Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 146 Espionage
“ฝีมือของเธอ? พูดจริงหรอน่ะ?”
หลังจากที่อัลเบิร์ตได้หันไปเห็นเด็กสาวผมสีดำที่แต่งตัวคล้ายกับนักประดิษฐ์คนดังของเมืองที่พูดขึ้นมาว่าเธอเป็นคนช่วยทำแผลให้กับพวกชาวบ้านเกือบทั้งหมดนี่แล้วเขาก็ได้แต่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความเคลือบแคลง เพราะว่าเมื่อดูผ่านๆ แล้วเด็กสาวเบื้องหน้าของเขานั้นเหมือนจะมีอายุน้อยกว่าตัวเขาเองเสียอีก
อีกทั้งเมื่อวานนี้หลังจากที่ซึบากิและคาร์เทียร์กลับมารายงานผลการค้นหาที่คลินิก พวกเธอก็ได้พูดเตือนพวกเขาเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องที่ว่ามีคนรู้จักของอารอนมาเตือนพวกเธอเอาไว้ว่าให้ระวังตัวจากเด็กสาวผมสีดำที่มีลักษณะเหมือนกับเด็กสาวเบื้องหน้าไม่มีผิดเพี้ยนเอาไว้เสียด้วย
แต่ถึงแม้ว่าทางด้านอัลเบิร์ตและเซซิลจะมีท่าทีระแวดระวังอยู่บ้าง ทางด้านเด็กสาวผมยุ่งสีดำก็กลับยิ้มร่ามีท่าทีเป็นกันเองอย่างเต็มที่ไปเสียอย่างนั้น
“ช่ายๆ ก็พวกพี่ๆ ที่เป็นหมอกับพยาบาลเขาแยกย้ายกันไปตั้งแต่เมื่อเช้าทั้งๆ ที่ยังทำแผลให้คนเจ็บไม่ครบเลย หนูก็เลยไปขอพวกอุปกรณ์มาทำแผลให้คนที่เหลือเองไง หนูใจดีใช่มั้ยล่ะ~”
“นี่เธอเป็นหมอหรอ…?”
“อ้าว~ คนที่กล้าแต่งตัวแบบหนูนี่มันก็มีแค่พวกหมอกับพยาบาลหรือไม่ก็คนที่อยากจะทำงานประเภทนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรอพี่สาว นี่เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้หรอเนี่ย~”
คำพูดตอบกลับด้วยน่าเสียงร่าเริงแต่เนื้อความชวนหมั่นไส้นั้นได้ทำให้เซซิลต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนจะหันไปมองทางด้านอัลเบิร์ตเหมือนกับว่าอยากจะขอคำตอบเพราะว่าตัวเธอก็ไม่รู้จริงๆ อย่างที่เด็กสาวพูดขึ้นมา และนั่นก็ทำให้อัลเบิร์ตถึงกับต้องยกมือขึ้นมาเกาหัว
“จะหันมามองฉันทำไมเล่ายัยบ้านนอก ก็เรียนอยู่ที่เดียวกันแบบนี้ถ้าเธอไม่รู้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนั่นแหล่ะ!”
“เห~ พวกพี่ๆ แต่งตัวหรูๆ กันแบบนี้แต่ว่าไม่ได้เป็นนักเรียนแพทย์งั้นหรอคะเนี่ย ถ้างั้นแบบนี้พวกพี่ก็คงจะเป็นนักเรียนจากโรงเรียนรีมินัสชื่อดังนั่นสินะคะ”
“ก็ตามนั้นแหล่ะ…”
เซซิลที่ได้ยินคำถามของเด็กสาวผมสีดำได้ละความสนใจไปจากอัลเบิร์ตที่ยังคงปากเสียไม่เลิกและหันไปพูดตอบเด็กสาวกลับไปแทน ซึ่งนั่นก็ทำให้เด็กสาวพยักหน้าถี่ๆ กลับมาให้เธอและพูดแนะนำตัวขึ้นมา
“อื้อๆ แบบนี้เองสิเนอะ ถ้างั้นก็ยินดีที่ได้รู้จักพวกพี่ๆ นะคะ หนูชื่อว่า นัวร์ เป็นสมาชิกของกองคาราวานที่มาติดอยู่ที่เมืองนี้เพราะโดนพวกทหารเขากักตัวเอาไว้อ่ะค่ะ”
“กองคาราวานงั้นหรอ? เดี๋ยวนี้พวกกองคาราวานมันก็เหลืออยู่ไม่กี่กลุ่มแล้วซะด้วยสิ เธอมาจากกลุ่มไหนกันล่ะ?”
“กองคาราวานนี่มันหมายถึงอะไรน่ะ…?”
