Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 175 Au Pair
ก๊อง ก๊อง ก๊อง—
“ท่าเรือกราวิทัสครับ! ผู้โดยสารที่จะลงที่ท่าเรือนี้รบกวนมารอรับสัมภาระของท่านได้ที่นี่เลยครับ!”
ในขณะที่ทางด้านเมืองแพนเทร่ากำลังวุ่นวายกันอยู่นั้นเอง ที่สุดขอบทิศใต้ของทวีปแห่งนี้อันเป็นที่ตั้งของเมืองกราวิทัสเองก็ได้มีเสียงของชายหนุ่มในชุดกะลาสีเรือกับเสียงของระฆังอันเล็กดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องบนดาดฟ้าเรือเดินสมุทรที่กำลังจะเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือหลักของเมืองกราวิทัสด้วยเช่นเดียวกัน
ซึ่งนั่นก็ทำให้หนึ่งในกลุ่มผู้โดยสารอันเป็นเด็กสาวตัวเล็กที่มีเส้นผมสีดำยาวยุ่งเหยิงในชุดเสื้อกาวน์สีขาวที่ดูเหมือนว่าจะนั่งเบื่อมาได้สักพักใหญ่ๆ แล้วไม่รอช้าที่จะกระโดดขึ้นมาจากที่นั่งของเธอในทันที
“ถึงแล้วๆ นั่นไงๆ พี่นีเซล หนูบอกแล้วใช่มั้ยล่ะว่าตัวเมืองมันก็ดูไม่ได้ต่างอะไรจากบ้านของพี่มากนักขนาดนั้นน่ะ~”
เด็กสาวผมยุ่งสีดำในชุดเสื้อกาวน์ หรือก็คือ นัวร์ นั้นได้หันกลับไปยิ้มแฉ่งให้กับเด็กสาวผมสีเงินยาวในชุดที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเครื่องแบบนักเรียนอันเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสวมทับเอาไว้ด้วยเสื้อกั๊กสีน้ำเงินเข้มกับเนกไทและกระโปรงสีแดงพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
ซึ่งคำพูดของนัวร์นั้นก็ได้ทำให้เด็กสาวผมสีเงินที่ถูกเรียกว่า นีเซล ขยับดาบคาตานะที่เธอห้อยเอาไว้ที่ข้างเอวเล็กน้อยเพื่อขยับตัวหันไปดูตัวเมืองกราวิทัสที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไปสั้นๆ
“ไม่เห็นเหมือนที่เคยได้ยินเลย”
“แหม่~ ที่เห็นสวยๆ ไม่เหมือนในหนังสือน่ะมันก็แค่หน้าตาของเมืองเท่านั้นแหล่ะค่ะ เพราะว่าที่จริงแล้วข้างในนั้นมันก็ไม่ได้ต่างไปจากที่คนที่บ้านพี่เขาพูดถึงกันหรอกค่ะที่ว่าเวลาใครจะมาที่นี่ต้องระวังพวกคุณๆ ท่านๆ ในชุดเครื่องแบบให้ดี… โดยเฉพาะ ‘เด็กผู้หญิง’ น่ารักๆ อย่างพี่นีเซลน่ะ~”
“อ่ะ… อื้ม…”
นีเซลที่ได้ยินคำพูดชมด้วยน้ำเสียงระรื่นของนัวร์นั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไปเบาๆ และนั่นก็ทำให้นัวร์ที่เห็นแบบนั้นทำตาลุกวาวเหมือนกับเห็นของเล่นน่าสนุกแล้วจึงพุ่งตัวเข้าไปควงแขนของเด็กสาวด้วยท่าทีกระดี๊กระด๊าแล้วพูดแหย่ขึ้นมาต่อในทันที
“แหม่~ ท่าทางว่าจะพูดไม่ค่อยจะเก่งสักเท่าไหร่สินะพี่นีเซลน่ะ~ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะคะ เพราะว่าที่บ้านของหนูเองก็มีคนขี้อายไม่ค่อยพูดอย่างพี่อยู่เยอะเลยล่ะ อย่างทรินจัง นูลิสจัง แล้วไหนจะยังมีไคเลอร์จังที่แอบแวบมาเยี่ยมบ่อยๆ อีก~”
“ไม่ได้อาย”
“โอ๊ยๆ อย่าดันกันสิคะ~ อ่ะ– เหมือนว่าจะได้เวลาลงจากเรือแล้วล่ะค่ะ รีบไปกันก่อนดีกว่าเนอะ ไม่งั้นเดี๋ยวพี่นีเซลจะได้ติดเรือกลับบ้านไปซะก่อนน่ะ~”
