Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 14
“ช่าย~ เพราะว่าที่นั่นมันก็คือคฤหาสน์ของคุณบารอน เวก้า รีวิซ ที่เขาเพิ่งจะมาคุ้ยบ้านฉันจนเละไปเมื่อวานนี้นั่นไง~”
“หะ—? แล้วนี่เธอส่งคนเข้าไ—”
“ชู่ว—!!”
ในชั่วขณะที่นากากำลังจะหลุดปากพูดขึ้นมาเสียงดังนั้นเอริซาเบธก็ได้รีบยื่นมือไปอุดปากของนากาเอาไว้ก่อน ส่วนทางด้านเอริกะเองก็ได้พูดเตือนขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกันเพราะว่าตัวเธอเองก็ยังไม่ได้มีโอกาสได้สั่งสอนนากาเลยแต่ว่าก็ต้องส่งตัวเขาไปปฏิบัติงานด้วยเหตุฉุกเฉินแบบนี้เสียก่อน เลยทำให้เขานั้นยังขาดความรู้ในการปฏิบัติตัวระหว่างการปฏิบัติภารกิจอยู่
“เวลาที่เธอออกไปทำงานให้ฉันถ้าเป็นไปได้เธอก็ระวังตัวเวลาจะพูดอะไรหน่อยละกันนะนากาคุง เพราะฉันเองก็ไม่รู้ว่าคุณเวก้าเขาแอบส่งคนมาจับตาดูพวกเราเอาไว้หรือเปล่าเหมือนกันน่ะ”
“อ–อ่า ขอโทษทีๆ แต่เพราะว่าเป้าหมายคือเวก้าที่ไม่รู้ว่าวางแผนอะไรเอาไว้แบบนี้เธอก็เลยไม่ยอมให้อลิซบุกเข้าไปที่นั่นงั้นสินะ ส่วนคอนแนลที่ทำงานให้กับเขาเองก็ยิ่งแล้วใหญ่เลย…”
นากาที่ถูกเอริกะพูดเตือนขึ้นมาได้ลดเสียงของเขาลงและพูดถามเธอกลับไป ซึ่งทางด้านเอริกะที่เห็นว่านากาลดเสียงลงแล้วก็ไม่ได้พูดว่าอะไรเขาออกมาแล้วจึงหันไปพูดถามอลิซที่เธอพาตัวไปด้วยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงท้าทายแทน
“จะว่าแบบนั้นก็ได้แหล่ะ แต่ที่ฉันพาอลิซจังเขามาด้วยกันนี่มันเป็นเพราะเรื่องอื่นน่ะ… ไหนล่ะอลิซ เรื่องที่เธอบอกว่าเธอสัมผัสวิซได้เก่งกว่าคนอื่นหน่อยๆ น่ะ ถ้าเธอเจ๋งจริงงั้นก็ลองบอกฉันมาหน่อยสิว่าตอนนี้มีคนแอบตามพวกเรามาอยู่กี่คนน่ะ~”
หลังจากที่เอริกะเอ่ยปากพูดขึ้นมาจนจบแล้วเสียงของเธอก็ได้เงียบหายไปสักพักหนึ่งบ่งบอกว่าเธอกำลังคุยกับอลิซที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับเครื่องมือสื่อสารไปใช้งานอยู่ แล้วหลังจากนั้นเอริกะจึงค่อยเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนใจหน่อยๆ
“แหม่~ เป็นคนดังแบบนี้นี่ก็ลำบากอยู่เหมือนกันนะเนี่ย~”
คำพูดของเอริกะนั้นพอจะทำให้นากาเข้าใจสถานการณ์ทางด้านเอริกะขึ้นมาได้บ้างเขาจึงได้พูดขึ้นมาเบาๆ ด้วยความเข้าใจ
“ขนาดเธอยังแอบส่งคนเข้าไปทำงานในบ้านเขาเลยเพราะงั้นเขาจะส่งคนมาแอบตามเธอบ้างมันก็ไม่แปลกงั้นสินะ…”
“มันก็อะไรประมาณนั้นนั่นแหล่ะ แต่เอาจริงๆ แล้วที่ฉันพาอลิซจังมาด้วยนี่มันเป็นเพราะว่าฉันกะจะไปหาอารอนเขาพอดี ก็เลยถือโอกาสพาอลิซจังไปให้อารอนทำแผลให้ใหม่ด้วยไปเลยน่ะ~”
“ถ้ายังไงก็ระวังตัวด้วยก็แล้วกันนะคะทั้งคุณเอริกะแล้วก็อลิซจังด้วยน่ะ”
“จ้าๆ ว่าแต่แล้วนี่พวกเธอเดินไปถึงไหนกันแล้วล่ะ?”
คำถามของเอริกะได้ทำให้เอริซาเบธและนาการู้ตัวขึ้นมาว่าพวกเขาควรจะรีบเร่งเดินทางไปให้ถึงที่หมายได้แล้วพวกเขาจึงได้พยักหน้าให้กันแล้วจึงออกวิ่งไปตามตรอกเล็กๆ ที่เลียบไปกับถนนเส้นหลักโดยมีเอริซาเบธพูดรายงานกลับไปให้เอริกะฟังไปด้วย
“ก็ใกล้จะถึงประตูเมืองทางทิศเหนือแล้วล่ะค่ะ แล้วเป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้คืออะไรบ้างล่ะคะคุณเอริกะ?”
