Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 113 New Dawn
หลังจากช่วงเย็นอันแสนยากลำบากของคอนแนลที่ต้องทนรับการโวยวายของพรีมูล่าที่ถูกหื้วกลับมาบ้านก่อนในขณะที่นากาและโมโกะออกไปทำ ‘ธุระ’ ด้วยกันเพียงแค่สองคนนั้น การโวยวายอันยาวนานของพรีมูล่าก็หยุดลงเมื่อเธอได้เห็นกองขนมจำนวนหนึ่งที่นากาและโมโกะซื้อกลับมาฝากเธอ
และหลังจากที่ช่วงเวลาในยามค่ำคืนอันแสนสงบสุขได้เลยผ่านไปจนถึงช่วงเวลาตีห้าของอีกหนึ่งวันถัดมา นากาก็ได้แอบย่องออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลรีวิซที่พวกเขาใช้เป็นที่พำนักอาศัยเพื่อออกเดินทางไปยังโรงเรียนรีมินัสในเวลานัดหมายที่ไดเอน่าประกาศเอาไว้เมื่อวานนี้
ซึ่งนากาก็ได้พบว่ามีนักเรียนจำนวนเพียงแค่ยี่สิบกว่าคนเท่านั้นที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ หรือเรียกได้ว่าเหลือจำนวนนักเรียนเพียงแค่ครึ่งเดียวของเมื่อวานนี้เท่านั้นเอง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังโชคดีที่ดูเหมือนว่าเพื่อนๆ ของเขาจากห้องเดียวกันอย่าง อัลเบิร์ต เนล เซซิล และรีซาน่าจะสามารถมาเข้าร่วมได้โดยไม่มีปัญหา ในขณะที่ทางด้านกลุ่มลูกหลานขุนนางจากห้องหนึ่งนั้นกลับหายหน้ากันไปแทบจะทุกคนโดยหลงเหลือเอาไว้เพียงแค่อากิและริวโตะกับเด็กนักเรียนคนอีกหนึ่งคนที่นากาไม่คุ้นเคยโดยไร้ซึ่งวี่แววของน็อกซ์ที่เหมือนว่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกเขา
“หื้ม… ก็เหลือไม่ต่างจากที่คาดเอาไว้สักเท่าไหร่ล่ะนะ…”
“เหวอ—!? อ้าว… เธอเองหรอไดเอน่า”
เสียงของไดเอน่าที่ดังขึ้นมาในระยะประชิดนั้นถึงกับทำให้นากาสะดุ้งเฮือกเนื่องจากว่าเขายังคงรู้สึกหวาดหวั่นอยู่กับสิ่งที่เอริซาเบธเคยพูดแกล้งเขาเอาไว้ก่อนหน้านี้ที่ว่าในโรงเรียนแห่งนี้ในยามค่ำคืนอาจจะมีอะไรสักอย่างคอยจับตาดูพวกเด็กนักเรียนอยู่ไม่หาย
“แหม่~ นายจะตกใจอะไรกันขนาดนั้นเนี่ย แต่ยังไงฉันขอตัวก่อนก็แล้วกันนะ”
“อ–อื้ม”
นากาพยักหน้าตอบไดเอน่ากลับไปสั้นๆ ก่อนที่ไดเอน่าจะเดินไปทางหน้าแถวของพวกนักเรียน ในขณะที่ทางด้านเพื่อนๆ ของเขาที่ได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจก็พากันเดินมารวมกลุ่มตรงที่นากายืนอยู่ แต่ว่าก่อนที่พวกเขาจะได้พูดทักทายอะไรกันไดเอน่าที่เดินไปถึงหน้าแถวแล้วก็ได้หยิบเอาอุปกรณ์ขยายเสียงออกมาเพื่อพูดประกาศเข้าซะก่อน
“อย่างแรกฉันต้องขอขอบคุณทุกๆ คนที่เสียสละความปลอดภัยของตัวเองและตกลงที่จะให้ความร่วมมือกับฉันและผู้อำนวยการมากนะจ๊ะ”
ในทันทีที่ไดเอน่าพูดจบเธอก็ก้มศีรษะลงเพื่อค้อมหัวให้กับเหล่านักเรียนเบื้องหน้าจนทำให้เหล่านักเรียนที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดถึงกับสะดุ้งไปเล็กน้อยและรีบพากันพูดเพื่อให้เธอเงยหน้ากลับขึ้นมาในทันที
“ค—คุณไดเอน่าไม่ต้องก้มหัวให้กับพวกเราก็ได้นะครับ!”
“นั่นสิคะ! เงยหน้ากลับขึ้นมาเถอะค่ะ พอเห็นท่านประธานทำแบบนี้แล้วพวกฉันเองก็ทำตัวไม่ถูกนะคะ”
“ไม่หรอก เพราะถ้าเป็นไปได้ฉันเองก็ไม่อยากจะให้พวกเธอต้องเสียสละช่วงชีวิตในรั้วโรงเรียนเพื่อมาทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน… แล้วอีกอย่างนึงถ้าเกิดใครคิดว่าค่าตอบแทนที่ระบุเอาไว้ในเอกสารยังไม่เหมาะสมล่ะก็มาบอกฉันได้เลยนะ เดี๋ยวฉันจะช่วยทำเรื่องให้เอง”
“เอ๋? ยังจะขอเพิ่มได้อีกหรอคะนั่น!?”