นัวร์ที่ในคราวนี้ดูเหมือนว่าจะเล่นบทเป็นเด็กสาวลูกคุณหนูขี้แกล้งนั้นได้ร้องโวยวายออกมาเล็กน้อยเมื่อนีเซลตัดสินใจที่จะดันศีรษะของเธอให้เว้นระยะห่างออกไปก่อนที่เธอจะรีบดึงตัวนีเซลลงไปจากเรือเดินทะเลตามผู้โดยสารคนอื่นๆ ไป
และหลังจากนั้นอีกสักพักหนึ่งเด็กสาวทั้งสองคนก็ได้เดินไปหยุดอยู่ที่ด้านข้างอาคารเก่าๆ หลังหนึ่งก่อนที่นัวร์จะหันกลับมามองเด็กสาวผมสีเงินและเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“เอาล่ะ~ หนูพาพี่นีเซลมาส่งถึงที่นี่ตามที่ตกลงกันเอาไว้แล้วนะ… ว่าแต่… พี่นีเซลแน่ใจหรอว่าหลังจากนี้จะดูแลตัวเองได้น่ะ ที่นี่มันต่างจากที่บ้านของพี่เยอะอยู่นา~”
“อ่านมาจากหนังสือที่หอสมุดเก่าแล้ว สบายมาก”
คำถามของนัวร์นั้นได้ทำให้นีเซลที่กำลังหันไปมามองซ้ายขวาด้วยท่าทีเหมือนกับกำลังสำรวจสภาพบ้านเมืองของเมืองกราวิทัสอยู่ต้องหันกลับมาพยักหน้าตอบนัวร์กลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ของเธอ
แต่ถึงอย่างนั้นคำตอบของเด็กสาวก็กลับแทบจะทำให้นัวร์หลุดเสียงหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะลองถามแหย่ขึ้นมาเล่นๆ
“เห… หนังสือในหอสมุดของบ้านพี่มันตั้งกี่ปีแล้วล่ะถึงได้มีคำว่าเก่าอยู่ในชื่อด้วยนั่นน่ะ”
“ก็น่าจะสาม… ไม่ก็ห้า หรือไม่งั้นก็สิบปีมั้ง”
“หว๋าย~ พี่นีเซลอย่าเอาหนังสือเก่าขนาดนั้นมาใช้เป็นฐานข้อมูลสิคะมันตกรุ่นหมดแล้วนะรู้มั้ย สถานการณ์ของที่นี่เนี่ยมันเปลี่ยนแปลงไปเร็วจะตายไป… อย่างเมืองกราวิทัสที่พวกเรายืนอยู่กันเนี่ย เมื่อไม่นานมานี้ทางเมืองเขาก็เพิ่งจะประกาศให้ชุดสาวใช้เป็นเครื่องแบบศักดิ์สิทธิ์ที่ให้สวมใส่ได้เฉพาะสาวใช้ของราชวงศ์เท่านั้นไปเองนะคะ งี่เง่าดีเนอะว่ามั้ย~ ฮะฮะฮ่า~”
นัวร์ที่ได้ยินคำตอบของนีเซลได้เบิ่งตากว้างและยื่นหน้าเข้าไปกระซิบกระซาบนินทานโยบายแปลกๆ ของทางเมืองกราวิทัสเบาๆ ก่อนที่เธอจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง ซึ่งคำพูดของนัวร์ที่บ่งบอกว่าความรู้เกี่ยวกับเมืองกราวิทัสของนีเซลนั้นดูเหมือนว่าจะเก่าแก่เกินกว่าที่จะนำมาใช้อ้างอิงได้แล้วนั้นก็ได้ทำให้เด็กสาวผมสีเงินกะพริบตาปริบๆ สองสามทีก่อนที่เธอจะจ้องมองไปทางนัวร์ด้วยท่าทีลำบากใจ
ซึ่งทางด้านนัวร์ที่เห็นท่าทีของนีเซลนั้นก็ได้ทำตาแพรวพราวก่อนที่เธอจะยื่นหน้าเข้าไปกระซิบกระซาบยื่นข้อเสนอให้กับเด็กสาวที่ตัวสูงกว่าอีกครั้งหนึ่ง
“นี่ๆ เอาอย่างงี้มั้ยพี่นีเซล~ ถึงข้อตกลงของพวกเราจะเสร็จไปตั้งแต่ที่พี่ก้าวเท้าลงเรือมาแล้วก็เถอะ แต่ว่าพี่นีเซลสนใจบริการพิเศษสักเล็กน้อยมั้ยละคะ จะถือซะว่าเป็นบริการหลังการขายก็ได้นะ~”
“ว่ามาสิ”
“ก็มันอย่างที่หนูบอกไปแล้วใช่มั้ยล่ะว่าที่จริงแล้วเมืองนี้มันก็ไม่ได้ต่างไปจากหนังสือเก่าๆ ที่พี่นีเซลคุ้ยมาหาอ่านสักเท่าไหร่หรอกนั่นน่ะ เพราะงั้นหนูที่ไม่อยากจะปล่อยให้เด็กผู้หญิงน่ารักๆ อย่างพี่นีเซลติดแหงกอยู่ที่เมืองแบบนี้สักเท่าไหร่ก็เลยคิดจะถามว่าพี่นีเซลสนใจจะรับงานอะไรสักอย่างนึงที่มีเป้าหมายอยู่ที่เมืองรีมินัสหรือเปล่าล่ะ~?”