“อันดับแรกก็คงจะต้องสืบดูให้แน่ใจก่อนว่าเพื่อนของพวกเรายังปลอดภัยดีหรือเปล่านั่นแหล่ะ แต่เดี๋ยวเอาไว้ฉันค่อย— โอ๊ะโอ๋~ ดูท่าทางว่าจะจะอันตรายซะแล้วสิ อลิซจังถอยมาก่อนซิเดี๋ยวฉันจะ—”
เสียงของเอริกะที่กำลังพูดสั่งอลิซออกมานั้นได้ชะงักไปกลางคันก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงตุ๊บตั๊บดังแว่วออกมาจากเครื่องสื่อสารให้ทั้งเอริซาเบธและนากาได้ยินจนทำให้ทั้งสองคนต้องหยุดฝีเท้าลงด้วยความเป็นห่วง แต่ว่าหลังจากนั้นอีกไม่นานสักเท่าไหร่นักเอริกะก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยน้ำเสียงชื่นบาน
“แหม่~ อลิซจังนี่ต่อยตีกับชาวบ้านเขาเก่งจังเลยนะเนี่ย~”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะคะคุณเอริกะ ใช่ฝีมือของพวกที่แอบตามคุณเอริกะไปหรือเปล่าน่ะคะ!?”
“เอ๋ะ? อ๋อเปล่าหรอกจ้ะ ดูแล้วน่าจะเป็นแค่พวกนักเลงที่คิดจะมาไถเงินกันเฉยๆ น่ะ~ เอาล่ะ พวกเราออกเดินทางกันต่อดีกว่าเนอะ~”
คำพูดของเอริกะได้ทำให้เอริซาเบธถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนที่เธอจะออกวิ่งนำนากาไปทางทิศเหนืออีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งในขณะที่นากากำลังวิ่งตามหลังเอริซาเบธไปอยู่นั้นเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะพูดถามเอริกะขึ้นมาด้วยความสงสัย
“นี่เอริกะ ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ”
“หืม? ว่ามาสินากาคุง~”
“คือ… นี่มันก็แค่เรื่องสมมุตินะ คือสมมุติถ้าเกิดว่าสายของเธอคนที่ว่านั่นเขาโดนเวก้าจับได้ไปแล้วเธอกะจะให้พวกฉันทำยังไงต่อหรอ?”
“ถ้าเกิดว่าถูกจับได้ไปแล้ว? อื้ม… นั่นสินะ…”
คำถามของนากาได้ทำให้เอริกะเงียบลงไปสักพักใหญ่เพราะดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้คิดเผื่อเอาไว้ถึงในสถานการณ์ที่นากาเอ่ยปากถามขึ้นมา ซึ่งในขณะที่เอริกะกำลังนิ่งเงียบเหมือนกับว่าเธอกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ทางด้านเอริซาเบธและนากาก็ได้วิ่งออกมาจากตรอกเล็กๆ ที่เลียบเคียงไปกับถนนใหญ่และวิ่งตรงเข้าไปด้านในประตูทางทิศเหนืออย่างรวดเร็ว
ปึ๊ก—
“ว๊าย!”
ในชั่วขณะที่นากากำลังตีโค้งเลี้ยวเพื่อเข้าประตูเมืองทางทิศเหนือนั้นเอง ร่างกายของเขาก็ได้ปะทะเข้ากับเด็กสาวร่างเล็กผมสีเทายาวในชุดเดรสสีขาวอายุราวๆ สิบห้าหรือสิบหกปีที่ดูเหมือนว่าจะกำลังทำตัวลีบแอบย่องผ่านประตูเมืองเข้ามาด้วยสาเหตุอะไรบางอย่างเข้าอย่างจังจนทั้งสองฝ่ายต่างหงายหลังล้มกระแทกพื้นไปเต็มๆ
ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาต้องรีบลุกขึ้นมาและยื่นมือออกไปหวังที่จะช่วยดึงให้เด็กสาวลุกกลับขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิด
“อ่ะ ขอโทษที เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ห—หนูไม่เป็นไรค่ะ!”
