Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 186 Second Life
“เฮ้อ…. ตกลงสถานการณ์มันจะไม่ดีขึ้นเองจริงๆ เลยงั้นสินะเนี่ย…”
ในช่วงเย็นของวันเดียวกันนั้น ทางด้านเอริกะที่นั่งอยู่ในห้องทำงานของเธอก็ได้ถอนหายใจพูดบ่นขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหนักใจก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของเซซิเรียดังออกมาจากเครื่องมือสื่อสารส่วนตัวของเอริกะด้วยเช่นเดียวกัน
“เธอจะหวังไปให้มันได้อะไรขึ้นมาล่ะ แล้วก็อย่าลืมเรื่องของพวกทหารรับจ้างที่แอบเข้าไปข้างในนั้นด้วยล่ะว่าพวกเขายังไม่ได้กลับออกมากันเลยน่ะ”
“ให้ตายสิ! เฮ้อออออออ…..”
คำพูดเตือนของเซซิเรียที่ดังออกมาจากปลายสายการสื่อสารนั้นได้ทำให้เอริกะต้องถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ก่อนที่เธอจะพูดถามเพื่อนของเธอกลับไป
“ยังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่?”
“ถ้าคำนวณจากเวลาที่เจ้าพวกนั้นจัดการไมเคิลไปแล้วจนถึงตอนนี้… อย่างมากที่สุดเธอก็น่าจะเหลือเวลาไม่เกินสองสัปดาห์ หรือถ้าเกิดเธอหมายถึงเวลาของทหารรับจ้างพวกนั้นล่ะก็ฉันว่ามันอาจจะสายไปแล้วก็ได้่”
“เฮ้อ… เข้าใจแล้ว… เดี๋ยวฉันจะออกเดินทางไปดูห้องควบคุมที่แพนเทร่าให้เอง แต่ว่าเวลากระชั้นชิดแบบนี้คงจะทำเรื่องขอยืมรถไม่ได้เพราะงั้นคงจะต้องไปด้วยรถม้าล่ะมั้ง แล้วก็ถ้าเกิดว่าเธอไม่อยากจะไปยุ่งกับเรื่องข้างล่างนั่นจริงๆ ก็จะถอนตัวไปก่อนตั้งแต่วันนี้เลยก็ได้นะเซซิเรีย เพราะหลังจากนี้ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทางเมืองแพนเทร่าเขาจะเอายังไงต่อเหมือนกัน”
“ขอเวลาฉันตัดสินใจสักหน่อยก็แล้วกัน ถ้ายังไงก็ขอตัวก่อนล่ะ”
ปิ๊บ
“เฮ้ออออ……”
คำพูดทิ้งท้ายของเซซิเรียนั้นได้ทำให้เอริกะต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เพราะดูเหมือนว่าต่อให้เซซิเรียจะไม่อยากยุ่งกับเรื่องในคราวนี้ หญิงสาวผมสีเขียวเพื่อนของเธอก็คงจะทำใจแข็งปล่อยไปเฉยๆ ไม่ได้เหมือนกับทุกทีอย่างแน่นอนจนทำให้เธออยากจะถอนหายใจออกมาอีกรอบหนึ่ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แต่แล้วในขณะที่เอริกะกำลังคิดจะถอนหายใจออกมาอีกครั้งอยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงเคาะประตูห้องทำงานของเธอดังขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงขออนุญาตของเอริซาเบธดังขึ้นมาให้เธอได้ยิน
“คุณเอริกะคะ~ ฉันเอริซาเบธเองค่ะ~”
“อ่ะ มาได้เวลาพอดีเลย เข้ามาได้เลยๆ”
คำพูดขออนุญาตของเอริซาเบธนั้นได้ทำให้เอริกะต้องรีบปรับสีหน้าของเธอให้เป็นยิ้มแย้มตามปกติและพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงร่าเริงแบบที่เธอแสดงออกเป็นประจำ และนั่นก็ทำให้เอริซาเบธที่ได้ยินแบบนั้นไม่รอช้าที่จะเปิดประตูเข้ามารายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เธอได้ฟังในทันที