“รีมินัส… ประภาคารแห่งแสง ปราการด่านสุดท้ายของเหล่าผู้กล้า… ถ้างั้นก็ตกลง”
“เอ… จะไม่ถามก่อนสักหน่อยหรอคะว่าเป็นงานอะไรน่ะ ไม่แน่ว่าหนูอาจจะหลอกพี่นีเซลไปทำอะไรอันตรายๆ ก็ได้นะ”
นัวร์ที่ในตอนแรกคิดที่จะหลอกล่อยื่นข้อเสนอให้นีเซลมาช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ นั้นได้แสดงท่าทีแปลกใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนีเซลก็กลับก้มลงไปหิ้วถุงสัมภาระของเธอขึ้นมาพร้อมกับพูดตอบเด็กสาวกลับไปอย่างไม่คิดอะไรมาก
“เห็นเขาว่าเมืองที่ดีที่สุดของที่นี่คือเมืองรีมินัส รองลงมาก็เป็นเมืองแพนเทร่ากับเมืองซายูกิ ส่วนที่สุดท้ายที่ถ้าเป็นไปได้ก็อย่ามาเหยียบเลยคือกราวิทัส เพราะงั้นก็คงจะไม่มีอะไรอันตรายกว่าการติดอยู่ที่นี่แล้ว แล้วเธอก็พาเรามาถึงที่นี่แล้วคงจะไม่หลอกไปทำอะไรหรอก นำทางได้เลย… แล้วถ้าเป็นไปได้เราก็อยากจะรีบไปที่เมืองอื่นไวๆ ด้วย… อยู่ที่เมืองท่าที่เปิดอยู่แห่งเดียวในทวีปแบบนี้มันโดนเจอตัวง่ายไป…”
“แหม่~ พี่นีเซลนี่เชื่อใจคนง่ายจังเลยเนอะ ถ้างั้นก็ไปท่ารถม้ากันเถอะเนอะ~”
นัวร์ที่ได้ยินคำตอบยาวๆ ของนีเซลได้เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะยิ้มแป้นและพูดตอบกลับไป และหลังจากนั้นเด็กสาวทั้งสองคนก็ได้พากันเดินทางไปทางทิศเหนือของตัวเมืองกราวิทัสกัน
แต่ว่าในขณะที่เด็กสาวทั้งสองคนกำลังจะเดินผ่านสวนสาธารณะที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับหอนาฬิกากลางเมืองอยู่นั้นเอง นัวร์ที่เดินนำหน้าอยู่ก็ได้ชะงักฝีเท้าลงไปเมื่อเบื้องหน้าของเธอได้ปรากฏกลุ่มชาวบ้านจำนวนมากที่มาชุมนุมส่งเสียงโวยวายอยู่เต็มสวนสาธารณะจนล้นทะลักออกมาถึงส่วนถนนด้านนอกเข้า
“อ๊ะ— วันนี้ก็มีชุมนุมกันอีกแล้วแฮะ~ ถ้างั้นเดี๋ยวพวกเราอ้อมไปทางนู้นกันแทนก็แล้วกันนะพี่นีเซล”
“เขาชุมนุมอะไรกัน?”
“ก็เห็นว่าเป็นเรื่องภาษี ค่าแรงขั้นต่ำ หรือไม่ก็ประท้วงเรื่องงบไร้สาระที่ทางวังหลวงเขาใช้กันอะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะ เด็กๆ จากต่างเมืองอย่างหนูไม่รู้เรื่องอะไรพวกนั้นสักเท่าไหร่หรอก~”
“คนเป็นเด็กเขาไม่พูดจาแบบนั้นหรอกนะ แล้วไม่ใช่ตอนที่เจอกันเธอบอกว่าอาศัยอยู่ที่นี่หรอกหรอ?”
“แหม่~ พี่นีเซลคิดลึกไปแล้วน่า ที่หนูพูดนั่นหนูหมายถึงว่าหนูอาศัยอยู่ที่ทวีปนี้ต่างหากล่ะ~”
นัวร์ยิ้มร่าพูดตอบนีเซลกลับไปด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนที่เธอจะกางแขนแล้วหมุนตัวเดินนำเข้าตรอกเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กันไปจนทำให้นีเซลต้องรีบเดินตามไป
และหลังจากนั้นอีกไม่นานสักเท่าไหร่นัก เด็กสาวทั้งสองคนก็ได้เดินมาจนถึงท่ารถม้าก่อนที่นัวร์จะหันกลับมาพูดถามนีเซลด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“เอาล่ะ~ พี่นีเซลอยากนั่งรถม้าแบบไหนล่ะคะ มีทั้งแบบเช่าเหมาส่วนตัว แบบด่วนพิเศษ แบบธรรมดาๆ หรือว่าแบบที่แอบบรรทุกเกินขนาดอย่างกับว่าใส่คนเป็นกล่องสัมภาระไปกับรถก็มีนะ~”
“แบบธรรมดาๆ ก็พอ ใช้เงินไปกับค่าตั๋วเรือเกือบจะหมดแล้ว”
“โอ๊ะเค~ นี่ๆ พี่ชายขอตั๋วรถด่วนพิเศษความเร็วสูงสองที่นั่งหน่อยค่า~”
“เอา-แบบ-ธรรมดา-ธรรมดา-ก็-พอ-”
หมับ
“โอ๊ยๆๆๆ อย่าดึงแขนเสื้อสิพี่นีเซล ฟังหนูอธิบายก่อนนนนนนน”