เด็กสาวผมสีเทาที่ถูกนากาชนจนล้มลงไปนั้นได้ยันตัวเองให้ลุกขึ้นมายืนด้วยตัวเองโดยที่ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยมือออกจากห่อผ้าที่เธอกอดเอาไว้เลยแม้แต่น้อยจนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นได้แต่ต้องชักมือกลับไปเกาหัวตัวเองอย่างเก้อๆ ในขณะที่ทางด้านเด็กสาวผมสีเทาเองก็ได้ก้มลงไปดูห่อผ้าในมือของเธอและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ฟู่… ยังหลับอยู่สินะ…”
เสียงพูดของเด็กสาวได้ทำให้นากามองสังเกตดูภายใต้ห่อผ้าสีขาวของอีกฝ่าย และเมื่อเขาได้พบว่าสิ่งที่อยู่ภายในนั้นก็คือเด็กทารกคนหนึ่งที่ดูแล้วเพิ่งจะมีอายุได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนดีเขาก็ได้พูดถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงเพราะว่าสภาพอากาศที่ฝนตกแบบนี้ดูแล้วไม่เหมาะที่จะพาตัวเด็กทารกแรกเกิดออกมานอกบ้านเลยแม้แต่น้อยอีกทั้งตัวเด็กสาวผมสีเทาเองก็ไม่มีอุปกรณ์อะไรสำหรับป้องกันตัวเองจากสายฝนแม้แต่ชิ้นเดียวอีกด้วย
“เธอพาเด็กคนนี้ออกมาข้างนอกทั้งๆ ที่ฝนตกแบบนี้ทำไมน่ะ? เด็กคนนั้นเขาไม่สบายอะไรหรือเปล่า จะให้ฉันเรียกพวกทหารยามเขามาพาเธอไปส่งที่โรงพยาบาลให้มั้ย?”
“นี่ๆ พวกเราไม่ได้มีเวลากันขนาดนั้นหรอกนะนากาคุง”
ทันใดนั้นเองเอริซาเบธที่ถึงแม้ว่าจะรู้สึกเป็นห่วงเด็กสาวและเด็กทารกที่ต้องวิ่งตากฝนอยู่บ้างแต่ก็คิดว่าภารกิจของเอริกะที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของสายลับที่หายตัวไปมีความสำคัญมากกว่าก็ได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดุๆ จนทำให้นากาต้องพูดเถียงกลับไป
“ก็แค่บอกพวกทหารยามให้เขาพาเด็กคนนี้ไปส่งที่โรงพยาบาลเองน่า ไม่น่าจะเสียเวลาอะไรสักเท่าไหร่หรอกมั้งเอริ”
ในขณะที่ทางด้านนากากำลังพูดเถียงเอริซาเบธกลับไปอยู่นั้น ทางด้านเด็กสาวผมสีเทาก็กลับแทบจะสะดุ้งเฮือกไปกับคำว่าทหารยามของนากาและรีบก้มหัวลงก่อนจะรีบวิ่งเข้าเมืองหายไปในทันที
“ม—ไม่เป็นไรค่ะ! ถ้ายังไงหนูขอตัวก่อนนะคะ!”
“ด–เดี๋ยวสิ—”
นากาที่ได้ยินเสียงร้องของเด็กสาวผมสีเทาได้ละสายตากลับมาจากเอริซาเบธเพื่อพยายามที่จะพูดเกลี้ยกล่อมเด็กสาวผมสีเทาขึ้นมา แต่ว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นก็มีเพียงแค่หลังไวๆ ของเธอที่ผลุบหายเข้าไปด้านในตรอกแห่งหนึ่งไปแล้ว
“เอาล่ะพวกเรารีบไปกันเถอะนากาคุง แต่ถ้าเกิดว่าเธอเป็นห่วงเด็กคนนั้นมากล่ะก็เอาไว้หลังจากทำงานให้คุณเอริกะเสร็จแล้วฉันจะไปช่วยเธอตามหาเด็กคนนั้นเองก็แล้วกันนะ”
“อ–อื้ม”
นากาพูดตอบเอริซาเบธกลับไปก่อนที่เขาจะออกตัววิ่งผ่านประตูเมืองทางทิศเหนือตามหลังเอริซาเบธไป ส่วนทางด้านเอริกะเองนั้นก็ได้พูดถามพวกเขาขึ้นมาผ่านเครื่องสื่อสารเมื่อเธอได้ยินเอริซาเบธพูดเหมือนกับว่าเธอจัดการเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นมาได้แล้วขึ้นมา
“ทางด้านนั้นเกิดอะไรขึ้นน่ะเอริซาเบธ?”
“อ๋อ ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ แค่ว่านากาคุงเขาซุ่มซ่ามเผลอเดินไปชนเด็กคนนึงที่กำลังจะเข้าเมืองมาเฉยๆ น่ะค่ะ~”
เอริซาเบธพูดตอบคำถามของเอริกะกลับไปในขณะที่ทางด้านนากาก็ได้เอ่ยปากพูดขอโทษที่เขาทำให้เสียเวลาขึ้นมาแล้วจึงพูดถามเอริกะเกี่ยวกับคำถามก่อนหน้านี้ของเขาขึ้นมาอีกครั้ง
“ก็ขอโทษทีละกันที่ซุ่มซ่ามน่ะ ว่าแต่แล้วเธอว่ายังไงบ้างล่ะเอริกะ เรื่องที่ฉันถามไปเมื่อกี้นี้น่ะ”
คำถามของนากาได้ทำให้เอริซาเบธที่วิ่งนำหน้าเขาอยู่ชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อยแล้วจึงพูดเสนอความคิดของเธอขึ้นมา
“เรื่องนั้นฉันคิดว่าเกิดเขาโดนจับได้ไปแล้วจริงๆ ล่ะก็ให้ฉันลงมือจัดการก่อนที่เขาจะได้หลุดปากพูดข้อมูลอะไรออกไปน่าจะดีที่สุดนะคะคุณเอริกะ”
“อื้ม… นั่นสินะ ถ้างั้นก็เอาตามนั้นก็แล้วกัน”
“ด–เดี๋ยวก่อนสิ! สายสืบคนนั้นเขาเป็นเพื่อนของเธอไม่ใช่หรือไงน่ะเอริกะ!?”