ในขณะที่อัลเบิร์ตกำลังพูดถามเด็กสาวผมสีดำที่ชื่อว่านัวร์กลับไปอยู่นั้นเอง เซซิลที่ได้ยินคำศัพท์ที่เธอไม่คุ้นเคยดังขึ้นมาก็ได้กระตุกแขนเสื้อของอัลเบิร์ตและพูดถามขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้อัลเบิร์ตต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจที่เพื่อนของเขาไม่รู้จักศัพท์คำนี้
“รอให้คนอื่นคุยกันให้จบก่อนแล้วค่อยถามสิเฟ้ยยัยบ้านนอก ทำตัวเป็นเจ้านากาไปได้… แต่ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ มันก็คือขบวนพ่อค้ากลุ่มใหญ่ที่ขนสินค้าไปขายต่างเมืองหรือไม่ก็ทริปจัดเที่ยวของพวกกลุ่มขุนนางอะไรราวๆ นั้นนั่นล่ะ แต่อย่างแรกน่ะเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยจะเหลือแล้วเพราะแต่ละเมืองก็พัฒนาไปมากจนพึ่งพาตัวเองกันได้หมดแล้ว ส่วนอย่างหลังเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยจะมีเพราะว่าพวกขุนนางเปลี่ยนไปเรียกกันว่าทริปจัดเที่ยวไม่ก็ไปดูงานต่างเมืองหรืออะไรพวกนั้นเพราะคิดว่าคำว่ากองคาราวานมันโบราณเกินไปแล้วน่ะ… ว่าแต่แล้วเธอมาจากกลุ่มไหนกันล่ะ?”
หลังจากที่อัลเบิร์ตหันไปพูดอธิบายให้เซซิลฟังด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ เสร็จแล้วเขาก็หันไปพูดถามนัวร์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ทำให้นัวร์ที่ยืนฟังคำพูดอธิบายของอัลเบิร์ตอยู่ตาแป๋วด้วยเช่นกันต้องเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบเขากลับไป
“อื้ม~ พวกพี่ดูไม่ใช่คนไม่ดีอะไรก็คงจะพอบอกได้อยู่มั้ง~ พวกหนูเป็นกองคาราวานจากเมืองมาร์นาฟน่ะ พอเสร็จธุระที่เมืองซายูกิแล้วก็เลยเดินทางมาต่อที่รีมินัส เสร็จแล้วก็โดนกักตัวอยู่ที่นี่อย่างที่เห็นนี่แหล่ะ~”
“เมืองมาร์นาฟ…?”
ในขณะที่เซซิลกำลังรู้สึกสงสัยอยู่ว่าตัวเองจะเป็นยัยเด็กบ้านนอกตามที่อัลเบิร์ตชอบเรียกเธออยู่บ่อยๆ หรือเปล่าถึงได้ไม่รู้จักเมืองมาร์นาฟที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาอยู่นั้นเอง ทางด้านอัลเบิร์ตที่ได้ยินชื่อเมืองที่เด็กสาวพูดขึ้นมาก็ถึงกับต้องพูดถามกลับไปด้วยความตกใจ
“เธอบอกว่าเธอมาจากเมืองมาร์นาฟที่อยู่อีกฟากนึงของทะเลนั่นงั้นหรอ!? อย่าบอกนะว่าเมืองมาร์นาฟยอมกลับมาติดต่อกับพวกเราอีกครั้งนึงแล้วน่ะ!?”
ซึ่งท่าทีตกใจของอัลเบิร์ตนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรมากนักเนื่องจากว่าเมืองมาร์นาฟที่ว่าเป็นเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ในอีกทวีปหนึ่งที่อยู่อีกฟากของโพ้นทะเลที่ต้องใช้เวลานั่งเรือเดินทางข้ามมหาสมุทรนานนับเดือนกว่าจะไปถึง และเมืองมาร์นาฟที่ว่านั้นก็ไม่เคยต้อนรับคนจากทวีปนี้ที่อุตส่าห์ดิ้นรนต่อเรือข้ามมหาสมุทรไปจนถึงด้วย จะมีอย่างมากก็ส่งเสบียงออกมาให้สำหรับเดินทางขากลับเสร็จแล้วก็ปิดประตูเมืองใส่หน้าต่อท้ายด้วยการนำเรือรบออกมาไล่กลับทวีป
และถึงแม้ว่าเมื่อก่อนเมืองมาร์นาฟจะเคยนำสินค้าแปลกประหลาดทั้งหลายแหล่อันเป็นที่น่าสนใจสำหรับคนในทวีปนี้มาค้าขายทางเรือเป็นครั้งเป็นคราวอยู่บ้าง แต่ว่าหลังจากที่เมืองท่าซายูกิที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเกิดสงครามภายในจนแบ่งแยกออกเป็นสองเมืองแล้วก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะคิดว่าการขนสินค้ามาขายถึงทวีปอื่นแบบนี้ที่เป็นเรื่องยุ่งยากอยู่แล้วกลายเป็นเรื่องยุ่งยากมากเกินไป พวกเขาก็เลยยกเลิกเส้นทางการค้าขายจนสุดท้ายแล้วชื่อของเมืองมาร์นาฟก็หลงเหลืออยู่แค่ในบันทึกและเอกสารเก่าๆ หลักสิบปีที่ถูกหมกไว้ในห้องสมุดจนคนทั่วๆ ไปไม่รู้จักชื่อของเมืองนั้นอีกต่อไป
“มันก็ไม่เชิงหรอกค่ะ เอาจริงๆ ถ้าเกิดว่ายังไม่มีใครแก้ปัญหาเรื่องคลื่นลมแปรปรวนในทะเลทางฝั่งตะวันออกได้หรือถ้าเกิดว่ายังไม่มีใครคิดค้นเรือที่เดินทางได้เร็วกว่านี้ได้สักทีพวกเขาก็คงไม่คิดจะกลับมาติดต่อกับที่นี่ในเร็วๆ นี้หรอกค่ะ~”
“ง–งั้นหรอ… ถ้างั้นก็คงจะหมายความว่าเธอคงจะเป็นลูกหลานของคนใหญ่คนโตของเมืองมาร์นาฟที่มาท่องเที่ยวที่นี่เฉยๆ สินะ… เอาเป็นว่าพวกเราชาวรีมินัสยินดีต้อนรับ ฉันอัลเบิร์ต ส่วนยัยใบ้นี่ชื่อว่าเซซิล—”
ปึ๊ก!
