปีกที่ตัวเองสร้างงั้นหรอ… โบราณชะมัด นี่ใครเป็นคนเอาตำนานเรื่องนั้นมาเผยแพร่ที่นี่กันเนี่ย… เอาเถอะ บอกให้เด…เดดารัสเขาดำเนินการตามแผนได้เลย… ให้ตายสิ… นี่เขากะจะใช้ชื่อนั้นจริงๆ หรอเนี่ย…”
“อย่าไปว่าเขาแบบนั้นสิเอริกะ ฉันว่าเขาน่าสงสารออก…”
นิลิมที่ได้ยินเอริกะพูดบ่นถึงเรื่องชายที่ชื่อว่าเดดารัสได้แต่พูดห้ามปรามอีกฝ่ายออกมาเบาๆ แต่ว่าทันทีที่เอริกะได้ยินแบบนั้นเธอก็ได้พูดตอบนิลิมกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แล้วจึงรีบเปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องแผนการของพวกเธอแทนในทันที
“ฉันว่าถ้าเธอจะสงสารใครเธอไปสงสารคาร์เทียร์ที่ตกเป็นเหยื่อของเขาน่าจะดีกว่านะนิลิม… แต่เรื่องนั้นไว้เราค่อยมาคุยกันทีหลังเถอะ ทางด้านพวกเธอจะเอายังไงต่อกันล่ะ จะยังแยกกันไปทำตามแผนเดิมอยู่หรือเปล่า?”
“ตอนนี้พวกฉันอยู่ที่ป่าทางใต้ของรีมินัสน่ะจ้ะ แต่เดี๋ยวก็น่าจะเก็บเต็นท์แล้วก็แยกกันไปทำตามแผนเดิมนั่นแหล่ะจ้ะ”
“อื้ม ถ้างั้นเดี๋ยวพวกเธอก็เริ่มทำตามภารกิจที่ตกลงกันไปได้เลย จำเอาไว้ให้ขึ้นใจเลยนะว่าศัตรูของพวกเราสามารถลอยตัวอยู่กลางอากาศได้ เพราะงั้นถ้าเกิดว่าพวกเธอเห็นแสงอะไรบนท้องฟ้าก็ให้รีบหลบเข้าที่กำบังในทันทีอย่าให้พวกนั้นสังเกตเห็นตัวพวกเธอได้ล่ะ”
“อื้อ! / ไม่ต้องบอกรู้อยู่แล้วล่ะ”
“รักษาตัวเองกันให้ดีๆ นะทั้งสองคน รอบนี้พวกเธอกระจายตัวกันไปคนละทิศแถมยังมุ่งหน้าออกห่างจากรีมินัสด้วย เพราะงั้นฉันคงจะส่งคนไปช่วยเหลือแบบเมื่อตอนที่มีอาขับรถขนของกลับมารีมินัสนี่ไม่ได้แน่ๆ ถ้าเกิดว่าพวกเธอพลาดท่าขึ้นมาก็พยายามเอาตัวรอดกลับมากันเองให้ได้ล่ะ”