ข้อเสนอของเอริซาเบธและคำพูดตอบรับของเอริกะนั้นถึงกับทำให้นากาหยุดฝีเท้าลงด้วยความตกใจ เพราะเขาคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวที่ดูขี้เล่นทั้งสองคนจะพูดจาอะไรโหดร้ายอย่างการจัดการปิดปากสายลับของตัวเองทิ้งก่อนที่เขาจะได้หลุดปากพูดข้อมูลอะไรออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยแบบนั้น
ซึ่งเสียงของนากาที่ดังไม่ใช่น้อยด้วยความตกใจนั้นก็ได้ทำให้เอริกะต้องพูดเตือนเขาออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“นี่นากาคุง ตอนนี้เธอกำลังออกไปทำภารกิจให้ฉันอยู่นะ เพราะงั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในระหว่างการปฏิบัติภารกิจเธอก็ห้ามใช้ความรู้สึกส่วนตัวในการตัดสินใจเป็นอันขาดนะรู้มั้ย…”
“ต–แต่ว่า–”
“ไม่มีแต่ทั้งนั้นล่ะ… ถ้าเกิดว่าเธออยากจะให้ฉันรับเธอเข้าร่วมทีม เธอก็ต้องแสดงให้ฉันเห็นว่าฉันจะสามารถไว้ใจให้เธอออกไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้นะเข้าใจมั้ย… แล้วอีกอย่างนึงในกรณีแบบนี้… ต่อให้เธอไม่ยอมลงมือ เอริซาเบธหรือว่าคนอื่นในทีมก็จะเป็นคนลงมือเองอยู่ดีนั่นล่ะ”
“……..”
คำพูดที่ฟังดูโหดร้ายของเอริกะได้ทำให้นากานิ่งเงียบไปเหมือนกับว่าเขารับไม่ได้ที่จะต้องลงมือทำอะไรแบบนั้น ซึ่งการนิ่งเงียบของนากานั้นก็ดูเหมือนว่าจะทำให้เอริกะสามารถคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เธอจึงได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อย
“แล้วก็นะ วิธีที่เอริเขาเสนอขึ้นมามันเป็นวิธีที่จะเสี่ยงทำให้ความลับเรื่องภารกิจรั่วไหลน้อยที่สุดแล้ว แถมถ้าเกิดว่าเป็นฝีมือการจัดการของเอริล่ะก็ฉันก็มั่นใจว่าจะไม่มีใครทันได้รู้ตัวแน่นอน”
“ขอแค่คุณเอริกะสั่งมาฉันก็จัดการให้ได้อยู่แล้วล่ะค่ะ”
เอริซาเบธพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เธอจะหันไปมองหน้านากาด้วยสีหน้านิ่งๆ จนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นต้องหันไปจ้องหน้าเธอตาขวาง เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็รับไม่ได้กับวิธีการปิดปากพวกเดียวกันเองของหญิงสาวทั้งสองคนจริงๆ
“แหม่~ แต่นากาคุงไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ เพราะว่าไม่ว่าเมื่อไหร่คำสั่งของคุณเอริกะเขาไม่เคยทำให้พวกฉันต้องมาเสียใจภายหลังเลยสักครั้งเดียวน่ะ~”
“หา?”
ทันทีที่สิ้นเสียงที่ฟังดูขี้เล่นเหมือนกับปกติของเอริซาเบธ ทางด้านเอริกะที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของสายการสื่อสารก็ได้เอ่ยปากพูดสั่งงานออกมาอีกครั้งหนึ่ง
“…แต่เป้าหมายของพวกเธอในภารกิจนี้ไม่ใช่การป้องกันไม่ให้ความลับเรื่องสายสืบของฉันรั่วไหล แต่เป็นการมาสืบดูว่าเพื่อนของพวกเราที่ขาดการติดต่อไปนั่นเป็นยังไงบ้าง… แล้วก็ถึงฉันจะไม่อยากให้พวกเธอต้องลงมือก็เถอะ แต่ถ้าเกิดว่าพวกเธอเห็นเขาตกอยู่ในอันตรายล่ะก็ให้จัดการลงมือชิงตัวออกมาได้ในทันทีโดยไม่ต้องรอคำอนุญาตจากฉันเลยนะเข้าใจมั้ย”
“—!?”