“ฉันเอาเอกสารรายละเอียดการประชุมเมื่อเช้านี้มาให้ค่ะ~ ส่วนพวกนากาคุงเองก็ไม่มีปัญหาอะไรเหมือนกัน แต่ว่าทางโรงเรียนเขาขอเวลาสักสามสี่วันในการเตรียมการเดินทางน่ะค่ะ~”
“สามสี่วันงั้นหรอ ถ้างั้นกว่าพวกเด็กๆ จะไปถึงเมืองแพนเทร่าก็น่าจะสักอาทิตย์นึงพอดี ก็นับว่าเร็วสำหรับพวกเธอแล้วล่ะ”
“แหะๆ ก็ต้องขอบคุณไดเอน่าจังกับท่านผู้อำนวยการเขานั่นแหล่ะค่ะ”
เอริซาเบธที่ได้รับคำชมจากคุณเอริกะของเธอนั้นได้ส่ายหางจิ้งจอกฟูๆ ของเธอไปมาด้วยความดีใจก่อนที่ทันใดนั้นเองเอริกะจะพูดสั่งงานเอริขึ้นมา
“แต่จะว่าไปไหนๆ เธอก็มานี่แล้ว เธอมาช่วยฉันจัดกระเป๋าสักหน่อยสิ พอดีว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันก็ต้องไปที่แพนเทร่าเหมือนกันน่ะ”
“เอ๋? แต่ไม่ใช่ว่าคุณเอริกะเพิ่งจะสั่งให้พวกนากาคุงเขาไปที่แพนเทร่าเองหรอกหรอคะ?”
“อ๋อ พอดีว่าอันนี้มันเป็นคนละงานกันน่ะ แถมยังเป็นงานที่น่าจะส่งคนอื่นไปทำแทนให้ไม่ได้ด้วย เพราะงั้นคนแก่ๆ อย่างฉันก็เลยต้องถ่อไปถึงแพนเทร่าด้วยตัวเองเนี่ยแหล่ะ~”
ฉ่า— ฉ่า—
ในขณะที่เอริกะกำลังตีหน้าน่าสงสารพูดตอบเอริซาเบธกลับไปอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงที่ฟังดูเหมือนกับเสียงของอะไรสักอย่างที่ถูกผัดอยู่ในกระทะดังขึ้นมาจากภายในตัวบ้านให้พวกเธอได้ยินพร้อมๆ กับที่มีกลิ่นหอมของอาหารโชยเข้ามาภายในห้องทำงานจนทำให้เอริกะต้องยกมือขึ้นมาเกาศีรษะตัวเองเล็กน้อย
“จะว่าไปก็ลืมเรื่องเด็กคนนั้นไปเลยนี่นา…”
“หมายถึงผู้หญิงผมสีขาวคนที่พวกนากาคุงเขาพาตัวมาจากหมูบ้านของรีซานาในภารกิจครั้งก่อนนั่นน่ะหรอคะ?”
“ก็ใช่นะสิ ถ้าเกิดว่าฉันต้องออกไปทำงานที่แพนเทร่ามันก็เท่ากับว่าต้องทิ้งให้เขาอยู่บ้านคนเดียวใช่มั้ยล่ะ ขืนเป็นอย่างงั้นเขาได้เหงาแย่เลยสิ”
เอริกะที่เดินตามกลิ่นหอมของข้าวผัดไปจนถึงหน้าประตูห้องครัวนั้นได้หันไปกระซิบพูดกับเอริซาเบธที่เดิมตามหลังเธอไม่ห่างเบาๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหญิงสาวไร้ชื่อที่เคยมีตำแหน่งเป็นเดรคของหมู่บ้านรีซาน่านั้นได้ยินเสียงหรือสัมผัสได้ว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้เมื่อเธอได้เหลือบมองมาทางประตูห้องครัวเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเพิ่มตักวัตถุดิบเพิ่มเข้าไปในกระทะเพื่อที่จะทำให้ปริมาณของมันพอดีสำหรับสามคนแทน ซึ่งภาพที่ปรากฏนั้นก็ได้ทำให้เอริกะหลุดรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดบอกเอริซาเบธที่อยู่ข้างๆ กันขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าเธอจะต้องกินข้าวเย็นกับพวกฉันแทนซะแล้วสิเอริ”
“แหม่ ถ้าคุณเอริกะว่างั้นก็ได้อยู่แล้วล่ะค่ะ ว่าแต่แล้วคุณเอริกะจะเอายังไงกับเรื่องนี้ล่ะคะ?”