“โอ๊ย—!? ทำอะไรฟะ!?”
ในขณะที่อัลเบิร์ตกำลังพูดแนะนำตัวออกมาให้นัวร์ที่บอกว่าตัวเองมาจากเมืองมาร์นาฟฟังอยู่นั้นเอง เซซิลที่หมดความอดทนกับความปากเสียของอัลเบิร์ตในวันนี้แล้วก็ได้ชักดาบคาตานะที่เธอพกเอาไว้ตลอดเวลาออกจากฝักและกระทุ้งด้ามดาบเข้าใส่ท้องน้อยของอัลเบิร์ตอย่างแรงด้วยความเร็วที่แทบจะมองไม่ทันก่อนจะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนกับว่าตนเองไม่ได้เป็นคนลงมือจนทำให้อัลเบิร์ตต้องร้องโวยวายออกมา เพราะถ้าเกิดไม่ใช่ยัยใบ้ข้างๆ เขาแล้วล่ะก็มันก็ไม่มีใครที่ชอบทำอะไรรุนแรงอยู่แถวนี้แล้ว
ส่วนทางด้านนัวร์ที่เห็นการลงไม้ลงมือของเด็กนักเรียนทั้งสองคนเบื้องหน้าก็ได้หลุดหัวเราะออกมา
“คิกคิก พวกพี่นี่สนิทกันดีจังเลยเนอะ~ ส่วนเรื่องที่ว่าหนูเป็นใครมาจากไหนนี่ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก เพราะตอนนี้หนูก็เป็นแค่สมาชิกกองคาราวานนี่เฉยๆ น่ะ~ ว่าแต่นี่เกิดอะไรขึ้นมาถึงได้มีคนเจ็บมานอนกันอยู่นอกเมืองเยอะขนาดนี้กันล่ะคะ?”
คำถามของนัวร์ในคราวนี้นั้นได้ทำให้อัลเบิร์ตต้องชะงักไปในทันที เพราะถึงแม้ว่าเด็กสาวเบื้องหน้าของเขาจะไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นใครมีตำแหน่งอะไรกันแน่ แต่ว่าการที่อีกฝ่ายสามารถจัดตั้งกองคาราวานและเดินทางมาจากเมืองมาร์นาฟมาจนถึงทวีปนี้ได้นั้นก็แปลว่าเธอคงจะไม่ใช่คนธรรมดาๆ แน่ๆ และคำตอบของเขาก็อาจจะส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเมืองของเมืองมาร์นาฟหลังจากนี้อีกด้วย
“ก็พอดีว่ามันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนิดหน่อยน่ะ”
“เกิดเรื่องนิดหน่อยถึงขนาดปิดเมืองไม่ยอมให้คนเดินทางเข้าออกเลยหรอ แบบนั้นมันฟังดูไม่นิดเลยนะ~ พอจะเล่าเรื่องจริงๆ ให้หนูฟังได้หรือเปล่าอ่ะ หนูจะได้ส่งข่าวไปบอกครอบครัวได้ถูกไงว่าทำไมถึงกลับช้ากว่ากำหนดน่ะ~”
คำพูดของนัวร์นั้นได้ทำให้อัลเบิร์ตต้องนิ่งไปอีกครั้งหนึ่งเพื่อใช้ความคิดหาคำตอบดีๆ กลับไปให้เด็กสาว เพราะดูท่าทางแล้วว่าเด็กสาวผมดำเบื้องหน้าของเขาจะไม่เหมือนกับพวกลูกขุนนางสมองถั่วที่มีอยู่เต็มเมืองรีมินัสไปหมดนี่ และนั่นก็ทำให้อัลเบิร์ตตัดสินใจที่จะเล่าความจริงให้อีกฝ่ายฟัง
“ก็… ถ้าจากที่ฉันได้ยินมาเหมือนว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนพวกหมู่บ้านต่างๆ ในทวีปนี้จะถูกบุกโจมตีพร้อมๆ กันน่ะ แล้วพอพวกเขาไม่มีที่ไปก็เลยมาขอหลบภัยอยู่ที่นี่กันก่อนแค่นั้นแหล่ะ”
“อื้มๆ ถ้าดูจากแผลโดนฟันกับแผลไฟไหม้ของพวกชาวบ้านหนูก็พอจะเดาได้อยู่แล้วแหล่ะ ว่าแต่มีผู้อพยพจำนวนมากขนาดนี้มาขอพึ่งพิงนี่มันส่งผลกระทบอะไรกับเมืองรีมินัสบ้างหรือเปล่าน่ะ หมายถึงนอกจากเรื่องที่ว่าห้ามคนในออกคนนอกเข้าแบบนี้น่ะค่ะ?”