คำสั่งชัดๆ ของเอริกะที่ฟังดูต่างไปจากที่นากาเข้าใจคลาดเคลื่อนไปไกลนั้นได้ทำให้นากาชะงักไปเล็กน้อยด้วยความแปลกใจก่อนที่เขาจะหันไปมองทางด้านเอริซาเบธที่กำลังยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่เหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าเมื่อสักครู่นี้เขาเข้าใจอะไรผิดไปไกล
แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้พูดอะไรออกมา เอริกะที่ยังไม่ได้ยินคำตอบรับของทั้งสองคนก็ได้พูดถามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าเธอทำเป็นเก๊กเข้มไปเท่านั้นเข้าเสียก่อน
“พวกเธอรับทราบและเข้าใจคำสั่งแล้วใช่มั้ย?”
“รับทราบแล้วค่า~ / ค–ครับ!”
“เอาล่ะ ถ้างั้นพวกเธอก็รีบๆ วิ่งไปให้ถึงคฤหาสน์นั่นได้แล้ว พอไปถึงแล้วก็ค่อยติดต่อมาขอข้อมูลเพิ่มอีกทีนึงก็แล้วกันนะ~”
ทันทีที่เอริกะเอ่ยปากพูดขึ้นมาจบเธอก็ได้ตัดสายการสื่อสารไปจนทำให้เอริซาเบธได้มีโอกาสหันไปยิ้มแฉ่งให้กับนากาและเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“เห็นมั้ยล่ะ~ นี่อย่าบอกนะว่าเธอเข้าใจผิดคิดว่าคำว่า ‘จัดการไปเลย’ ของฉันนั่นหมายถึงให้ลงมือฆ่าเขาทิ้งน่ะ~”
“นี่เธอก็รู้อยู่แล้วว่าฉันเข้าใจผิดงั้นสินะเนี่ยหะ!? ให้ตายสิ แทนที่จะรีบๆ บอกกันมาก่อนก็ได้แท้ๆ”
ถึงแม้ว่านากาจะพยายามรักษาท่าทีของเขาเอาไว้ แต่ว่าสีหน้าและน้ำเสียงของเขาก็ฟังดูเป็นมิตรกว่าตอนที่เขาจ้องมองเอริซาเบธตาขวางเพราะความเข้าใจผิดมากจนทำให้เอริซาเบธถึงกับหลุดหัวเราะออกมาและยื่นมือไปตบไหล่ของนากาเข้าให้ทีหนึ่ง
“ฮะฮะ แต่ถ้าฉันบอกไปตั้งแต่แรกว่า ‘คำสั่งของคุณเอริกะจะไม่ทำให้เธอผิดหวังหรอก’ เธอก็คงจะไม่เข้าใจใช่มั้ยล่ะ~ เรื่องแบบนี้น่ะให้เจอกับตัวมันจะดีกว่าฟังจากปากของคนอื่นนะจ๊ะรู้มั้ย~”
“เฮ้อ… มันก็จริงนั่นแหล่ะ แต่ตอนนี้พวกเราใกล้จะถึงคฤหาสน์กันแล้วจะเอายังไงกันต่อดีล่ะครับคุณหัวหน้าทีม?”
“โอ๋ะโอ๋~ ถ้าเกิดว่ามีคำว่าคุณหัวหน้าทีมหลุดมาอีกทีนึงที่โดนตบเป็นจุดต่อไปจะไม่ใช่ที่ไหล่แล้วนะจ๊ะนากาคุง~”
“ด—เดี๋ยวก่อนๆ ฉันพูดแค่พูดเล่นน่า! คฤหาสน์นั่นอยู่ข้างหน้านี่แล้วนะ เธอมีแผนอะไรก็รีบๆ ว่ามาเถอะ”
นากาที่เห็นว่าเอริซาเบธได้เลื่อนมือของเธอที่ง้างเอาไว้ตรงบริเวณไหล่ขึ้นไปสูงเหนือศีรษะของเขาได้รีบพูดห้ามเธอออกมาในทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริซาเบธทำมุ่ยหน้าเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดเสนอแผนการออกมา
“อื้ม… อันดับแรกพวกเราหาที่ซ่อนตัวสำหรับแอบสังเกตการณ์เงียบๆ ก่อนน่าจะดีกว่าล่ะมั้ง… ทางด้านหลังคฤหาสน์ที่ติดอยู่กับป่าก็น่าจะใช้ได้นะ”
“ด้านหลังงั้นหรอ… ก็น่าจะดีล่ะมั้ง แต่ว่าคฤหาสน์นี่มันจะใหญ่ไปไหนกันเนี่ย ท่าทางจะต้องวิ่งอ้อมกันไกลเลยมั้งนั่น”
นากาที่ได้ยินแผนการของเอริซาเบธได้พยักหน้าเห็นด้วยกับเธอไปก่อนจะพูดบ่นขึ้นมาเบาๆ เพราะว่าตัวคฤหาสน์หลังโตของเวก้านั้นเมื่อดูผ่านๆ แล้วมันน่าจะมีอาณาเขตที่กว้างขวางกว่าคฤหาสน์หลังงามที่ตั้งอยู่ในเขตตัวเมืองชั้นในซะด้วยซ้ำ
“แหม่ บ่นไปมันก็เท่านั้นนั่นแหล่ะนากาคุง เอาเป็นว่าพวกเรารีบไปกันเถอะ~”
เอริซาเบธที่ได้ยินคำพูดบ่นของนากาได้หลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะวิ่งเข้าไปด้านในป่าที่อยู่ติดกับตัวถนนและวิ่งลัดเลาะพรรณไม้นำนากาไปจนถึงบริเวณนอกรั้วของด้านหลังคฤหาสน์ที่เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่มีทั้งแปลงดอกไม้และโดมเรือนกระจกหลังเล็กๆ ที่แทบจะอยู่ติดกับแนวป่ารกทึบจนพวกเขาสามารถใช้มันซ่อนตัวได้อย่างไม่ยากลำบากอะไรนัก ซึ่งพวกเขาก็ได้ยืนหลบเข้าไปในแนวต้นไม้ก่อนจะติดต่อไปหาเอริกะเพื่อขอแผนการขั้นถัดไปจากเธอ
ปิ๊บ–
“เอริกะพวกฉันมาถึ—”
“กรี๊ดดดดด!?”