“ถึงขั้นทุ่มงบจำนวนขนาดนี้ให้กับนักเรียนอย่างพวกเรานี่ ถ้าพวกทหารยามรู้เข้าจะไม่โวยวายกันแย่หรือไงเนี่ย…”
คำพูดของไดเอน่าถึงกับทำให้รีซาน่าร้องออกมาเสียงหลงด้วยความตกใจในขณะที่เนลนั้นก็กลับพูดพึมพำออกมาด้วยความกังวล เพราะว่าในเงื่อนไขที่ถูกระบุเอาไว้นั้นนอกจากทางโรงเรียนจะมอบทุนการศึกษาสำหรับเทอมที่เด็กนักเรียนเข้าร่วมให้แล้วก็ยังจะมอบตั๋วรับประทานอาหารฟรีให้ทั้งปีการศึกษา แถมนอกจากนั้นทางโรงเรียนเองก็ยังจะช่วยยกเว้นค่าเช่าหอพักรวมถึงมีงบให้พิเศษสำหรับบำรุงรักษาอาวุธประจำตัวอีกด้วย แล้วนี่ก็ยังไม่รวมไปถึงเงินพิเศษที่จะมอบให้กับเด็กนักเรียนที่เข้าร่วมด้วยเป็นประจำทุกเดือนจนกว่าท่านผู้อำนวยการจะเห็นว่าสถานการณ์สงบลงแล้วจนประกาศสลายกลุ่มหรือว่าตัวนักเรียนมีความประสงค์ที่จะถอนตัวอีกต่างหาก
“สาเหตุที่ทางโรงเรียนทุ่มเงินเป็นจำนวนมากขนาดนี้ก็เป็นเพราะฉันเชื่อว่าการที่จะใช้ให้ใครสักคนทำในสิ่งที่พวกเขาไม่สมควรจะต้องทำก็ควรจะต้องมีการจ่ายค่าตอบแทนให้อย่างเท่าเทียมจริงมั้ยล่ะ… แถมอย่างที่ฉันเคยบอกเอาไว้ว่างานนี้เป็นงานที่มีความเสี่ยงและอาจจะเป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดใครเห็นว่าสิ่งที่จะได้รับยังไม่คุ้มความเสี่ยงก็แอบมาบอกฉันเป็นการส่วนตัวได้เลยจ้ะ”
“บ—แบบนั้นเองสินะคะ…”
“แล้วอีกอย่างนึงฉันก็ขอประกาศเอาไว้ตรงนี้เลยนะว่าถ้าเกิดในเช้านี้ไม่มีใครมาเข้าร่วมเลยจริงๆ แล้วล่ะก็ ทางวังหลวงก็คงจะถอนงบตรงส่วนนี้ออกไปแล้วเอาไปใช้เพื่อเกณฑ์พลเมืองส่วนหนึ่งมาทำหน้าที่แทนอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นพวกเธอสามารถภูมิใจได้เลยว่าการที่พวกเธอตัดสินใจจะมาเข้าร่วมแบบนี้มันก็ทำให้พวกเธอได้ช่วยรักษาชีวิตของประชาชนคนอื่นๆ เอาไว้แล้ว เพราะงั้นถ้าพวกเธอขาดเหลืออะไรก็อย่างเกรงใจที่จะมาบอกฉันนะ ถ้าเกิดมันเป็นอะไรที่ฉันสามารถช่วยได้ล่ะก็เดี๋ยวฉันจะหาทางจัดการให้เองจ้ะ”
“ครับ! / ค่ะ!”
เหล่าเด็กนักเรียนที่ได้ยินคำพูดของไดเอน่าต่างพากับขานตอบเธอกลับไปด้วยความแข็งขัน ซึ่งไดเอน่าที่เห็นแบบนั้นก็พยักหน้าตอบกลับไปด้วยความพึงพอใจพร้อมกับเอ่ยปากชวนทุกคนออกไปดูลาดเลาบริเวณประตูเมืองทิศตะวันตกที่พวกเขาจะได้รับผิดชอบกัน
“ถ้างั้นเดี๋ยวพวกเราขึ้นรถไปดูสถานที่ที่พวกเราจะต้องรับผิดชอบกันก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาเข้าเรียนก็แล้วกัน มีใครมีอะไรจะสอบถามเพิ่มเติมก่อนมั้ยเอ่ย?”
“มีคำถามครับ! นี่สรุปว่าพวกเราจะใช้ชื่อว่าชมรมรักษาความปลอดภัยจริงๆ หรือเปล่า… คือพอดีว่ามันฟังดูธรรมดามากเลยน่ะครับ”
“เอ๋ะ? เรื่องนั้นเองหรอ… แต่ฉันเองก็ลืมคิดเรื่องชื่อกลุ่มไปซะด้วยสิ… จะเอายังไงดีนะ…”
ไดเอน่าที่ได้ยินคำถามของเนลได้เอามือทาบแก้มใช้ความคิดอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะเหลือบไปเห็นแสงสว่างของดวงอาทิตย์ที่กำลังทอแสงขึ้นมาจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอนึกถึงคำพูดของเอริกะและท่านผู้อำนวยการที่เคยพูดเป็นทำนองว่าต้องการให้พวกเด็กๆ เป็นคนไขว่คว้าอนาคตด้วยมือของตัวเองขึ้นมาได้
“เห็นท่านผู้อำนวยการเคยพูดเอาไว้เป็นทำนองว่าพวกเราจะเป็นแสงแห่งความหวังที่จะส่องสว่างให้กับเมืองนี้… ถ้างั้นก็เอาเป็นชื่อว่า ดอว์น ที่แปลว่ารุ่งอรุณก็แล้วกัน พวกเธอคิดว่ายังไงบ้างล่ะ”
“ก็ไม่มีปัญหาอะไรกับชื่อนั้นนะครับ”
“ชื่อสั้นๆ แบบนี้ก็เรียกง่ายดีเหมือนกันนะ”
“ฉันเองก็ไม่มีปัญหาอะไรเหมือนกันค่ะ”
เหล่าเด็กนักเรียนที่มาล้อมวงกันฟังชื่อกลุ่มของพวกเขาต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วยโดยที่ไม่มีผู้ใดคัดค้าน ซึ่งนั่นก็ทำให้ไดเอน่าพยักหน้าด้วยความพึงพอใจก่อนที่เธอจะเดินนำทุกคนไปยังรถกระบะของทางเมืองที่ถูกจอดทิ้งเอาไว้ข้างๆ โกดังเก็บของตั้งแต่เมื่อวานนี้พร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“งั้นถ้าเกิดว่าไม่มีใครมีปัญหาอะไรกับชื่อนี้ ถ้าอย่างนั้นนับตั้งแต่วันนี้พวกเราคือกลุ่ม ดอว์น กองกำลังนักเรียนสำหรับรับมือภารกิจฉุกเฉินของโรงเรียนรีมินัส! เอาล่ะ พวกเราขึ้นรถออกไปทำภารกิจกันเถอะจ้ะ”
“ครับ!! / ค่ะ!!”