นัวร์ที่ทำหน้าระรื่นเดินตรงเข้าไปสั่งของตั๋วรถม้าด่วนพิเศษนั้นได้ร้องโวยวายออกมาเสียงดังเมื่อนีเซลผู้ต้องการเพียงแค่ตั๋วรถม้าธรรมดาๆ ได้พูดย้ำขึ้นมาทีละคำและดึงแขนเสื้อที่ยาวเกินตัวของนัวร์เอาไว้ทั้งสองข้างจนทำให้เธอต้องรีบพูดอธิบายขึ้นมาให้เด็กสาวผมสีเงินฟัง
“คืองี้นะพี่นีเซล งานที่หนูพูดถึงตะกี้นี้มันก็เกี่ยวกับเรื่องของรถม้าด่วนพิเศษนี่แหล่ะค่ะ เพื่อนๆ ของหนูเขาเช่าเหมารถม้าคันนั้นเอาไว้แล้ว แล้วที่พูดตะกี้นี้ก็แค่ถามกวนพี่เฉยๆ อ่ะ ส่วนงานที่พี่นีเซลต้องทำก็คือว่าช่วยนั่งไปเป็นเพื่อนเขาระหว่างทางแล้วก็คอยดูแลเพื่อนหนูคนนี้สักหน่อยจนกว่าเขาจะปรับตัวอยู่ที่เมืองรีมินัสเองได้น่ะค่ะ”
“จะดูแลยังไง เราเพิ่งจะมาถึงที่นี่เองนะ ที่พักหรือคนรู้จักก็ไม่มี”
“เรื่องที่พักนั่นหนูเตรียมเอาไว้ให้เพื่อนของหนูเรียบร้อยแล้วค่ะ ถ้าพี่นีเซลตกลงรับงานนี้ล่ะก็จะไปอยู่ที่เดียวกับเขาก่อนระหว่างที่กำลังเก็บเงินหาเช่าที่พักก็ได้นะ”
“อื้ม”
นีเซลพยักหน้าพูดตอบนัวร์กลับไปสั้นๆ และก้มหน้าลงเหมือนกับว่าเธอกำลังใช้ความคิดตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่เด็กสาวจะได้พูดสอบถามอะไรขึ้นมา อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของเด็กสาวอีกคนหนึ่งดังขึ้นมาขัดความคิดของเธอเสียก่อน
“ท่านนัวร์ มาแล้วหรอคะ— อ่ะ— แล้วนี่…”
เด็กสาวเจ้าของเสียงที่เป็นเด็กสาวผมสีเขียวทรงหางม้าในชุดเครื่องแบบสาวใช้ที่มีชื่อว่าไอวี่ที่กำลังวิ่งตรงมานั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเธอได้พบว่าท่านนัวร์ของเธอนั้นไม่ได้ยืนอยู่เพียงแค่คนเดียว แต่ว่ากลับมีเด็กสาวผมสีเงินอีกคนหนึ่งที่เธอไม่รู้จักยืนอยู่ข้างกายด้วย และนั่นก็ทำให้เด็กสาวผมสีขาวอีกคนหนึ่งที่กำลังวิ่งตามไอวี่มาทางด้านหลังต้องชะงักฝีเท้าไปด้วยเช่นเดียวกัน
ส่วนทางด้านนัวร์ที่ถูกเอ่ยปากเรียกขึ้นมานั้นก็ได้หันกลับไปยิ้มร่าให้กับไอวี่ก่อนที่เธอจะพูดทักทายขึ้นมาด้วยท่าทีเป็นกันเอง
“โอ้ กำลังรออยู่เลยล่ะพี่ไอวี่~ คนนี้ใช่มั้ยเพื่อนของเราที่จะย้ายไปอยู่ที่เมืองรีมินัสน่ะ~”
“อ…อ่า… ใช่แล้วค่ะ”
ไอวี่ที่ถูกนัวร์เรียกนำหน้าด้วยคำว่าพี่นั้นได้ผงะไปเล็กน้อยด้วยความตกใจก่อนที่เธอพยักหน้ากลับไปและเดินหลบทางให้เด็กสาวผู้ที่มีนัยน์ตาสีฟ้าและเรือนผมสีขาวที่มัดผมเป็นทรงทวินเทลต่ำในชุดเดรสสีขาวลายผีเสื้อก้าวออกมาเบื้องหน้าเพื่อแนะนำตัว
“เรเกียน่า ปาปิลอจ ค่ะ พวกพี่ๆ คงจะเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณพ่อที่พี่ไอวี่พูดถึงสินะคะ”
“ใช่แล้วจ้ะ~ ฉันชื่อนัวร์ ส่วนพี่สาวหน้าบึ้งคนนี้ชื่อว่านีเซลน่ะ~”
นัวร์ที่ได้ยินคำแนะนำตัวของเรเกียน่านั้นได้เอ่ยปากพูดแนะนำตัวเองขึ้นมาก่อนที่เธอจะดึงแขนของนีเซลมากอดเอาไว้และเอ่ยปากพูดแนะนำตัวขึ้นมาแทนให้นีเซลที่มักจะทำหน้านิ่งๆ และขมวดคิ้วเล็กน้อยตลอดเวลา
ส่วนทางด้านเรเกียน่าที่เห็นท่าทีเป็นมิตรของนัวร์นั้นก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดถามขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน
“ถ้างั้นพี่นีเซลกับนัวร์จังก็คือคนที่จะมารับหนูไปอยู่ที่เมืองรีมินัสตามที่คุณพ่อเขาบอกมาสินะคะ… แต่คุณพ่อนี่ก็จริงๆ เลยนะคะ ได้รับแต่งตั้งให้ไปทำงานที่เมืองมาร์นาฟทั้งทีแต่ว่าเล่นปิดเงียบเอาไว้แบบนี้เนี่ย…”
“ก็ใช่แหล่ะจ้ะ อ๊ะ— แต่ว่าคนที่จะไปกับเธอมีแค่พี่นีเซลหรอกนะเรเกียน่าจัง~”
“เดี๋ยว… เธอไม่ไปด้วยหรอ?”