เสียงพูดถามของนากาได้ถูกขัดขึ้นมาด้วยเสียงกรีดร้องดังลั่นของอลิซที่ดังออกมาจากเครื่องสื่อสารจนนากากับเอริซาเบธแทบจะหูอื้อ แต่ว่าก่อนที่พวกเขาจะได้พูดถามอะไรออกมาก็ได้มีเสียงของเอริกะดังขึ้นมาให้พวกเขาได้ยินเข้าเสียก่อน
“ฮัลโหล่ๆ ได้ยินหรือเปล่า นากา? เอริ?”
เสียงพูดถามของเอริกะที่ฟังดูไม่ได้ร้อนรนอะไรนั้นพอจะทำให้เอริซาเบธที่ทำท่าเหมือนกับว่าจะพุ่งกลับไปในเมืองเพื่อช่วยเหลือเจ้านายของเธอใจเย็นลงมาได้บ้าง ในขณะที่ทางด้านนากาก็ได้เอ่ยปากพูดถามเอริกะกลับไปด้วยความสงสัย
“ได้ยินแล้วๆ นี่เกิดอะไรขึ้นที่นั่นน่ะเอริกะ?”
“อ๋อ~ ก็พอดีว่า—”
“จับตัวเธอเอาไว้…!”
“คุณอลิซอย่าดิ้นสิคะ!”
เสียงของอารอนและคุณพยาบาลสาวผมบลอนด์ที่ดังขึ้นมาแทรกคำตอบของเอริกะนั้นทำให้นากาสามารถทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทันที ในขณะที่ทางด้านเอริกะเองนั้นก็ได้พยายามที่จะพูดเสียงดังขึ้นเพื่อสู้เสียงร้องโวยวายที่ดังลั่นอยู่ในคลินิก
“พอดีว่าพออารอนเขาเห็นสภาพของอลิซจังแล้วเขาก็อยากจับอลิซจังมาทำแผลใหม่เฉยๆ น่ะไม่มีอะไรหรอกๆ แล้วพอดีว่าอารอนเขามีคนไข้คนอื่นรอตรวจอยู่เต็มคลินิกเขาก็เลยให้ฉันเข้ามาคุยข้างในนี้ถ้าเกิดว่าฉันไม่กลัวโดนเลือดกระเด็นใส่น่ะนะ~”
“อ–อ่า งั้นหรอ… แล้วนี่สายลับของเธอเขาหน้าตาเป็นยังไงล่ะ คือพอดีว่าพวกฉันได้ที่แอบซุ่มดีๆ อยู่ที่ด้านหลังคฤหาสน์แล้วน่ะ”
“อ้าว พวกเธอไปถึงกันแล้วหรอ ถ้างั้นคนที่พวกเธอจะต้องหาตัวเขาเป็นสาวใช้ผมสีทองที่น่าจะแต่งตัวหรูกว่าสาวใช้คนอื่นๆ อยู่สักหน่อยนึงน่ะ”
“สาวใช้ผมสีทอง? คฤหาสน์ใหญ่ตั้งขนาดนี้จะมันจะมีสาวใช้อยู่กี่คนกันล่ะนั่น…”
นากาที่ได้ยินเอริกะอธิบายรูปลักษณ์ของสายสืบที่พวกเขาจะต้องตามหาที่ฟังดูแล้วมันค่อนข้างจะไม่มีเอกลักษณ์อะไรเป็นพิเศษสักเท่าไหร่เลยได้พูดบ่นออกมาเล็กน้อยจนทำให้เอริกะจำเป็นต้องพูดอธิบายออกมาเพิ่มเติม
“น่าๆ ถ้าพวกเธอได้เห็นตัวเขาแล้วก็ไม่น่าจะพลาดได้หรอก ลองมองหาสาวใช้ผมสีทองที่ใส่ชุดที่ดูหรูๆ หน่อยไม่เหมือนกับชุดของพวกสาวใช้ธรรมดาๆ ที่ดูเรียบๆ น่ะ… แต่เอาจริงๆ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเขาไปโชว์ฝีมืออะไรเอาไว้ในคฤหาสน์ของคุณเวก้าเขาจนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าสาวใช้แบบนั้นน่ะ”
“อื้มมม… แต่ถ้าเกิดว่าเป็นสาวใช้คนเดียวกับที่ฉันเคยบังเอิญไปเจอที่หน้าบ้านของคุณเอริกะในตอนเช้าบ่อยๆ ฉันก็น่าจะระบุตัวได้ไม่ยากหรอกล่ะมั้งคะ… ว่าแต่เธอคนนั้นเป็นหัวหน้าสาวใช้ของคุณเวก้าเขาหรอคะนั่น?”