ย้อนกลับมาในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นไม่นานนัก ที่ค่ายพักแรมเล็กๆ ในป่าแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของรีมินัสเองก็ได้มี ฮานะ สาวใช้ผมสีทองในชุดเครื่องแบบสาวใช้เปิดไหล่พูดถามชายหูแมวผมสีม่วงที่นอนอยู่บนเตียงสีขาวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“เป็นยังไงบ้างคะคุณอัลเดรีย? ยังรู้สึกเจ็บตรงไหนอยู่หรือเปล่าคะ?”
“คุณฮานะ… ครอบครัวของผมเป็นยังไงบ้างครับ…?”
ชายหูแมวที่ถูกเรียกว่าอัลเดรียนั้นกลับไม่สนใจคำถามของฮานะและพูดถามกลับไปด้วยความกังวลจนทำให้สาวใช้ผมสีทองได้แต่ต้องก้มหน้าลงด้วยความลำบากใจ ซึ่งท่าทางของฮานะที่ดูเหมือนกับว่าจะไม่ต้องการพูดถึงครอบครัวของอัลเดรียนั้นก็ทำให้ชายหูแมวสามารถทราบได้ในทันทีว่าคงจะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากที่เขาถูกทางการจับกุมตัวออกไปจากบ้านของตนอย่างแน่นอน
“พวกคุณทราบใช่มั้ยครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของผมน่ะ… ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้โปรดบอกผมมาตามตรงเถอะครับ ผมทำใจเอาไว้ตั้งแต่ที่ถูกทหารพวกนั้นบุกเข้ามาในบ้านแล้วล่ะครับ…”
“เข้าใจแล้วค่ะ… ทางการกราวิทัสประกาศออกมาว่าเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ขึ้นที่บ้านของคุณและได้ส่งทหารส่วนหนึ่งไปประกบลูกๆ ของคุณที่โรงเรียนตลอดเวลาโดยอ้างว่าเพื่อรักษาความปลอดภัยของพวกเขาถ้าเกิดว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุแบบที่คาดเอาไว้ในทีแรก ส่วนภรรยาของคุณ…”
“เธอไม่ได้ออกมาจากบ้านหลังนั้นหลังจากที่ผมถูกจับตัวไปสินะครับ…”
“…ค่ะ”
กรึก—
“ไอ้พวกสารเลวนั่น…!”
คำตอบสั้นๆ ของฮานะนั้นถึงกับทำให้อัลเดรียที่พยายามรักษาท่าทีสุภาพเอาไว้หลุดคำก่นด่าออกมาด้วยความคับแค้นใจและกำหมัดของตัวเองแน่นจนมีเลือดไหลออกมา
แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากที่เวลาผ่านไปสักพักหนึ่งอัลเดรียก็เริ่มที่จะสงบใจได้และเอ่ยปากถามถึงเรื่องที่เขาสงสัยออกมาเพื่อที่จะได้หาเรื่องอื่นมาดึงความสนใจเอาไว้ไม่ให้ตัวเองกลับไปคิดมากเรื่องภรรยาของตนอีก
“ดาบ หอก ปืน ชุดเกราะอัศวิน แล้วก็ชุดที่ดูเหมือนกับของทหารรับจ้างกลุ่มต่างๆ … ของที่พวกคุณเก็บเอาไว้ที่นี่มันดูธรรมดามากเลยไม่ใช่หรอครับ ทั้งๆ ที่พวกคุณมีอาวุธร้ายแรงถึงขนาดสามารถระเบิดรถหุ้มเกราะคันนั้นให้แหลกเป็นเสี่ยงๆ กับอาวุธที่สามารถปลดปล่อยแก๊สพิษจำนวนมากออกมาได้แบบนั้นน่ะ?”
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจจากอัลเดรียไปนั้นก็คือกลุ่มคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่เขารู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนจะถูกทางการกราวิทัสโยนเข้ารถขนย้ายมาพร้อมๆ กันที่กำลังขนย้ายกล่องเก็บอุปกรณ์จำนวนมากไปจัดเก็บให้เป็นระเบียบอยู่ทางด้านนอกเต็นท์ที่เขานอนพักอยู่นั่นเอง ซึ่งฮานะที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่พูดตอบไปตามตรงเพราะในขณะนี้เหล่าแฟรี่อย่างพวกเธอถือว่าเหล่านักโทษที่ถูกใส่ความอย่างอัลเดรียเป็นพรรคพวกเดียวกันไปแล้ว
“อาวุธที่คุณพูดถึงนั่นมันสำหรับพวกของฉันค่ะ แต่สำหรับพวกคุณที่ไม่สามารถใช้งานอาวุธแบบเดียวกับพวกฉันได้แล้วก็คงจะมีให้ใช้แต่ของธรรมดาๆ แบบนี้นี่ล่ะค่ะ แล้วอีกอย่างนึงพวกเพื่อนๆ ของคุณที่พวกฉันไปช่วยออกมาพร้อมกันก็เต็มใจที่จะอยู่ช่วยงานต่อถึงแม้ว่าจะได้ใช้แต่ของพวกนี้นะคะ”
“เจ้าพวกบ้านั่น— เฮ้อ… แต่ถ้าเกิดว่าพวกเขายังคงมีอุดมการณ์เหมือนเดิมอยู่และต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงระบบพวกนั้นจริงๆ มันก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วล่ะครับ…”
อัลเดรียพยักหน้าพูดตอบฮานะกลับไปเบาๆ เพราะว่ากลุ่มคนที่ถูกทางเมืองกราวิทัสป้ายความผิดและถูกจับโยนเข้ารถหุ้มเกราะเพื่อส่งไปยังเมืองรีมินัสนั้นก็คือเหล่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขาที่ต้องการจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในบ้านเกิดเมืองนอนนั่นเอง
“เปลี่ยนแปลงงั้นหรอคะ? ไม่ใช่ว่าคุณเองก็เป็นหนึ่งในขุนนางของกราวิทัสที่น่าจะมีอำนาจในระดับหนึ่งไม่ใช่หรอคะ นี่คุณต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรถึงได้ถูกส่งตัวไปขังเอาไว้ที่เมืองอื่นแบบนั้นกันล่ะ?”