คำพูดที่อยู่ดีๆ นัวร์ก็พูดขึ้นมานั้นได้ทำให้นีเซลต้องยื่นมือออกไปจับหน้าของนัวร์ให้หันมามองพร้อมกับพูดถามขึ้นมาเบาๆ และนั่นก็ทำให้นัวร์ไม่รอช้าที่จะยิ้มร่าและรีบกระซิบพูดตอบนีเซลกลับไป
“แหม่… ก็แบบว่าพอดีคุณพ่อของเรเกียน่าจังเขาฝากให้หนูพาเรเกียน่าจังเขาไปส่งที่รีมินัสให้หน่อยแต่ว่าหนูดันติดงานเข้าพอดีน่ะ แล้วไหนๆ พี่นีเซลก็ตัดสินใจว่าจะไปเริ่มต้นที่รีมินัสอยู่แล้วเพราะงั้นหนูก็ขอฝากพี่นีเซลดูแลเรเกียน่าจังเขาให้หน่อยก็แล้วกันเนอะ~”
“แล้วเรื่องที่พักที่พูดถึง?”
“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็พอไปถึงแล้วเดี๋ยวจะมีคนพาพวกพี่ไปที่พักเองแหล่ะ ที่พี่นีเซลต้องทำก็มีแค่คอยดูแลเรเกียน่าจังเขาให้หน่อยเท่านั้นเอง”
“แล้วปกติการเดินทางไปเมืองอื่นมันต้องใช้คนคุ้มกันแบบนี้ด้วยหรอ?”
“บางทีมันก็มีบ้างนั่นแหล่ะ ก็ที่นี่มันไม่เหมือนแถวบ้านพี่สักหน่อยนี่นา~”
นัวร์ยิ้มพูดตอบนีเซลกลับไปก่อนที่เธอจะพูดถามซ้ำขึ้นมาอีกครั้งเพื่อขอคำตอบของเด็กสาว
“ว่าไงล่ะพี่นีเซล ได้ทั้งเดินทางฟรีทั้งที่พักฟรีเลยนะ ข้อเสนอดีๆ แบบนี้ปกติไม่ค่อยจะมีหรอกนะ~”
“แน่ใจนะว่างานมันคือแค่ให้เราคุ้มกันเรเกียน่าจนกว่าจะไปถึงรีมินัสน่ะ?”
“มันก็อะไรราวๆ นั้นนั่นแหล่ะค่ะ~ เรื่องรายละเอียดอื่นๆ เดี๋ยวเอาไว้พี่นีเซลค่อยไปถามจากคนที่มารับช่วงต่อก็ได้ ตอนนี้ที่สำคัญกว่าก็คือว่ายิ่งเรเกียน่าจังเขาออกจากเมืองนี้ได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีนะ~”
“……”
คำพูดเป็นความนัยของนัวร์นั้นได้ทำให้นีเซลชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันไปมองเรเกียน่า เด็กสาวอายุน้อยกว่าเธอเล็กน้อยที่กำลังมองดูพวกเธออยู่ด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา และนั่นก็ทำให้นีเซลต้องขมวดคิ้วอีกครั้งก่อนที่เธอจะพยักหน้าตกลง
“ก็ได้ แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ”
“แหม่~ มันก็แค่ครั้งเดียวนั่นแหล่ะ ก็หนูบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าหนูแค่ไม่อยากให้เรเกียน่าจังเขาต้องนั่งรถไปเมืองรีมินัสคนเดียวเฉยๆ น่ะ~ จะให้เด็กผู้หญิงใสซื่อแบบนั้นเดินทางไปกับคนขับรถม้ากันแค่สองคนมันอันตรายจะตายไปเนอะ~”
“ถ้ามันอันตรายนักทำไมคุณพ่อของเขาไม่เป็นคนพาไปส่งเองเลยล่ะ?”
“อ๋อ~ ก็พอดีว่าคุณพ่อของเรเกียน่าจังเขาเพิ่งจะไปทำงานใหญ่ระเบิดเถิดเทิงมาน่ะค่ะ เพราะงั้นช่วงนี้ก็เลยดูท่าว่าจะไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่”
คำถามของนีเซลที่เกี่ยวข้องกับ อัลเดรีย คุณพ่อของเรเกียน่าที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีเมืองรีมินัสนั้นได้ทำให้นัวร์เผยรอยยิ้มร่าออกมาอีกครั้งและพูดตอบกลับไปโดยไม่มีน้ำเสียงว่าจะรู้สึกผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนีเซลที่ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นก็ทำได้เพียงแค่เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจในขณะที่ทางด้านนัวร์เองก็ได้หันไปกวักมือเรียกไอวี่ให้เดินเข้ามาใกล้ๆ เสียแทน
“คุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้วจ้ะ ถ้างั้นพี่ไอวี่พาพี่นีเซลกับเรเกียน่าจังขึ้นรถม้าไปได้เลย”
“ข…เข้าใจแล้วค่ะ ทั้งสองคนตามมาได้เลยค่ะ”
คำสั่งของนัวร์ที่มาในบทพูดของคนอายุน้อยกว่านั้นได้ทำให้ไอวี่ที่ถูกเรียกนำหน้าด้วยคำว่าพี่อีกครั้งหนึ่งแสดงท่าทีแหยงๆ ออกมาก่อนที่เธอจะรีบเดินนำเด็กสาวทั้งสองคนไปในทันที ส่วนทางด้านนัวร์ที่ยกมือภายในแขนเสื้อที่ยาวเกินตัวขึ้นมาโบกลาไล่หลังไปนั้นก็ได้ลดมือลงด้วยท่าทีอารมณ์ดีพร้อมกับพูดบ่นออกมาเบาๆ
“ฟู่ว~ จบไปอีกเรื่อง ตั้งใจทำงานนี่มันลำบ๊ากลำบากเนอะ~”
“ส่งเรเกียน่าไปที่เมืองรีมินัสคนเดียวแบบนี้มันแบบนี้มันจะดีจริงๆ หรอคะท่านนัวร์?”