“ก็ไม่รู้สิ เพราะฉันเองก็ไม่เคยมีสาวใช้ส่วนตัว— เอ่อ… เอาจริงๆ ก็เคยมีแหล่ะแต่ก็มีแค่คนเดียวแถมมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้วล่ะนะ… แต่ถ้าเป็นสาวใช้ที่ใส่ชุดหรูๆ แบบนั้นก็น่าจะเป็นระดับหัวหน้าสาวใช้อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ~ เอาเป็นว่าถ้าพวกเธอเจอสาวใช้ผมสีทองยาวๆ ที่แต่งตัวดูหรูๆ หน่อยก็น่าจะเป็นคนนั้นนั่นแหล่ะ~”
“เธอก็พูดง่ายจังนะ…”
คำตอบของเอริกะที่ฟังดูแบบขอไปทีนั้นได้ทำให้นากาต้องพูดบ่นกลับไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหันไปจับตามองดูทางด้านคฤหาสน์ของเวก้าที่ประตูด้านหลังรวมถึงหน้าต่างทุกบานถูกปิดสนิทแถมยังดึงผ้าม่านมาปิดเอาไว้เพื่อป้องกันการสอดส่อง โดยมีเพียงหน้าต่างบานเดียวเท่านั้นที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ราวกับอยากจะท้าทายสายฝนที่ยังคงโปรยปรายลงมาอยู่จนทำให้นากาอดไม่ได้ที่จะพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
“นี่เอริซาเบธ… ที่นี่มันจะไม่เงียบไปหน่อยหรอน่ะ?”
“อื้ม… จะว่าไปขนาดหูของฉันเองก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงฝนเลยนี่นา… นี่ คุณเอริกะคะ ฉันว่าที่นี่มันค่อนข้างจะเงียบแบบแปลกๆ อยู่นะคะ…”
“เงียบงั้นหรอ… แต่ว่าปกติแล้วที่บ้านของคุณเวก้าเขาก็น่าจะมีคนอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วนะ อย่างพวกสาวใช้หรืออะไรพวกนั้นน่ะ… เอาเป็นว่าพวกเธอลองจับตาดูอีกสักพักนึงก่อนแล้วถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ค่อยรายงานฉันมาอีกทีนึงก็แล้วกัน”
“รับทราบค่ะ”
เอริซาเบธพูดรับคำสั่งของเอริกะกลับไปและหันกลับไปใช้สายตาของเธอสอดส่องไปตามบานหน้าต่างที่ถูกปิดสนิทพวกนั้นอย่างเงียบๆ ตามเดิม
แต่ทว่าหลังจากที่เวลาผ่านไปอีกสักพักหนึ่งพวกเขาก็ยังคงไม่เห็นวี่แววของใครเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งหน้าต่างบานเดียวที่ถูกเปิดอ้าทิ้งเอาไว้เองก็ยังคงถูกเปิดทิ้งเอาไว้โดยไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาจัดการปิดมันเพื่อป้องกันสายฝนและเศษใบไม้ที่ปลิวเข้าไปได้จำนวนหนึ่งแล้วด้วย
“เอ่อ… นี่เธอมั่นใจนะว่ามาถูกที่น่ะเอริซาเบธ? คฤหาสน์นี่มันดูไม่ได้ต่างไปจากคฤหาสน์ร้างเลยไม่ใช่หรือไงน่ะ?”
“มันก็ต้องถูกอยู่แล้วสิ เพราะคนที่คิดจะเอาคฤหาสน์มาตั้งอยู่นอกเมืองเพื่อแอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ แบบนี้น่ะมันมีแค่คุณเวก้าเขาแค่คนเดียวนั่นล่ะ… คุณเอริกะคะ ฉันขออนุญาตแอบลอบเข้าไปด้านในจะได้หรือเปล่าคะ?”
“หะ? เอาจริงดิเอริ?”