“เอาจริงๆ แล้วมันก็เป็นแค่ความเชื่อของเด็กเมื่อวานซืนอย่างผมเท่านั้นล่ะครับ… ว่าถ้าเกิดว่าผมได้เข้าไปเป็นขุนนางในวังแล้วล่ะก็ผมก็อาจจะช่วยให้เมืองของพวกผมพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นได้น่ะ”
“แต่ว่าสุดท้ายแล้วความเชื่อของคุณก็ดันไปขวางทางพวกคนใหญ่คนโตเข้าก็เลยทำให้ทั้งคุณและเพื่อนๆ ถูกยัดข้อหาแล้วก็ส่งตัวออกมาจากเมืองงั้นสินะคะ”
“ผมเองก็เดาเหตุผลอื่นนอกจากนั้นไม่ออกเหมือนกันนั่นล่ะครับ แล้วถึงจริงๆ แล้วการเคลื่อนไหวของกลุ่มของพวกผมจะไม่เกี่ยวกับกลุ่มประท้วงของชาวเมืองที่พักนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เถอะ แต่ก็ดูเหมือนว่าเบื้องบนคงจะรู้สึกสงสัยอยู่บ้างไม่มากก็น้อยน่ะครับ ทีนี้พอที่เมืองรีมินัสออกประกาศตามล่าตัวคนร้ายที่มาระเบิดหอคอยหรืออะไรสักอย่างเข้าพอดีพวกผมก็เลยโดนใส่ความไปซะอย่างนั้นเลย…”
“เป็นอย่างนั้นเองสินะคะ…”
ฮานะพยักหน้าตอบอัลเดรียกลับไปสั้นๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาเบาๆ และตามมาด้วยร่างเล็กๆ ของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมกับซัมเมอร์ที่กำลังยิ้มแป้นยื่นหน้าผ่านประตูเต็นท์เข้ามาเอ่ยปากเรียกฮานะด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“พี่ฮานะคะ~ หนูไปตามตัวหัวหน้ามาให้ตามที่พี่ขอแล้วค่ะ”
“เข้าใจแล้วจ้ะ ขอบใจมากนะซัมเมอร์”
“แหะแหะ~”
“พอได้เห็นใกล้ๆ แบบนี้แล้วเด็กคนนี้ก็ยังตัวเล็กนิดเดียวอยู่เลยนะครับนั่น…”
อัลเดรียที่เห็นท่าทีอันไร้เดียงสาของซัมเมอร์นั้นได้แต่ต้องพูดขึ้นมาด้วยท่าทีเศร้าสร้อย เพราะจากที่เขาเห็นผ่านลูกกรงของรถขนย้าย เด็กคนนี้เองนี่ล่ะที่คอยเดินไล่ทุบหัวของเหล่าอัศวินของรีมินัสไปทีละคนๆ โดยไร้ซึ่งความปรานี
“อายุของซัมเมอร์เขาก็น่าจะพอๆ กับลูกคนเล็กของคุณนั่นล่ะค่ะ แต่ว่าคุณไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะคะ เพราะถึงคุณจะเห็นแบบนี้แต่ว่าคนที่เป็นหัวหน้าของหน่วยที่ช่วยเหลือคุณออกมาก็คือซัมเมอร์เองนี่ล่ะค่ะ”
“งั้นเองหรอครับ…”
อัลเดรียได้แต่พูดตอบฮานะกลับไปเบาๆ ด้วยความเศร้าสร้อย เพราะถ้าเขาดูจากหน้าตาของเด็กสาวที่ชื่อว่าซัมเมอร์แล้วเธอเองก็น่าจะมีเชื้อสายของชาวกราวิทัสอยู่ไม่มากก็น้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาไม่อยากจะคิดจินตนาการว่าวังหลวงของกราวิทัสที่เขาเคยสังกัดอยู่ได้ทำอะไรลงไปที่ถึงกับเปลี่ยนให้เด็กสาวที่ดูท่าทางร่าเริงคนนี้ให้กลายเป็นคนบ้าคลั่งที่ไล่สังหารอัศวินไร้ทางสู้ไปทีละคนๆ แบบนี้ได้
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่อัลเดรียจะได้มีโอกาสเอ่ยปากถามเรื่องของเด็กสาวผมสีทองจากฮานะดูนั้น อยู่ๆ เด็กสาวในชุดผ้าคลุมที่หยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าประตูเต็ทน์ก็ได้ย่างเท้าเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงของเขาและเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกที่ลอดผ่านความมืดมิดผิดธรรมชาติใต้ผ้าคลุมของเธอออกมา
“ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาแห่งกราวิทัส อัลเดรีย ปาร์ปิลอจ”
“ค—ครับ–!?”
“เพื่อนๆ ของนายตัดสินใจที่จะอยู่ต่อและให้ความร่วมมือกับพวกฉันแล้ว… แล้วนายผู้ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี่ล่ะจะตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อ…?”
“ต้นเหตุงั้นหรอครับ… ถ้าเกิดหมายถึงผมที่เป็นคนพาพวกเขาทั้งหมดมาเดือดร้อนไปด้วยกันก็คงจะต้องเรียกแบบนั้นจริงๆ นั่นล่ะครับ ฮะฮะ…”
อัลเดรียก้มหน้าลงไปหัวเราะเบาๆ ด้วยความขมขื่นและนิ่งไปเพื่อใช้ความคิดอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะเงยหน้ากลับขึ้นมาเพื่อเอ่ยปากถามเด็กสาวในชุดผ้าคลุมกลับไป
“ถึงผมจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วก็เถอะ แต่ว่าก่อนที่ผมจะตอบอะไรไปได้ผมก็คงจะต้องขอถามก่อนว่าเป้าหมายของพวกคุณคืออะไรงั้นหรอครับ? พวกคุณมีเป้าหมายอะไรกันแน่ที่ถึงกับต้องยอมเสี่ยงที่จะเป็นศัตรูของทั้งสองเมืองเพื่อเข้าไปช่วยพวกผมที่เป็นแค่ขุนนางคนนึงกับพวกชาวบ้านธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเบี้ยใช้แล้วทิ้งของเมืองกราวิทัสแบบนั้นด้วย?”