“สำหรับเรื่องนั้นยังไม่ส่งผลอะไรในเร็วๆ นี้หรอก เพราะถึงทางวังหลวงจะผีเข้าผีออกกับเรื่องการเยียวยาผู้อพยพอยู่บ้างแต่ยังไงพวกเขาก็มีทรัพยากรเตรียมพร้อมเอาไว้รับมือเรื่องนี้อยู่แล้ว… แต่เอาจริงๆ สภาพของที่นี่ก็เรียกว่าดีที่สุดแล้วถ้าเทียบกับเมืองอื่นๆ น่ะนะ”
อัลเบิร์ตพูดตอบนัวร์กลับไปตรงๆ เพราะจากข่าวที่เขาได้ยินมาจากทางบ้านแล้ว เขาได้ยินมาว่าผู้อพยพที่ลี้ภัยไปหวังพึ่งเมืองอื่นๆ อย่างเมืองกราวิทัสนั้นก็แทบจะไม่ได้รับการเหลียวแลจากทางเมืองที่พวกเขาไปหวังพึ่งเลยแม้แต่น้อย จนทำให้เขาได้แต่รู้สึกขอบคุณเอริกะที่คอยผลักดันเรื่องการเยียวยาผู้อพยพอยู่เสมอๆ จนทำให้เมืองรีมินัสของเขาไม่ต้องขายหน้าคนจากต่างทวีปมากนัก
ซึ่งในขณะที่อัลเบิร์ตกำลังหันไปกวาดตามองดูสภาพของค่ายผู้อพยพอยู่นั้นเอง ทางด้านนัวร์ก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ
“เห… หมายความว่าที่เมืองรีมินัสนี่คือดีที่สุดเท่าที่จะทำกันได้แล้วงั้นหรอคะเนี่ย… ว่าแต่ทางเมืองรีมินัสคิดจะดูแลพวกเขาไปจนถึงเมื่อไหร่กันล่ะคะ?”
“อย่างน้อยๆ ก็จนกว่าพวกเขาจะออกไปตั้งหมู่บ้านกันใหม่หรือไม่ก็จนกว่าพวกเขาจะคิดย้ายเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองอย่างถาวรล่ะมั้ง… แต่ข้อหลังนี่อาจจะยากสักหน่อยเพราะว่าตอนนี้ทางวังหลวงเขาประกาศปิดเมืองอยู่ แถมชาวบ้านพวกนี้ก็ไม่มีทุนสำหรับตั้งตัวในเมืองกันด้วยสิ”
“แต่ว่าพวกเขาบาดเจ็บกันอยู่อย่างงี้ก็คงจะยังออกไปตั้งหมู่บ้านกันใหม่ไม่ได้จนต้องพึ่งเมืองรีมินัสกันอีกสักพักนึงเลยไม่ใช่หรอคะ แบบนี้ทางเมืองจะไม่ลำบากแย่หรอ?”
“…ถึงฉันจะไม่อยากยอมรับสักเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ว่าตั้งแต่เกิดเรื่องมาอาหารกับทุนสำรองในเมืองเองก็เริ่มร่อยหรอลงไปบ้างเหมือนกัน แถมกำลังคนก็ไม่พอใช้เพราะพวกทหารยามได้รับบาดเจ็บกันอีกต่างหาก”
อัลเบิร์ตพูดตอบนัวร์กลับไปพลางยกมือขึ้นมาขยี้หัวตัวเองเพราะว่าสภาพของเมืองรีมินัสตอนนี้มันไม่ใช่อะไรที่ควรจะเอาไปอวดให้คนนอกเห็นเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งตัวเขาเองก็ไม่ใช่ตระกูลขุนนางสายการทูตที่ถนัดในการรับมือเด็กสาวที่น่าจะเป็นขุนนางจากเมืองมาร์นาฟแบบนี้ด้วย
ซึ่งด้วยความที่อัลเบิร์ตกำลังกลุ้มใจว่าจะเอายังไงดีอยู่นั้น มันก็เลยทำให้เขาไม่ได้ยินในสิ่งที่นัวร์พูดพึมพำออกมาเบาๆ ภายใต้ชายแขนเสื้อยาวเกินตัวที่เด็กสาวยกขึ้นมาป้องปากเลยแม้แต่น้อย
“เห… เป็นไปตามแผนเลยงั้นสินะเนี่ย~”
“….!?”
ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครได้ยินในสิ่งที่นัวร์พูดพึมพำออกมาก็ตาม แต่ว่าทางด้านเซซิลที่ยังคงไว้ซึ่งความระมัดระวังตัวตามคำเตือนของซึบากิและคาร์เทียร์และแอบลอบสังเกตท่าทีของนัวร์เอาไว้ตลอดเวลาก็สามารถสังเกตเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายที่นัวร์พยายามปกปิดเอาไว้ด้วยแขนเสื้อที่เธอยกขึ้นมาปิดบังใบหน้า และนั่นก็ทำให้เซซิลตัดสินใจที่จะตวัดขาเตะเข้าใส่ข้อเข่าของอัลเบิร์ตจนเขาล้มกลิ้งก่อนจะเดินตรงดิ่งกลับเข้าไปในเมืองรีมินัสในทันที
“เฮ้ย!? ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย!? เดี๋ยวดิ! แล้วนี่จะเดินไปไหนกันหะ!?”