คำพูดขออนุญาตของเอริซาเบธได้ทำให้นากาหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ ส่วนทางด้านเอริกะที่ได้ยินคำขอร้องของเอริซาเบธก็ได้นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดอนุญาตออกมา
“อื้ม… ฉันอนุญาตให้เธอแอบเข้าไปดูข้างในนั้นได้ แต่ว่าห้ามแตะต้องอะไรแล้วก็ห้ามทิ้งหลักฐานเอาไว้เป็นอันขาดนะเข้าใจมั้ย ส่วนนากาคุงเธอเฝ้าดูอยู่ด้านนอกต่อไปก่อนน่าจะดีกว่าล่ะมั้ง เพราะว่าเธอยังไม่ได้รับการฝึกเกี่ยวกับเรื่องแบบนั้นนี่นะ”
“รับทราบค่ะ”
“อ่า… จะให้ฉันเข้าไปเล่นซ่อนแอบในนั้นมีหวังได้แผนแตกกันแหงๆ ล่ะ เอาเป็นว่าถ้าฉันสังเกตเห็นอะไรข้างนอกนี่ฉันจะติดต่อไปก็แล้วกัน”
“อื้ม จะว่าไป… นากาคุงเธอเปิดใช้งานเครื่องสื่อสารนี่มาตลอดเลยใช่มั้ยเนี่ย เอาเป็นว่าสำหรับภารกิจนี้เธอเปิดใช้งานมันเท่าที่จำเป็นน่าจะดีกว่านะ เพราะฉันคิดไม่ถึงว่าเธอจะได้ใช้งานมันไวขนาดนี้ก็เลยไม่ได้สำรองพลังงานเอาไว้ให้มันสักเท่าไหร่น่ะ… เอานิ้วไปจิ้มมันให้มันส่งเสียงขึ้นมาอีกรอบแล้วมันจะเข้าโหมดประหยัดพลังงานน่ะ เธอจะสื่อสารกลับมาไม่ได้แต่ถ้าเกิดว่าฉันพูดไปเธอก็จะยังได้ยินเสียงของฉันอยู่น่ะ”
“อ–โอ้ แบบนี้น่ะหรอ…”
ปิ๊บ–
คำพูดเตือนของเอริกะนั้นได้ทำให้นากาลองยื่นมือไปจิ้มมันอีกทีจนมันส่งเสียงสัญญาณออกมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ทำให้นากาอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวอุปกรณ์สื่อสารของเอริกะมันมีหลักการทำงานยังไงกันแน่ที่ถึงกับทำให้คนที่ไม่สามารถใช้วิซได้แบบเขาสามารถใช้งานมันได้แบบนี้
แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้เปิดเครื่องมือสื่อสารกลับมาเพื่อพูดถามเอริกะขึ้นมานั้น ทางด้านเอริกะก็ได้เอ่ยปากพูดให้คำแนะนำเกี่ยวกับการลักลอบของเอริซาเบธขึ้นมาเสียก่อน
“ถ้าฉันจำไม่ผิดบ้านของคุณเวก้าเขาน่าจะมีประตูหลังอยู่แถวๆ เรือนกระจกล่ะมั้งนะ เธอน่าจะแอบลอบเข้าไปทางนั้นได้นะเอริซาเบธ”
“ประตูหลังแถวๆ เรือนกระจกสินะคะสินะคะ… อืม… ดูๆ แล้วฉันก็น่าจะพอแงะมันได้ง่ายๆ อยู่นะคะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันมาก็แล้วกันนะนากาคุง”
“อ่า… ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะเฝ้าข้างนอกนี่เอาไว้ให้เองก็แล้วกัน ถ้ายังไงก็ระวังตัวด้วยนะเอริซาเบธ”
“แหม่~ มีคนมาเป็นห่วงแบบนี้นี่ทำเอาฉันเขินเลยนะเนี่ย~ เอาล่ะ~ เอริซาเบธออกลุย~”
เอริซาเบธที่ได้ยินคำเตือนของนากาได้หันกลับมาแลบลิ้นใส่เขาอย่างกวนๆ ก่อนที่เธอจะเคลื่อนตัวตรงไปทางประตูหลังขนาดเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กับตัวเรือนกระจกและจัดการเปิดมันออกอย่างรวดเร็วจนนากาชักจะไม่มั่นใจว่าเพื่อนร่วมงานของเขาสะเดาะกุญแจเข้าไปหรือว่าตัวเจ้าของบ้านลืมล็อกเอาไว้กันแน่
“เอาล่ะ ถ้างั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นข้างนอกนั่นก็อย่าลืมพูดบอกฉันหรือว่าเอริซาเบธด้วยก็แล้วกันนะนากาคุง”
“รับทราบ— อ่ะ… ยังไม่ได้เปิดเครื่องสื่อสารอีกรอบเลยนี่นะ…”
นากาที่เอ่ยปากพูดตอบเอริกะกลับไปเสียงดังฟังชัดนั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเขานึกขึ้นมาได้ว่าเขาเพิ่งจะกดปิดเครื่องสื่อสารไปตามที่เอริกะพูดบอกขึ้นมาเมื่อก่อนหน้านี้ ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องยกมือขึ้นมาเพื่อหวังจะกดไปที่ตัวเครื่องสื่อสารเพื่อพูดตอบเอริกะกลับไป
แต่ว่าในชั่วขณะที่นากากำลังจะใช้นิ้วจิ้มไปที่เครื่องมือสื่อสารนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงที่ฟังดูเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างถูกเหยียบจนแตกดังขึ้นมาจากเบื้องหลังจนทำให้เขาต้องชะงักไปเสียก่อน
กร๊อบ—