“เป้าหมายของพวกเรางั้นหรอคะ…”
คำถามของอัลเดรียนั้นได้ทำให้ฮานะละสายตาไปจากเขาเพื่อมองไปยังเด็กสาวในชุดผ้าคลุมผู้ที่เป็นหัวหน้าของเธอด้วยความสงสัยว่าหัวหน้าของเธอจะยอมบอกถึงเป้าหมายของตนเองให้กับมนุษย์ธรรมดาๆ อย่างอัลเดรียรู้หรือเปล่า ในขณะที่ทางด้านซัมเมอร์นั้นก็ได้แต่เดินเข้าไปเกาะชายกระโปรงของฮานะเอาไว้พร้อมกับยื่นหน้าออกไปจ้องมองเด็กสาวในชุดผ้าคลุมด้วยเช่นเดียวกัน เพราะว่าที่ผ่านมาเธอเองก็ไม่เคยได้รับรู้เป้าหมายของหัวหน้าและรู้เพียงแค่ว่าเป้าหมายของหัวหน้าของเธอจะช่วยให้เธอได้มีโอกาสแก้แค้นเพียงเท่านั้นเอง
ซึ่งเด็กสาวในชุดผ้าคลุมที่ตกเป็นเป้าสายตานั้นก็ได้ยกฝ่ามืออันเรียวเล็กของตนเองขึ้นมาจ้องมองอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะกำมือแน่นพร้อมกับพูดตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความรู้สึก
“ฉัน… ต้องการที่จะทำลายโลกที่ถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำตาของคนอื่นใบนี้ทิ้งไปซะ… และที่ฉันตัดสินใจช่วยนายออกมาก็เป็นเพราะว่านายอาจจะมีประโยชน์ในแผนการก็เท่านั้น…”
“โลกที่ถูกสร้างจากน้ำตางั้นหรอครับ…”
อัลเดรียที่ได้ยินคำตอบจากเด็กสาวในชุดผ้าคลุมได้แต่ต้องก้มหน้าลงเล็กน้อยเมื่อภาพของครอบครัวอันแสนสุขของเขาที่พังทลายลงในชัวพริบตาได้หวนคืนกลับเข้ามาในห้วงความคิด
“…ถ้าเกิดว่าผมขอเข้าร่วมกับพวกคุณด้วย พวกคุณพอจะช่วยเหลือลูกๆ ของผมออกมาจากไอ้เมืองนรกนั่นได้หรือเปล่าครับ…”
“ไม่ใช่ในเร็วๆ นี้… แต่ถ้ามีโอกาสก็จะลองดู…”
“ขอแค่ได้ยินคุณพูดแบบนั้นผมก็พอใจแล้วล่ะครับ ถ้าอย่างนั้นก็เอาเป็นว่าผมขอเข้าร่วมกับพวกคุณด้วยก็แล้วกันนะครับ”
อัลเดรียที่ได้ยินแบบนั้นได้พยักหน้าตอบอีกฝ่ายกลับไปด้วยความยินดี เพราะเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าต่อให้ตัวเขากับเพื่อนๆ ที่ถูกจับมาด้วยกันจะตกลงปลงใจบุกเข้าไปในเมืองกราวิทัสเพื่อช่วยเหลือลูกๆ ของเขาออกมามันก็คงจะไม่ประสบผลสำเร็จและอาจจะต้องจบชีวิตกันไปทุกคน แต่ถ้าเกิดว่าได้พรรคพวกของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมที่สามารถชิงตัวพวกเขาออกมาจากเงื้อมมือของวังหลวงทั้งสองเมืองได้อย่างสบายๆ มาช่วยเหลือล่ะก็เรื่องมันก็คงจะลงเอยอีกแบบหนึ่งอย่างแน่นอน
ซึ่งการที่อัลเดรียตอบตกลงกลับมาง่ายๆ ทั้งๆ ที่เด็กสาวในชุดผ้าคลุมยังไม่ได้เอ่ยปากยืนยันว่าจะทำการช่วยเหลือลูกๆ ของเขานั้นก็ทำให้เธอได้แต่ต้องพูดถามขึ้นมาอีกครั้งเพื่อเป็นการยืนยัน
“นายแน่ใจแล้วหรอ… งานของพวกฉันทุกงานมันไม่ได้เสี่ยงน้อยไปกว่าการบุกชิงตัวพวกนายออกมาเมื่อวานนี้เลยนะ…
“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ… เพราะว่าโลกทั้งใบของผมมันพังทลายไปตั้งแต่วันที่ทหารพวกนั้นบุกเข้ามาในบ้านแล้วล่ะครับ… เพราะงั้นตอนนี้ขอแค่พวกคุณรับปากว่าถ้ามีโอกาสแล้วจะช่วยเหลือลูกๆ ของผมออกมาผมก็ไม่มีอะไรจะต้องลังเลแล้วล่ะครับ”
“….”
แปะ
เด็กสาวในชุดผ้าคลุมที่ได้ยินคำตอบของอัลเดรียได้นิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปเอามือไปแปะไว้บนหัวของเขาเบาๆ เหมือนกับว่าเธอกำลังลูบหัวปลอบใจเขาอยู่จนทำให้อัลเดรียได้แต่เงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยความประหลาดใจ
แต่ว่าเด็กสาวในชุดผ้าคลุมนั้นก็กลับผละมือของเธอออกจากหัวของอัลเดรียเพื่อหันไปส่งข้อความผ่านความคิดให้กับฮานะที่กำลังลูบหัวซัมเมอร์ที่ยืนหลบเกาะชายกระโปรงเธออยู่แทน จนทำให้ฮานะที่ได้รับคำสั่งใหม่มาผละมือออกจากหัวของซัมเมอร์และก้าวเดินเข้าไปหาอัลเดรียเพื่อเชิญตัวเขาไปเตรียมความพร้อมสำหรับภารกิจใหม่
“ถ้างั้นคุณอัลเดรียตามฉันมาเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะพาคุณกับซัมเมอร์ไปเตรียมตัวสำหรับภารกิจที่กำลังจะเริ่มขึ้นกันค่ะ”
“อ่ะ— เข้าใจแล้วครับ!”