แต่แล้วในขณะที่นัวร์กำลังพูดบ่นออกมาเบาๆ อยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงของหญิงสาวอีกคนหนึ่งดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง และเผยให้เห็นร่างของหญิงสาวผมสีส้มที่มัดเอาไว้เป็นทรงทวินเทลในชุดสาวใช้สีดำสลับขาวหรือก็คือหนึ่งในกลุ่มสาวใช้ที่มีชื่อว่า ทรีนิตี้ หรือที่มักจะถูกเรียกสั้นๆ ว่า ทริน ผู้เป็นพี่สาวของไอวี่นั่นเอง
ซึ่งการปรากฏตัวของทรีนิตี้นั้นก็ได้ทำให้นัวร์หมุนตัวไปมองเบื้องหลังของเธอด้วยท่าทีอารมณ์ดีและเอ่ยปากพูดสอบถามขึ้นมา
“โอ๊ะ~ ทรินจังเองหรอ~ ที่โรงเรียนของเรเกียน่าเขาเรียบร้อยดีแล้วสินะ?”
“ฉันจัดการคนที่แอบตามเด็กคนนั้นอยู่ให้แล้วค่ะ ส่วนเรื่องความปลอดภัยหลังจากนี้คงจะไม่ต้องเป็นห่วงสักเท่าไหร่ เพราะดูแล้วเหมือนว่าเด็กผู้หญิงที่ท่านนัวร์พามาด้วยจะมีฝีมืออยู่ระดับหนึ่ง”
“ ‘เด็กผู้หญิง’ … หุ… ก็นั่นสิน๊า~ หุหุหุ~”
“……?”
เสียงหัวเราะเล็กๆ ของนัวร์ที่ยกมือทั้งสองข้างภายใต้แขนเสื้อยาวกาวน์ยาวเกินตัวขึ้นมาปิดปากตัวเองเอาไว้นั้นได้ทำให้ทรีนิตี้ต้องจ้องมองเด็กสาวด้วยความสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนัวร์ก็กลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และหันกลับไปพูดเข้าเรื่องงานขึ้นมาแทน
“อย่างน้อยๆ สัญญาระหว่างพวกเรากับอัลเดรียก็เสร็จไปครึ่งนึงแล้วล่ะนะ ที่เหลือก็รอแค่ให้กลุ่มของพวกฮานะกับซัมเมอร์จัดการทางฝั่งของคุณพี่ชายให้เรียบร้อยเท่านั้นเอง”
“งั้นหรอคะ…”
ทรีนิตี้ที่ได้ยินคำพูดของนัวร์ได้พูดตอบกลับไปเบาๆ ก่อนที่เธอจะนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งราวกับไม่มั่นใจนักแล้วจึงเอ่ยปากพูดถามนัวร์ที่ในขณะนี้กำลังทำงานในตำแหน่งที่เปรียบเสมือนกับหัวหน้าชั่วคราวของพวกเธอขึ้นมา
“ฉันมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องนั้นค่ะ… ทำไมเราถึงส่งเรเกียน่าออกไปเมืองอื่นได้ง่ายๆ แต่ว่ากลับต้องรอให้พวกฮานะกับซัมเมอร์มาถึงถึงจะเริ่มแผนการในส่วนของรากูน่าได้ล่ะคะท่านนัวร์?”
“เห…”
คำพูดถามของทรีนิตี้นั้นได้ทำให้นัวร์ที่กำลังแกว่งแขนเสื้อกาวน์ไปมาอยู่ชะงักไปก่อนที่เธอจะค่อยๆ หันไปมองทางทรีนิตี้ด้วยท่าทีเหมือนกับว่าเจอเรื่องน่าสนใจ
ซึ่งนัวร์ก็ได้เลิกคิ้วเอียงคอไปมามองดูทรีนิตี้อยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดถามขึ้นมา
“เธอหมายถึงว่า ทำไมพวกเราถึงไม่ปล่อยให้รากูน่าได้ไปใช้ชีวิตปกติเหมือนกับน้องสาวของเขาที่เมืองอื่นน่ะหรอ?”
“ค่ะ เพราะถึงรากูน่าจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของตัวเองมากกว่าน้องสาวที่อยู่แต่ในโรงเรียนประจำก็เถอะ แต่ว่าจริงๆ แล้วพวกเราก็น่าจะยังสามารถพารากูน่าออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เมืองอื่นพร้อมกับน้องสาวของเขาได้ไม่ใช่หรอคะ?”
“อ่ะๆ ที่เธอพูดขึ้นมามันก็ไม่ผิดไปซะทีเดียวหรอกแถมยังน่าจะปลอดภัยกับตัวเขากว่าด้วย… แต่ว่าเหตุผลจริงๆ ที่ฉันสั่งให้ทีมของฮานะเป็นคนเข้าไปช่วยทั้งๆ ที่พวกเธอเองก็น่าจะทำได้สบายๆ มันเป็นเพราะว่าฉันสนใจความรู้สึกที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากที่รากูน่าเขาได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ของตัวเองทั้งหมดแล้วต่างหากล่ะ”
“ความรู้สึกที่อาจจะเกิดขึ้นงั้นหรอคะ?”