“…….”
เซซิลที่ได้ยินเสียงร้องโวยวายของอัลเบิร์ตนั้นไม่ได้พูดตอบอะไรกลับไปและเดินตรงหายเข้าประตูเมืองรีมินัสไปเพราะเธอมั่นใจว่าถ้าเธอทำแบบนี้อัลเบิร์ตจะต้องรีบเดินตามมาแน่ๆ อีกทั้งตัวเธอเองก็ไม่กลัวว่าอัลเบิร์ตจะโดนนัวร์ทำอะไรสักเท่าไหร่ เพราะดูท่าทางแล้วเด็กสาวผมสีดำคนนั้นเหมือนจะไม่ได้พกอาวุธติดตัวมาด้วย เธอจึงคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้คือการพาอัลเบิร์ตถอยออกมาแบบไม่ให้ผิดสังเกตก่อน
ซึ่งสิ่งที่เซซิลคิดเอาไว้นั้นก็นับว่าถูกต้อง เพราะว่าเมื่ออัลเบิร์ตเห็นเซซิลเดินตรงดิ่งกลับเข้าประตูเมืองไปเขาก็คิดได้ว่าเพื่อนของตนคงจะสังเกตเห็นอะไรแปลกๆ จนต้องการให้เขารีบตามไปแน่ๆ และนั่นก็ทำให้เขาต้องรีบหาวิธีพูดบอกลาเด็กสาวเบื้องหน้าที่น่าจะเป็นขุนนางของเมืองมาร์นาฟออกมา ซึ่งก็นับว่าเป็นโชคดีของเขาที่นัวร์เหมือนจะได้ยินเสียงร้องโวยวายจนหันกลับมาให้ความสนใจเขาพอดี
“เพื่อนของพี่ชายนี่เล่นกันแรงจังเลยเนอะ ล่อซะหน้าทิ่มเลยแหน่ะ~”
“พอดีว่ายัยนั่นมันสติไม่สมประกอบสักเท่าไหร่น่ะไม่ต้องไปสนใจหรอก… เอาเป็นว่าฉันขอตามยัยนั่นไปก่อนก็แล้วกันนะ ขืนคลาดสายตาไปมีหวังยัยบ้านนอกนั่นได้หลงทางอยู่ในเมืองกันพอดี”
“เอ๋ พี่ชายจะไปแล้วหรอ? ถ้างั้นเอาไว้มีโอกาสหน้าเราค่อยมานั่งคุยกันใหม่ก็แล้วกันเนอะ~”
“อ่า ก็ถ้าเธอยังอยู่แถวนี้อยู่น่ะนะ”
อัลเบิร์ตพยักหน้าพูดตอบนัวร์กลับไปแล้วจึงรีบออกวิ่งไล่หลังเซซิลที่หายเข้าประตูเมืองไป และนั่นก็ทำให้นัวร์ที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังตัดสินใจที่จะเดินออกจากค่ายผู้อพยพเข้าไปในแนวป่าทางทิศเหนือก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาจนทำให้เธอต้องชะงักฝีเท้าไป
“ท่าทางอารมณ์ดีจังเลยนะ…”
“อ้าว อิซานางิจังนี่นา ยังอยู่แถวนี้อยู่อีกหรอเนี่ย~”
ผู้ที่เอ่ยปากทักนัวร์ที่กำลังเดินตรงตัดผืนป่าไปทางเหนือนั้นก็คือ อิซานางิ นักดาบสาวผมสีชมพูผู้ใช้ดาบยักษ์และพาร์ทแขนกลที่เคยเป็นหนึ่งในหน่วยพิเศษจากเมืองซากิที่ถูกส่งมาตามล่าเซซิลจนได้ปะทะกับนากาและอลิซที่ทุ่งหญ้าทางตอนเหนือของเมืองรีมินัสนั่นเอง
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านอาซานางิก็ไม่มีท่าทีว่าจะสนใจพูดตอบคำถามของนัวร์สักเท่าไหร่และพูดถามเกี่ยวกับเรื่องการเล่นซนเล็กๆ น้อยๆ ของนัวร์เมื่อสักครู่ขึ้นมา
“ไม่ใช่ว่านูลิสบอกให้เธออยู่เฉยๆ อย่าก่อเรื่องไม่ใช่หรือไง?”
“เอ๋~ ฉันก็ไม่ได้ก่อเรื่องอะไรสักหน่อยนี่นา ก็แค่เข้าไปช่วยพวกเขาทำแผลแล้วก็ชวนคนแถวนั้นคุยนิดหน่อยเอง ถึงนายคนที่ชื่อว่าอัลเบิร์ตนั่นจะน่าหมั่นไส้ไปนิดนึงก็เถอะนะ~”
“นี่เธอยังจะมีหน้าไปช่วยพวกเขา ‘ทำแผล’ อีกงั้นหรอ…? ทั้งๆ ที่คนที่ก่อเรื่องนี้ขึ้นมามันก็เป็นเธอเองเนี่ยนะ?”