อัลเดรียขานตอบกลับไปพร้อมกับรีบลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินตามหลังฮานะกับซัมเมอร์ออกจากเต็นท์ไปในทันทีโดยมีเด็กสาวในชุดผ้าคลุมคอยมองตามไล่หลังทุกคนไปอย่างเงียบๆ
และหลังจากที่ทั้งสามคนเดินหายออกไปจากสายตาแล้วก็ได้มีใบหน้าของเด็กสาวผมสีดำยุ่งๆ ที่มีนัยน์ตาสีเหลืองโผล่พ้นขอบประตูเต็นท์ออกมาพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงยียวน
“เห~ สรุปสุดท้ายแล้วก็ตกลงยอมรับพวกเขามาเข้าร่วมด้วยกันทั้งกลุ่มเลยไม่ใช่หรอไงคะเนี่ยคุณหัวหน้า~”
“นัวร์…”
เด็กสาวผมสีดำที่โผล่มานั้นก็คือ นัวร์ เด็กสาวผู้ที่ตกเป็นเป้าสังหารของเซซิเรียที่ถูกหญิงสาวผมสีเขียวยิงหอกคริสตัลเข้าใส่ที่หัวไหล่และเบ้าตาจนทะลุไปเมื่อวานนี้นี่เอง ซึ่งสภาพของนัวร์ที่กลับมาดูปกติดีแล้วนั้นก็ได้ทำให้เด็กสาวในชุดผ้าคลุมเอ่ยปากถามขึ้นมา
“จัดการร่างใหม่เสร็จแล้วหรอ…?”
“อื้อ~ ก็ต้องขอบใจซัมเมอร์จังเขาล่ะนะที่พาฉันกลับมาที่ฐานได้ทันน่ะ ว่าแต่สรุปแล้วที่พ่อหนุ่มคนนั้นเดินตามฮานะไปต้อยๆ แบบนั้นนี่แปลว่าเธอยอมรับเขามาเป็นลูกน้องแล้วงั้นสินะ~?”
“ก็แค่หาข้อตกลงที่ลงตัวกันได้แค่นั้น…”
“เห~ ถ้าเธอพูดแบบนั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะคัดค้านหรอกจ้ะ~”
นัวร์พูดตอบเด็กสาวในชุดผ้าคลุมกลับไปพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อกาวน์ที่ยาวเกินตัวของเธอไปมาอยู่สองสามทีก่อนจะเดินไปนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงที่อัลเดรียนอนอยู่เมื่อสักครู่พร้อมกับจ้องมองเข้าไปด้านในความมืดมิดภายใต้ผ้าคลุมของเด็กสาวอีกคนด้วยท่าทางอารมณ์ดีจนทำให้อีกฝ่ายได้แต่ต้องเอ่ยปากถามขึ้นมา
“แล้วเธอมีอะไรหรือเปล่านัวร์…? หรือว่าจะมาพูดคุยเล่นด้วยเฉยๆ …?”
“แหม่~ ฉันเองก็อยากจะมีเวลาว่างมานั่งเล่นชวนเธอคุยเหมือนกับสมัยก่อนอยู่เหมือนกันนะ แต่พอดีว่าตอนนี้ฉันมีข่าวจากน้องๆ ของนูลิสเขามาแจ้งให้เธอรู้เนี่ยสิ~”
“เกิดปัญหาขึ้นหรอ…?”
“จะว่าแบบนั้นมันก็ไม่ใช่สักทีเดียวหรอก เพราะว่าฉันเพิ่งจะจัดการพวกตุ๊กตาของฉันจนเสร็จไปเมื่อกี้นี้ แล้วก็สร้างพวกเด็กๆ ปีกสีแดงกับสีส้มจนครบจำนวนแล้วด้วย แถมก่อนหน้านี้คุณแม่เองก็เพิ่งจะปลุกน้องๆ ของฮานะให้ตื่นขึ้นมาได้เพิ่มขึ้นอีกตั้งสองคนอีกต่างหาก~”
“……”
เด็กสาวในชุดผ้าคลุมที่ได้ยินคำตอบทีเล่นทีจริงจากนัวร์นั้นได้แผ่บรรยากาศเย็นชาออกมาจนทำให้นัวร์ที่พยายามพูดจาบ่ายเบี่ยงถีงกับเหงื่อตกเล็กน้อยและยกมือที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้แขนเสื้อกาวน์ยาวเกินตัวขึ้นมาเกาหัวก่อนจะพูดตอบกลับไปแต่โดยดี
“เฮ้อ… ก็เรื่องของยัยน้องๆ ของฮานะที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมานั่นล่ะ ตัวทรินจังน่ะพอรู้สถานการณ์แล้วก็ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีเหมือนกับที่สัญญาเอาไว้ แต่ว่าไอวี่จังเขาค่อนข้างจะ… โอ๊ย นูลิสจังเข้ามาช่วยกันอธิบายหน่อยสิ~”
“รับทราบค่ะท่านนัวร์…”
ในทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของนัวร์ นูลิสที่ยืนหลบอยู่ที่ด้านนอกเต็นท์ก็ได้เดินเข้ามาภายในพร้อมกับค้อมหัวให้กับเด็กสาวในชุดคลุมไปทีหนึ่ง
ซึ่งเมื่อเด็กสาวในชุดผ้าคลุมเห็นว่ามีเพียงแค่นูลิสที่เดินเข้ามาภายในโดยปราศจากเด็กสาวที่ชื่อว่าทรินและไอวี่ที่นัวร์เพิ่งจะบอกว่าถูกคุณแม่ของพวกเธอปลุกขึ้นมานั้น เด็กสาวในชุดผ้าคลุมก็ได้หันไปจ้องมองนูลิสอย่างเงียบๆ จนทำให้สาวใช้ตัวน้อยต้องรีบพูดตอบกลับไปในทันที
“หลังจากที่ไอวี่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับทริน เธอก็บอกว่าจะขอเข้าไปดูด้านในตัวเมืองรีมินัสสักหน่อยแล้วก็รีบบินหนีไปก่อนที่ท่านนัวร์จะได้ตรวจสภาพร่างกายให้ค่ะ แถมยังตัดช่องสัญญาณสื่อสารทิ้งจนไม่สามารถติดต่อได้อีกด้วยค่ะ”