“ใช่… ความรู้สึกที่เหมือนกับเปลวไฟที่ลุกไหม้ที่ถูกเรียกว่าความแค้นยังไงล่ะ… ความแค้นที่ถูกพรากครอบครัวและคนรักไป ความแค้นจากการถูกหักหลังโดยคนที่ไว้ใจ ความแค้นที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังเพียงลำพัง ความรู้สึกพวกนี้แหล่ะที่ทำให้พวกเราต้องแยกตัวรากูน่าออกมาจากน้องสาวที่แสนจะใสซื่อของเขา”
นัวร์พูดตอบทรีนิตี้กลับไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ และนั่นก็ทำให้ทรีนิตี้ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“ความแค้นงั้นหรอคะ…”
“ใช่แล้ว~ ถึงปกติคนเขาจะชอบพูดว่าความแค้นก็เปรียบเสมือนกับเปลวไฟที่ถึงจะลุกไหม้รุนแรงแต่ก็คอยเผาผลาญตัวของตัวเองไปด้วยจนสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรก็เถอะ… แต่ว่าสำหรับฉันแล้ว ฉันว่าความแค้นมันเหมือนกับเปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับซะมากกว่า ต่อให้บางครั้งมันจะริบหรี่ แต่ว่าตราบใดที่ต้นตอของมันยังคงอยู่ มันก็พร้อมที่จะลุกโชนขึ้นมาใหม่ได้ทุกเมื่อไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่”
“เหมือนกับฮานะกับซัมเมอร์… แล้วก็เหมือนกับหัวหน้าสินะคะ…”
ทรีนิตี้ที่ได้ยินคำพูดอธิบายของนัวร์ได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ อีกครั้ง และนั่นก็ทำให้นัวร์ยกมือขึ้นมากอดอกพยักหน้าพูดตอบทรีนิตี้กลับไป
“ใช่แล้วล่ะ~ ถึงความแค้นของพวกฮานะจะแตกต่างและไม่รุนแรงฝังลึก… เอาเป็นว่าไม่ฝังลึกเหมือนกันกับของหัวหน้าก็ละกัน แต่ว่ามันก็ยังคงเป็นความรู้สึกประเภทเดียวกันอยู่ดี เพราะงั้นฉันเลยคิดว่าพวกเราควรดึงตัวรากูน่าที่กำลังลุกไหม้ไปด้วยความแค้นออกมาไม่ให้เปลวเพลิงแห่งความเกลียดชังนั่นมันลามไปติดน้องสาวของเขาที่ยังคงใสซื่อบริสุทธิ์อยู่ยังไงล่ะ”
“…แล้วมันไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้เลยหรอคะ? ถ้าเกิดว่าพวกเราลองเกลี้ยกล่อมเขาดูดีๆ เขาก็อาจจะยอมปล่อยวางแล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับน้องสาวของเขาที่เมืองอื่น—”
“ทรีนิตี้!”
“—!?”
ในขณะที่ทรีนิตี้กำลังจะเสนอทางออกอื่นที่อาจจะดีกว่าการปล่อยให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งตกลงไปสู่ห้วงความแค้นออกมาอยู่นั้นเอง อยู่ๆ นัวร์ก็ได้เอ่ยปากเรียกชื่อของเธอขึ้นมาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจังจนทำให้ทรีนิตี้ชะงักไป ซึ่งทั้งสองคนก็ได้นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่นัวร์จะเป็นฝากเริ่มต้นพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“นี่ ทรินจัง… หัวหน้าเคยพูดเอาไว้ยังไงเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้หรอ”
“ ‘เราไม่ควรยื่นมือเข้าไปแย่งเหยื่อของคนอื่น’ … ค่ะ…”
“ใช่แล้ว แล้วเธอคิดว่าพวกเราเป็นใคร ทำไมพวกเราถึงจะมีสิทธิที่จะเข้าไปแย่งชิงเป้าหมายในชีวิตของคนอื่นล่ะ… สิ่งที่พวกเราทำมาตลอดและควรจะทำก็มีแค่การชี้ทางนำพาพวกเขาไปถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการที่สุดในตอนนั้น แล้วก็จัดเตรียมความพร้อมและบอกเตือนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาเท่านั้น พวกเราไม่มีสิทธิที่จะไปกำหนดชะตาชีวิตของใครหรอกนะ”
“แต่ว่าพวกเขายังเด็กกันอยู่เลยนะคะ พวกเขาก็แค่อาจจะยังไม่รู้ว่าโลกนี้มีทางเลือกอื่นอีกมากนอกจากการแก้แค้นซะด้วยซ้ำ”
ทรีนิตี้ที่ได้ยินนัวร์พูดย้ำเตือนเกี่ยวกับหน้าที่ของพวกเธอขึ้นมานั้นได้เอ่ยปากพูดตอบกลับไปเบาๆ โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าในขณะนี้ที่ฟากฟ้าเหนือเมืองกราวิทัสนั้นได้มีจุดแสงสีฟ้าดวงหนึ่งกำลังลอยเอื่อยๆ กลมกลืนไปกับฟากฟ้าเบื้องบน
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนัวร์ที่ดูเหมือนว่าจะสังเกตเห็นจุดแสงที่ว่าก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบทรีนิตี้กลับไป
“แล้วเธอคิดว่าพวกคนที่ผลักไสรากูน่าลงไปสู่ห้วงความแค้นแบบนั้นจะยอมให้เขามีทางเลือกอื่นหรือเปล่าล่ะ? แล้วเธอคิดว่าการที่พวกเราจะช่วยเหลือรากูน่าออกมาแล้วปล่อยให้คนพวกนั้นผลักไสคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องที่ดีแล้วจริงๆ หรือเปล่า?”