“อ่ะๆ แต่ฉันไม่ได้เป็นคนลงมือทำให้พวกเขาบาดเจ็บสักหน่อยนี่ ที่ฉันทำมันก็มีแค่จัดเตรียมพวกตุ๊กตาไปให้คุณหัวหน้าเขาสั่งใช้งานเท่านั้นเอง ฉันไม่ได้ลงมือฆ่าหรือทำร้ายใครด้วยตัวเองเลยนะ~”
นัวร์พูดแก้ต่างให้ตัวเองออกมาพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อยาวเกินตัวของเธอจนมันหมุนเป็นวงกลม ซึ่งคำพูดแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ของนัวร์ที่ยังคงทำเป็นเล่นเหมือนกับไม่รู้สึกรู้สาในสิ่งที่ตนเองทำลงไปนั้นก็ถึงกับทำให้อิซานางิต้องส่งสายตาตำหนิไปให้อีกฝ่าย
“แต่มีคนรอดมาได้เยอะขนาดนี้มันก็หมายความว่าแผนการของพวกเธอมันล้มเหลวไปแล้วไม่ใช่หรอไง… หรือว่าที่เข้าไปช่วยทำแผลให้พวกเขานั่นคือรู้สึกผิดขึ้นมากัน?”
“เห~ พูดแบบนี้นี่อย่าบอกนะว่าเธอเองก็คิดว่าแผนการของหัวหน้าคือการออกไปไล่ฆ่าคนมั่วๆ ซั่วๆ เหมือนกับซัมเมอร์จังเขาน่ะ ไม่เอาสิ โตป่านนี้แล้วนะ~”
“แล้วมันไม่ใช่หรือไง…?”
อิซานางิที่ดูเหมือนว่าจะเข้าร่วมกับพวกของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมไปแล้วแต่ก็กลับไม่ได้รับรู้ถึงแผนการของเด็กสาวในผ้าคลุมเลยได้ขมวดคิ้วพูดถามนัวร์ขึ้นมาด้วยความสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนัวร์ก็กลับไม่ได้พูดตอบคำถามของอิซานางิขึ้นมาตรงๆ อยู่ดี
“นั่นสิน๊า~ ฉันจะแอบบอกใบ้ให้สักหน่อยนึงก็แล้วกันว่าจริงๆ แล้วเป้าหมายของพวกเราไม่ใช่การไล่กวาดล้างพวกชาวบ้านให้หมดแบบที่เธอคิดก็แล้วกัน เพราะงั้นถึงฉันจะไปช่วยรักษาให้พวกเขาสักนิดหน่อยก็ไม่เสียหายหรอก~”
“นี่ตกลงว่าเธอไปช่วยทำแผลให้พวกเขาไม่ได้แอบไปวางยาพิษใส่พวกเขาจริงๆ หรอน่ะ?”
คำตอบของนัวร์นั้นได้ทำให้อิซานางิต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ เพราะในทีแรกเธอก็นึกว่าเด็กสาวแอบเข้าไปข้างในค่ายผู้อพยพเพื่อแอบวางยาพิษในน้ำและอาหารหรืออาจจะถึงขั้นแอบวางยาคนเจ็บให้ค่ายผู้อพยพล่มสลายลงมาเสียอีก ซึ่งท่าทีแปลกใจของอิซานางินั้นก็ทำให้นัวร์ต้องพูดต่อว่าขึ้นมา
“เสียมารยาทจังเลยนะอิซานางิจัง~ นี่ฉันอุตส่าไปคุ้ยหาสมุนไพรที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในแถบนี้มาทำยาให้พวกเขาเลยนะ ในเมื่อพวกเขาอุตส่าห์รอดออกมาจากหมู่บ้านของตัวเองได้แบบนี้พวกเขาก็สมควรที่จะได้รับรางวัลใช่ม๊า~”
“นี่เธอกำลังคิดจะเล่นเป็นเทวดาตัวน้อยที่ลดตัวลงไปให้รางวัลพวกชาวบ้านที่ผ่านการทดสอบอยู่หรือไง…?”
“แหม่ ไม่เอาสิ~ ไม่มีใครเรียกฉันว่าเทวดามาตั้งนานมากแล้วนะ~”
“มีใครเขาเคยเรียกเธออย่างงั้นด้วยหรือไง…?”