“ก็ตามที่นูลิสเขาว่ามานั่นแหล่ะว่าฉันยังไม่มีโอกาสได้ตรวจดูสภาพร่างกายของไอวี่เขาว่ามีตรงไหนบกพร่องหรือเปล่า… ถึงถ้าเกิดว่าเป็นฝีมือของคุณแม่ก็น่าจะวางใจเรื่องสภาพร่างกายได้ก็เถอะ แต่ที่ฉันอยากตรวจสอบจริงๆ น่ะมันคือตัวตนที่อยู่ข้างในนั่นต่างหากล่ะว่ามีอะไรเปลี่ยนไปจากสมัยก่อนเหมือนกับใครบางคนแถวๆ นี้หรือเปล่าน่ะ~”
นัวร์พูดเสริมขึ้นมาพร้อมกับหันไปยิ้มจ้องมองนูลิสด้วยแววตาเป็นนัยๆ อยู่สักครู่หนึ่งจนทำให้สาวใช้ตัวน้อยถึงกับต้องเหลือบไปมองด้วยแววตาเชิงตำหนิที่อีกฝ่ายพูดราวกับว่าน้องสาวของเธอจะมีอะไรผิดแปลกไปหลังจากที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมา
ส่วนทางด้านเด็กสาวในชุดผ้าคลุมนั้นก็ได้นิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่งหลังจากที่ได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่เธอจะพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“ก็สมกับที่อยู่กับเธอคนนั้นมาตลอดล่ะนะ…”
“จะให้ฉันไปตามตัวเธอกลับมาหรือเปล่าคะหัวหน้า?”
“ไม่ต้อง… ปล่อยเธอไป…”
เด็กสาวในชุดผ้าคลุมพูดตอบนูลิสกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะเดินออกไปทางประตูเต็นท์จนทำให้นัวร์ที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงต้องรีบเอ่ยปากรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน
“เอ๋~ แต่ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวพวกเราก็จะเริ่มแผนการกันแล้วไม่ใช่หรอคุณหัวหน้า? ถ้าเกิดคนไม่ครบกันแบบนี้มันจะไม่มีปัญหาเอาหรอ~?”
“แต่นั่นมันก็เป็นสิ่งที่ไอวี่เลือกเอง… นูลิส… เรียกประชุมแฟรี่คนอื่นๆ มาปรึกษากันว่าจะปรับแผนการในส่วนของไอวี่ยังไง… เสร็จแล้วก็รายงานไปให้คุณแม่รับทราบซะ…”
“รับทราบค่ะ”
นูลิสขานตอบเด็กสาวในชุดผ้าคลุมกลับไปสั้นๆ พร้อมกับค้อมหัวให้อีกฝ่ายที่กำลังจะเดินออกนอกเต็นท์ไป ซึ่งคำสั่งของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมนั้นก็ได้แต่ทำให้นัวร์ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ
“เฮ้อ~ มีแต่คนชอบทำตามใจตัวเองกันทั้งนั้นเลยน้า~ แทนที่จะบุกๆ เข้าไปจัดการให้จบเรื่องจะได้มาเริ่มต้นกันใหม่จริงๆ สักทีน่ะ”
“ก็เพราะว่าหัวหน้าเขาไม่เหมือนกับท่านนัวร์ยังไงล่ะคะ… เพราะถึงหัวหน้าเขาจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเป้าหมายของพวกเราแต่เขาก็จะไม่บังคับถ้าหากว่ามีใครไม่ต้องการที่จะทำตามด้วย… หัวหน้าเขาไม่เหมือนกับท่านนัวร์ที่ก่อเรื่องจนถูกถอนอำนาจในการสั่งการพวกฉันไปหรอกค่ะ…”
“แหม่~ เธอยังโกรธฉันเรื่องของนิโคลจังอยู่หรอไงจ๊ะนูลิส~”
“ไม่ได้มีแค่ฉันที่โกรธหรอกนะคะ…”
นูลิสขมวดคิ้วตอบเด็กสาวผมสีดำกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แฝงความขุ่นมัวเอาไว้แบบไม่คิดจะปิดบัง แต่ถึงอย่างนั้นนัวร์ก็กลับทำเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อของเธอไปมาแบบไม่มีทีท่าว่าจะสำนึกผิดกับสิ่งที่อีกฝ่ายว่ามาเลยแม้แต่น้อย
“ถึงเธอจะว่าอย่างนั้นแต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา เพราะทางด้านฉันเองก็แค่ทำตามวิธีที่มันได้ผลและรวดเร็วที่สุดเท่านั้นเอง ถึงมันจะเป็นอะไรที่พวกเธอยอมรับกันไม่ได้ก็เถอะนะ~ แต่เอาเป็นว่าตอนนี้เธอไปทำงานที่คุณหัวหน้าเขาสั่งเอาไว้ก่อนแล้วค่อยเอาไว้มาดุฉันหลังจากที่แผนอะไรของเธอนั่นเสร็จแล้วก็แล้วกัน~”
“ถึงท่านนัวร์ไม่บอกฉันก็คิดจะทำแบบนั้นอยู่แล้วล่ะค่ะ…”
นูลิสที่เห็นว่าเด็กสาวผมสีดำในชุดเสื้อกาวน์ไม่ได้มีทีท่าว่าจะรู้สึกผิดอะไรเลยแม้แต่น้อยนั้นได้แต่ต้องส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจและหันหลังกลับเพื่อเดินออกจากเต็นท์ไปโดยไม่คิดที่จะสนใจอีกฝ่ายอีก แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้ก้าวเท้าพ้นออกมาจากตัวเต็นท์ นัวร์ที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งซะก่อน
“อ่ะ— จริงด้วยสินูลิส ถ้ายังไงฉันขอฝากข้อความอะไรไว้กับเธอสักหน่อยจะได้หรือเปล่าเอ่ย~?”