“อื้มมม…. ก็นั่นสิเนอะ…”
เอริกะที่ได้ยินคำถามของเอริซาเบธได้ก้มหน้าลงทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่เธอจะลองสอบถามเอริซาเบธขึ้นมา
“เธอพอจะให้เขาไปพักอยู่ที่หอพักของทางโรงเรียนก่อนสักพักนึงจะได้หรือเปล่าน่ะเอริ?”
“ที่หอพักของทางโรงเรียนน่ะหรอคะ? จะว่าได้มั้ยมันก็ได้นั่นแหล่ะค่ะ แต่คุณเอริกะอย่าลืมนะคะว่ารีซาน่าเขาก็พักอยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกันน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ถือซะว่าช่วยฉันหน่อยก็แล้วกันนะเอริ น๊า~~~”
เอริกะที่ไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาตรงไหนถ้าเกิดว่าอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งเดรคอย่างหญิงสาวผมสีขาวได้มีโอกาสเข้าใกล้คนที่เคยมีเรื่องกันมาก่อนอย่างรีซาน่านั้นได้ตัดสินใจที่จะโถมตัวเข้าหาเอริซาเบธด้วยท่าทีออดอ้อนเกินเหตุ และนั่นก็ทำให้เอริซาเบธสะดุ้งไปเล็กน้อยเพราะไม่ทันตั้งตัวก่อนที่เธอจะรีบพูดตอบเอริกะกลับไปด้วยท่าทีเขินอายปนดีใจที่ตัวเองได้เป็นประโยชน์กับคุณเอริกะของเธอได้บ้าง
“แหม่ ถ้าเกิดว่าคุณเอริกะว่าอย่างงั้นมันก็ต้องได้อยู่แล้วแหล่ะค่ะ”
“จริงหรอ ฟู่ว… ถ้างั้นก็โล่งอกไปที ยังไงก็ขอบใจเธอมากนะเอริกะ เพราะในเวลาแบบนี้ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะให้เขาไปพักอยู่ที่ไหนก่อนดีเหมือนกันน่ะ”
“แหะๆ แค่ฉันได้ช่วยคุณเอริกะฉันก็ดีใจแล้วล่ะค่ะ~”
“ถ้างั้นพวกเรามาพักกินข้าวเย็นกันก่อนแล้วเดี๋ยวเธอค่อยไปช่วยฉันจัดกระเป๋าก็แล้วกันเนอะ~”
ในช่วงหัวค่ำของวันเดียวกันนั้นเองเอริซาเบธที่ช่วยเอริกะจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นก็ได้เดินนำทางหญิงสาวผมสีขาวที่เคยใช้ชื่อว่าเดรคเข้าไปภายในหอพักของทางโรงเรียนด้วยท่าทีลับๆ ล่อ พร้อมๆ กับที่เธอได้พูดบ่นพึมพำออกมาเบาๆ ไปด้วย
“ถึงจะพูดไปแบบนั้นก็เถอะ แต่ถ้าเกิดว่าท่านผู้อำนวยการหรืออาจารย์ใหญ่รู้เข้ามีหวังได้โดนบ่นหูชาแน่เลยเนี่ย…”
เอริซาเบธที่พูดบ่นออกมานั้นได้ชะโงกหน้าออกไปมองซ้ายมองขวาตามโถงทางเดินก่อนที่เธอจะใช้ฝีเท้าที่แผ่วเบาราวกับสุนัขจิ้งจอกตัวเป็นๆ เดินนำหญิงสาวไร้ชื่อตรงดิ่งเข้าไปในห้องนอนของเธอที่ไม่ได้อยู่ลึกเข้าไปภายในตัวอาคารมากนักโดยที่หญิงสาวไร้ชื่อที่เดินตามหลังเธออยู่นั้นไม่ได้มีท่าทีว่าจะคิดแอบลักลอบไม่ให้โดนเจอตัวเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งภายในห้องพักของเอริซาเบธนั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยเสื้อผ้าเครื่องใช้ต่างๆ หรือแม้แต่กระทั่งขนมปังที่ถูกทานไปเพียงแค่ครึ่งชิ้นที่ถูกโยนทิ้งเอาไว้อย่างระเกะระกะเช่นเดิมไม่มีผิดเพี้ยนจนทำให้หญิงสาวไร้ชื่อที่โดยปกติแล้วจะไม่ค่อยแสดงสีหน้าท่าทีอะไรถึงกับต้องหรี่ตามองหญิงสาวเจ้าของห้องอย่างเงียบๆ จนทำให้เอริซาเบธที่เห็นแบบนั้นต้องรีบพูดเถียงขึ้นมาในทันที
“อะไรเล่า ฉันก็แค่ไม่นึกว่าจะมีแขกมาก็เลยไม่ได้ทำความสะอาดเอาไว้ก่อนแค่นั้นเอง”
“……..”
คำพูดแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ของเอริซาเบธนั้นได้ทำให้หญิงสาวไร้ชื่อละสายตาไปจากเธอด้วยท่าทีเหนื่อยใจก่อนที่เธอจะเดินตรงไปยังจุดที่ควรจะเป็นโต๊ะรับแขกและเริ่มต้นเก็บกวาดเศษอาหารและภาชนะที่ถูกใช้แล้วไปทีละส่วนอย่างเงียบๆ
“อ่ะ นั่นเธอจะทำความสะอาดให้ฉันงั้นหรอ แหม่ ขอบคุณมากนะ~”
“…….”
คำพูดทีเล่นทีจริงของเอริซาเบธนั้นไม่ได้ทำให้หญิงสาวไร้ชื่อพูดตอบอะไรกลับไปและนั่นก็ทำให้เอริซาเบธที่เห็นแบบนั้นเอียงคอไปมาก่อนที่เธอจะพูดสอบถามอีกฝ่ายขึ้นมาในทันที
“ว่าแต่สรุปแล้วเธอมีชื่อว่าอะไรกันแน่ล่ะ?”
“…….”
คำถามของเอริซาเบธในคราวนี้ได้ทำให้หญิงสาวไร้ชื่อชะงักไปเล็กน้อย ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ชั่วขณะ แต่ว่ามันก็ไม่พ้นหูตาที่ฉับไวราวกับจิ้งจอกน้อยของเอริซาเบธไปได้ และนั่นก็ทำให้เธอไม่รอช้าที่จะพูดขึ้นมาต่อในทันที
“ทำท่าอย่างงั้นแปลว่ายังไม่ได้คิดเรื่องชื่อใหม่เอาไว้ล่ะสิท่า… แต่ว่าไหนๆ ก็จะต้องมาอยู่ด้วยกันสักพักนึงแล้วแบบนี้จะให้เรียกว่าเธอๆ ตลอดไปมันก็ยังไงๆ อยู่นะ… สนใจจะให้ฉันตั้งชื่อให้มั้ยล่ะ?”
“……..”
ถึงแม้ว่าหญิงสาวไร้ชื่อจะได้ยินคำถามของเอริซาเบธไปแล้วก็ตาม แต่ว่าเธอก็ไม่มีท่าทีว่าจะให้ความสนใจหรือว่าตอบรับเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าเธอได้ไม่สนใจเรื่องชื่อใหม่ของตนที่กำลังจะมีคนตั้งให้เลยซะด้วยซ้ำ และนั่นก็ทำให้เอริซาเบธไม่รอช้าที่จะพูดชื่อที่เธอคิดเอาไว้ออกมาในทันที
“ถ้างั้นก็เอาเป็นว่าชื่อของเธอคือ ฮิคาริ ไปก่อนก็ละกันเนอะ เห็นอาจารย์โซจิเขาเคยบอกว่ามันแปลว่าแสงสว่างหรือว่าอะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะ เธอว่าไงบ้างล่ะฮิคาริจัง~?”
“……..”
หญิงสาวไร้ชื่อที่ถูกเอริซาเบธตั้งชื่อให้ว่า ฮิคาริ นั้นทำเพียงแค่หันมาพยักหน้าให้เอริซาเบธหนึ่งทีราวกับว่าเธอไม่ได้สนใจชื่อใหม่ของตนที่เพิ่งจะถูกตั้งให้เลยแม้แต่น้อยในขณะที่เอริซาเบธนั้นก็ได้ส่งรอยยิ้มกลับมาให้เธอพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ถ้าเธอไม่มีปัญหาอะไรงั้นก็เอาตามนั้นก็แล้วกันเนอะ ‘ฮิคาริจัง~’ ”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“อาจารย์เอริคะ! ขอแรงออกมาช่วยด้านนอกนี่สักหน่อยนึงสิคะ!”