คำตอบของนัวร์นั้นได้ทำให้อิซานางิเผยสีหน้าแหยงๆ ออกมาเต็มที่ เพราะว่าจากที่เธอได้รู้จักกับนัวร์มาสักพักหนึ่งแล้ว เด็กสาวเบื้องหน้าสมควรถูกเรียกว่าปิศาจร้ายผู้สร้างความวอดวายมากกว่าเทวดาผู้มาโปรดสัตว์โลกอย่างแน่นอน
ซึ่งสีหน้าของอิซานางิที่แสดงออกมาอย่างโจ้งแจ้งนั้นก็ทำให้นัวร์ต้องพูดอธิบายออกมาให้เพื่อนคนใหม่ของเธอฟัง
“จุ๊ๆ พวกฉันน่ะเป็นได้ทุกอย่างที่มนุษย์อย่างพวกเธออยากให้เป็นนั่นล่ะ~ อย่างเมื่อก่อนพวกเขาก็เคยเรียกพวกฉันว่าวีรสตรี ผ่านไปนานเข้าพวกเขาก็หันไปเรียกพวกฉันว่าเทวดาไม่ก็เทวทูตผู้ช่วยเหลือ แต่พอผ่านไปแค่คืนเดียวพวกเขาก็พากันก่นด่าสาปแช่งเรียกพวกฉันว่าปิศาจร้ายต้นเหตุของภัยพิบัตินานับประการแทนเฉยเลย”
“…….”
คำพูดอธิบายของนัวร์ได้ทำให้สีหน้าของอิซานางิเปลี่ยนไปเป็นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแทน เพราะถึงแม้ว่าเธอจะเคยได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มของนัวร์จนรอดชีวิตมาได้ก็ตาม แต่จนมาถึงวันนี้เธอก็ยังคงคิดว่ามันเหมือนกับเป็นการทำสัญญากับปิศาจร้ายเพื่อยื้อชีวิตของตนเองเอาไว้มากกว่าการได้รับความช่วยเหลือจากเทวดาผู้ใจดีมากกว่าอยู่ดี
“อื้ม~ แต่เธอไม่ต้องไปสนใจเรื่องพวกนั้นมากนักก็ได้ เอาเป็นว่าเดี๋ยวทางด้านฉันกับนูลิสจะจัดการเรื่องแถวๆ นี้เอง ส่วนเธอน่ะรีบกลับไปฝึกฝีมือต่อกับซัมเมอร์จังแล้วก็คนอื่นๆ ก่อนดีกว่ามั้ง”
“นูลิสสั่งให้ฉันเฝ้าเธอเอาไว้ไม่ให้ไปก่อเรื่องที่ไหน”
“อ่ะๆ ถ้างั้นฉันขอสั่งให้เธอกลับไปฝึกฝีมือต่อก็แล้วกัน ฉันคนนี้เป็นถึงคนสนิทของคุณหัวหน้าเขาเลยนะ เธอจะไม่ทำตามคำสั่งของฉันจริงๆ หรอ~”
คำสั่งของนัวร์นั้นถึงกับทำให้อิซานางิต้องยกมือขึ้นมาเกาหัว เพราะว่าสำหรับเธอที่เป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ไม่ใช่พวกแฟรี่แล้วไม่ว่าจะเป็นคำสั่งที่ถูกส่งมาจากระดับหัวหน้าคนไหนเธอก็ต้องยอมทำตามทั้งนั้น อีกทั้งกลุ่มมนุษย์ธรรมดาๆ อย่างพวกเธอเองก็ไม่ได้รับรู้ด้วยว่าเด็กสาวเบื้องหน้าไม่มีสิทธิ์ในการสั่งงานพวกแฟรี่ซะด้วยซ้ำ เธอจึงได้แต่ต้องยอมทำตามคำสั่งของนัวร์อย่างช่วยไม่ได้
และเมื่อนัวร์เห็นว่าอิซานางิยอมทำตามคำขอของเธอแล้วเธอจึงหันไปพูดสอบถามเรื่องอื่นๆ ขึ้นมาแทน
“ว่าแต่พวกทหารในกลุ่มของเธออยู่ไหนกันล่ะ ไม่ใช่ว่าพวกเธอออกจะสนิทกันถึงขนาดที่ทำให้พวกเขายอมเสี่ยงวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้าอย่างพวกฉันทั้งๆ ที่ถูกตั้งค่าหัวเอาไว้เลยหรอกหรอ ไหงวันนี้เธอถึงมาจับตาดูฉันอยู่คนเดียวแบบนี้ล่ะ~?”
“เจ้าพวกนั้นไปประจำการอยู่แถวเมืองซากิกับเมืองยูกิตามที่หัวหน้าสั่งเอาไว้นู้น ถ้าเกิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่นั่นเดี๋ยวพวกเขาจะส่งข่าวกลับมาให้เอง…”
“เห… ให้คนที่คุ้นเคยกับแถวนั้นไปสืบข่าวแถวนั้นกันเองงั้นหรอ ถ้างั้นแบบนี้พวกเพื่อนๆ ของคุณอัลเดรียก็คงจะถูกส่งไปประจำการอยู่แถวกราวิทัสงั้นสินะเนี่ย”
“พูดถึงอัลเดรีย… ตกลงว่าที่เขาระเบิดพลีชีพไปนั่นมันอยู่ในแผนการของพวกเธอด้วยหรือเปล่า”
ชื่อของ อัลเดรีย ชายหนุ่มหูแมวในกลุ่มของมนุษย์ที่เข้าร่วมกับเด็กสาวในชุดผ้าคลุมที่เสียชีวิตไปหลังจากที่เขารับหน้าที่เป็นหัวหอกในการโจมตีประตูเมืองรีมินัสนั้นได้ทำให้อิซานางิตัดสินใจที่จะพูดถามนัวร์ขึ้นมาตรงๆ
“หืมมม ก็นั่นสินะ~”
นัวร์ที่ได้ยินคำถามของอิซานางิได้เอียงคอเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเหลือบมองขึ้นไปบนฟากฟ้าเบื้องบนอยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงเธอละสายตากลับลงมาเพื่อเริ่มต้นเล่าเรื่องการตัดสินใจของอัลเดรียให้อิซานางิฟัง
“เหมือนว่านูลิสจะไม่อยู่แฮะ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะเล่าอะไรให้เธอฟังสักหน่อยก็ละกัน~ แต่ก่อนอื่นฉันขอถามอะไรสักอย่างก่อนก็ละกัน… เธอคิดว่าทำไมอัลเดรียเขาถึงติดระเบิดพวกนั้นออกไปสู้กันล่ะ?”