“หวังว่าท่านนัวร์คงจะยังไม่ลืมนะคะว่าท่านไม่มีสิทธิสั่งการอะไรพวกฉันอีกต่อไปแล้วน่ะค่ะ…”
“มันก็ไม่ใช่คำสั่งสักหน่อยนี่~ ฉันก็แค่อยากจะฝากเธอไปเตือนเจ้าหนุ่มอัลเดรียนั่นสักหน่อยว่าถ้าเกิดเขาเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเธอโดยที่มีเพียงแค่เป้าหมายเล็กๆ แบบนั้นจริงๆ ล่ะก็… …เขาไม่มีทางจะรอดชีวิตไปจนถึงตอนที่พวกเธอคิดจะพาตัวลูกๆ ของเขาออกมาได้แน่ๆ น่ะ”
“…..”
สิ่งที่นัวร์พูดออกมานั้นทำให้นูลิสที่ในตอนแรกไม่คิดจะสนใจคำพูดของเธอชะงักไปชั่วขณะและเหลือบสายตาเย็นชากลับมามองทางด้านนัวร์ที่นั่งยิ้มอยู่บนเตียง ซึ่งการที่นูลิสชะงักไปแบบนั้นก็ได้ทำให้นัวร์ที่เห็นว่านูลิสมีท่าทีว่าจะสนใจคำพูดของเธอพูดออกมาต่อให้สาวใช้ตัวน้อยฟัง
“เธอเองก็รู้ใช่มั้ยล่ะว่าหัวหน้าคิดจะให้อัลเดรียรับหน้าที่อะไรในภารกิจที่กำลังจะเริ่มน่ะ~ แล้วในเมื่อคราวที่แล้วเธอเล่นงานยัยเอริกะทีเผลอไปแบบนั้น เธอคิดหรอว่ายัยนั่นจะยอมอยู่เฉยให้พวกเธอทำสำเร็จง่ายๆ เหมือนครั้งก่อนน่ะ~”
“ถ้าดูจากในรายงานของฮานะแล้วฉันเชื่อว่าคุณอัลเดรียเขาจะไม่เสียใจกับเส้นทางที่เขาเป็นคนเลือกด้วยตัวเองหรอกค่ะ…”
“อ่า ก็นั่นสินะ~ เพราะงั้นคุณหัวหน้าเขาถึงได้ยอมตกลงอะไรแบบนั้นกับมนุษย์ธรรมดาๆ แบบเขานี่นะ ถึงฉันจะดูไม่ออกว่าที่หัวหน้าเขายอมทำแบบนั้นเป็นเพราะว่าหวังดีอยากให้พ่อหนุ่มคนนั้นได้มีความสุขหรือเป็นเพราะว่าหัวหน้าเขาแค่วางแผนคาดหวังผลประโยชน์อะไรสักอย่างเอาไว้ในอนาคตที่พ่อหนุ่มนั่นจะต้องตายอย่างแน่นอนหรือเปล่าก็เถอะนะ~”
นัวร์เอ่ยปากพูดขึ้นมาพร้อมกับกระโดดลงจากเตียงและตบไหล่ของนูลิสเบาๆ ในจังหวะที่เธอเดินผ่านสาวใช้ตัวน้อยออกไปด้านนอกเต็นท์จนทำให้นูลิสได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมา
ตึกตึกตึก
“……”
ในขณะที่นูลิสกำลังขมวดคิ้วครุ่นคิดกับคำพูดของนัวร์อยู่นั้นก็ได้มีเด็กสาวผมสีดำอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาด้านในเต็นท์และยืนจ้องมองนูลิสอยู่อย่างเงียบๆ ราวกับว่ากำลังรอให้เธอเอ่ยปากทักขึ้นมาอยู่ ซึ่งนั่นก็ทำให้นูลิสได้เอ่ยปากถามสาวใช้ผมสีดำผู้ที่มีแววตาสีฟ้าอันว่างเปล่าขึ้นมา
“หืม…? มีอะไรหรือเปล่านิโคล…?”
“……..”
“อนุมัติ… แต่ยังไงก็อย่าลืมแจ้งให้คุณแม่ทราบก่อนด้วยละกันนะนิโคล… แล้วถ้าเป็นไปได้ก็พยายามพาตัวไอวี่กลับมาให้ได้ด้วยล่ะ… เธอยังจำหน้าตาของไอวี่ได้หรือเปล่า? เด็กผมสีเขียวคนที่ชอบมัดผมเป็นทรงหางม้าคนนั้นน่ะ…”
“……..”
นิโคลที่ยังคงนิ่งเงียบได้พยักหน้าตอบนูลิสกลับไปเบาๆ พร้อมกับหันหลังกลับเพื่อเดินออกไปจากเต็นท์ก่อนที่เธอจะแผ่ปีกแสงสีฟ้ารูปทรงเหมือนกับปีกผีเสื้อออกมาและพุ่งตัวหายขึ้นไปบนฟากฟ้า
ส่วนทางด้านนูลิสนั้นก็ได้แต่เดินออกมาจากเต็นท์เพื่อเงยหน้ามองเส้นแสงสีฟ้าที่พุ่งตรงไปทางตะวันออกเฉียงเหนือด้วยแววตาอบอุ่นปนเศร้าหมองราวกับว่าเธอเป็นพี่ใหญ่ที่ทำได้เพียงแค่เฝ้ามองดูน้องสาวตัวน้อยของตนเดินทางออกไปสู่โลกกว้างอย่างไรอย่างนั้น