“เรื่องนั้นมันก็…”
“แล้วที่สำคัญ ถึงพวกเราจะมอบอาวุธให้กับพวกเขา ฝึกฝนให้พวกเขา แต่ว่าพวกเราก็ไม่เคยชี้นิ้วสั่งบอกให้พวกเขาไปแก้แค้นสักหน่อยนี่ สิ่งที่พวกเราทำก็แค่มอบโอกาสและทางเลือกให้กับพวกเขาเท่านั้นเอง”
“แต่ว่าแบบนั้นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการยื่นไม้เบสบอลให้กับเด็กที่กำลังโกรธเลยนะคะ… มันก็เห็นกันได้ชัดๆ อยู่แล้วว่าถ้าพวกเขาได้รับพลังแบบนั้นไปในสถานการณ์แบบนั้นพวกเขาจะเลือกอะไรไม่ใช่หรอคะ?”
“ก็แล้วถ้าเกิดว่านั่นคือสิ่งพวกเขาต้องการแล้วใครจะมีสิทธิที่จะกำหนดว่าสิ่งไหนที่พวกควรทำหรือว่าไม่ควรทำกันล่ะ?”
นัวร์ยักไหล่พูดตอบทรีนิตี้กลับไปก่อนที่เธอจะพูดอธิบายขึ้นมาต่อหน้าตาเฉยเหมือนกับว่าชะตาชีวิตของมนุษย์ไม่ได้มีค่าอะไรในสายตาของเธอเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าเกิดเธอจะบอกว่าการแก้แค้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีเพราะว่าในระหว่างกระบวนการมันอาจจะทำให้มีคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรโดนลูกหลงไปด้วยล่ะก็ เธอคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับซัมเมอร์กับคุณพ่อเป็นเรื่องที่สมควรจะเกิดขึ้นอย่างงั้นหรอ? การที่ทหารพวกนั้นโดนซัมเมอร์แก้แค้นมันก็เป็นผลของสิ่งที่พวกเขากระทำกันเอง แล้วถ้าเกิดว่าการแก้แค้นของรากูน่าหรือว่าของซัมเมอร์มันจะทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องโดนลูกหลงไปด้วย หลังจากนั้นเดี๋ยวพวกเขาก็จะต้องรับผลของสิ่งที่พวกเขาทำลงไปด้วยเช่นกัน”
“นั่นสินะคะ…”
“แหม่~ ว่าแต่ที่ทรินจังดูท่าทางเป็นห่วงอย่างนี้เนี่ยอย่าบอกนะว่าแอบไปตีสนิทกับพวกชาวเมืองในพื้นที่เป้าหมายมาอีกแล้วน่ะ?”
“ก็แค่ได้คุยด้วยเล็กน้อยระหว่างสืบข้อมูลน่ะค่ะ…”
ทรีนิตี้ที่ถูกนัวร์กลับไปใช้น้ำเสียงขี้เล่นพูดถามเปลี่ยนเรื่องขึ้นมานั้นได้เอ่ยปากพูดตอบกลับไปสั้นๆ และนั่นก็ทำให้นัวร์ต้องส่ายหน้าไปมาก่อนที่เด็กสาวจะพูดขึ้นมาลอยๆ
“ถ้างั้นก็หวังว่าพวกคนที่เธอไปคุยด้วยจะไม่โผล่ไปใกล้ๆ แถวนั้นจนโดนลูกหลงก็แล้วกัน เพราะว่าสภาพเมืองกราวิทัสในตอนนี้น่ะเชื้อไฟมันลุกติดจนลามไปทั่วแล้ว ที่เหลือก็มีแค่รอดูว่าไฟแค้นมันลุกไหม้จนเผาผลาญอะไรไปบ้างน่ะ… อ๋อ… แล้วก็เป็นอีกครั้งนึงแล้วสินะที่ฉันต้องเตือนเธอว่าอย่าเข้าไปคลุกคลีกับคนของที่นี่ให้มากนักน่ะเพราะไม่งั้น—”
“เพราะไม่งั้นคนที่เจ็บปวดก็อาจจะเป็นตัวของพวกเราเองงั้นสินะคะ… เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นฉันจะพยายามเตือนไอวี่เอาไว้ด้วยก็แล้วกันนะคะ”
“อื้มๆ ฝากด้วยนะคุณพี่สาวหมายเลขสาม~ ดูแลน้องสาวคนนั้นเขาให้ดีๆ ล่ะ เพราะว่าไอวี่เขาไม่ได้จิตใจหนักแน่นเหมือนกับฮานะซะด้วยสิ— อ่ะ พอพูดถึงฮานะก็ดูเหมือนว่าทางนั้นจะเริ่มแผนการกันแล้วสินะเนี่ย~”
นัวร์ที่กำลังพูดไม่หยุดนั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเบื้องบนที่ในบัดนี้ไร้ซึ่งจุดแสงสีฟ้าที่คอยจับตาดูพวกเธออยู่เมื่อสักครู่นี้อีกต่อไปพร้อมกับเอ่ยปากพูดสั่งงานขึ้นมาไปด้วย
“ป่านนี้ไอวี่เขาน่าจะพาสองคนนั้นขึ้นรถไปแล้วล่ะมั้ง พวกเรารีบไปรอที่จุดนัดพบกันดีกว่าเนอะ~”
“รับทราบค่ะ”