“ไม่ใช่มันเป็นเพราะว่าพวกเธอกดดันจนเขาไม่มีทางเลือกอื่นหรือไงน่ะ?”
“แอ๊ดแอ๊ดดดด เป็นคำตอบที่ผิดจ้า~”
คำตอบของอิซานางิได้ทำให้นัวร์ยกนิ้วชี้ขึ้นมาไขว้กันเป็นรูปกากบาทด้วยท่าทีขี้เล่นราวกับว่าพวกเธอกำลังอยู่ในรายการตอบคำถามกันอยู่ก่อนที่เธอจะเฉลยคำตอบที่แท้จริงให้อีกฝ่ายฟัง
“คำตอบที่ถูกต้องก็คือว่าเขาเป็นคนเลือกที่จะติดระเบิดพวกนั้นออกไปลุยด้วยตัวเองต่างหากล่ะ~”
“ทั้งๆ ที่ซัมเมอร์เพิ่งจะไปช่วยชีวิตเขาออกมาจากขบวนรถนั่นเนี่ยนะ…?”
“ใช่มั้ยล่ะ~ แถมตอนนั้นฉันก็ฝากนูลิสให้ไปพูดเตือนเขาแล้วว่าไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้นเพื่อที่จะซื้อใจให้พวกฉันไปช่วยลูกๆ ของเขาก็ได้ แต่คุณอัลเดรียเขาก็ยังยืนยันว่าจะใช้ระเบิดพวกนั้นอยู่ดี เธอเองก็คิดว่ามันบ้าดีใช่มั้ยล่ะ~”
“แต่ฉันพอจะเข้าใจเขาอยู่นะ…”
อิซานางิที่พอจะรู้ว่าอัลเดรียนั้นได้สูญเสียภรรยาคนรักไปในตอนที่เขาถูกจับตัวออกมาจากคฤหาสน์อีกทั้งลูกๆ ของเขาเองก็หายสาญสูญไปในคืนเดียวกันนั้นพอจะเข้าใจสาเหตุที่อัลเดรียคิดสละชีวิตตัวเองในวันนั้นได้อยู่บ้าง เนื่องจากว่าตัวเธอเองก็เคยต้องสูญเสียคนที่เธอรักไปด้วยน้ำมือของตัวเองอยู่ด้วยเหมือนกัน
แต่ว่าในขณะที่อิซานางิกำลังพูดตอบนัวร์กลับไปอยู่นั้นเอง ทางด้านนัวร์ก็ได้พูดขึ้นมาต่อเหมือนกับว่าเธอไม่ได้คิดที่จะรอฟังคำตอบของอิซานางิตั้งแต่แรกซะด้วยซ้ำ
“ใช่มั้ยล่ะๆ แล้วพอฉันเห็นว่านูลิสเขาลังเลไม่อยากจะติดตั้งระเบิดให้อัลเดรียทั้งๆ ที่เขาตัดสินใจไปแล้วฉันก็เลยเข้าติดตั้งให้เองแถมยังแอบปรับแต่งให้ระเบิดมันแรงขึ้นตั้งสามเท่าจนมันระเบิดตู๊มต๊ามเหมือนที่เธอเห็นในรายงานนั่นเองแหล่ะ ทีนี้ก็เชื่อได้แล้วใช่มั้ยล่ะสมัยก่อนเคยมีคนเรียกฉันที่ใจดีขนาดนี้ว่าเทวดาจริงๆ น่ะ~”
“อ่า… อย่างเธอน่ะมันปิศาจร้ายไม่ผิดแน่ๆ แล้วล่ะ…”
“เอ๋~ ไหงงั้นอ่าาา~”
นัวร์ที่ได้ยินคำพูดของอิซานางิได้ร้องโวยวายออกมาพลางสะบัดแขนเสื้อกาวน์ยาวเกินตัวของเธอเข้าโจมตีอีกฝ่ายอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะหยุดมือแล้วจึงยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดบังรอยยิ้มชั่วร้ายน่าขนลุกของตัวเองพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“แต่เธอรู้หรือเปล่าล่ะอิซานางิจัง~ ปิศาจกับเทวดาแล้วก็มนุษย์ธรรมดาน่ะมันต่างกันแค่ที่ว่าจะมองจากมุมไหนเท่านั้นเองนะ~ คิกคิก~”