ในขณะที่เอริซาเบธและ ‘ฮิคาริ’ เหมือนจะตกลงกันได้ด้วยดีแล้วนั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงเคาะประตูหนักๆ ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือของรีซาน่าดังขึ้นมาให้เธอได้ยินจนทำให้เอริซาเบธต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจและรีบเดินไปเปิดประตูเพื่อสอบถามในทันที
“จ้าๆ มาแล้วจ้า มีอะไรให้ฉันช่วยหรอรีซาน่าจัง?”
“ก็อาจารย์เรย์น่ะสิคะเขา— เอ๋!? ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึง—”
รีซาน่าที่กำลังจะฟ้องเรื่องของอาจารย์เรย์ให้เอริซาเบธฟังนั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหลุดเสียงร้องออกมาเมื่อเธอสังเกตเห็นฮิคาริที่กำลังจัดการทำความสะอาดห้องให้เอริซาเบธอยู่ และนั่นก็ทำให้เอริซาเบธไม่รอช้าที่จะพูดอธิบายออกมาในทันที
“ฮิคาริจังน่ะหรอ พอดีว่าคุณเอริกะเขาต้องออกไปทำงานข้างนอกสักพักนึงก็เลยไม่มีใครอยู่เฝ้าให้ คุณเอริกะเขาก็เลยฝากให้ฉันช่วยดูแลฮิคาริจังเขาให้หน่อยน่ะ~”
“ฮิคาริ… งั้นหรอคะ?”
“ก็ชื่อของเขาไง~ เห็นว่าตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องที่หมู่บ้านของเธอเขาก็ใช้ชื่อว่าเดรคเหมือนเดิมไม่ได้แล้วใช่มั้ยล่ะ แล้วยิ่งฉันเองก็มีเพื่อนหนุ่มกล้าใหญ่ที่ชื่อว่าเดรคอยู่แล้วด้วย ฉันก็เลยถือโอกาสนี้ตั้งชื่อใหม่ให้เขาไปเลยน่ะ~”
“อ…อย่างงั้นเองหรอคะ…”
รีซาน่าที่ได้ยินคำพูดอธิบายของเอริซาเบธได้พูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหวั่นๆ เพราะว่าตัวเธอเองที่เคยต่อสู้กับอีกฝ่ายมาแล้วนั้นรู้ดีว่าถึงแม้หญิงสาวคนนั้นจะเคยพ่ายแพ้ให้กับเดรคอย่างหมดรูป แต่ว่าที่จริงแล้วเธอก็ค่อนข้างจะมีฝีมือมากพอตัวอยู่ อีกทั้งด้วยท่าทีที่ดูไม่ค่อยจะปกตินักมันก็เลยทำให้รีซาน่าไม่ค่อยจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะปลอดภัยกับเหล่าเด็กนักเรียนส่วนใหญ่ในโรงเรียนที่ไม่ได้เก่งเรื่องการต่อสู้มากนักหรือเปล่า
“ให้เขามาอยู่ที่นี่มันจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรอคะอาจารย์เอริ…”
“ก็เข้าใจอยู่นะว่าเธอเป็นห่วงเรื่องอะไรน่ะ แต่ว่าเดี๋ยวฉันคอยดูเขาให้เองเธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ว่าแต่เห็นเมื่อกี้นี้ร้องโวยวายอะไรเกี่ยวกับอาจารย์เรย์อยู่ไม่ใช่หรอ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าน่ะ?”
เอริซาเบธพูดตอบรีซาน่ากลับไปด้วยท่าทีเหมือนกับว่าไม่กังวลใจอะไรเลยแม้แต่น้อยพร้อมกับพูดถามรีซาน่ากลับไปถึงสาเหตุที่เด็กสาวมาเคาะประตูห้องของเธอขึ้นมา และนั่นก็ทำให้รีซาน่าไม่รอช้าที่จะรีบบอกให้เอริซาเบธทราบในทันที
“อ่ะ– ใช่ค่ะๆ ก็อาจารย์เรย์เขาไปดื่มอะไรมาก็ไม่รู้ตั้งกี่ถังจนเมาแอ๋อีกแล้วน่ะสิคะ ตอนนี้คุณเอเว่นที่พาอาจารย์เรย์มาส่งเขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีก็เลยยืนรออยู่ที่ทางเข้าน่ะค่ะ อาจารย์เอริรีบไปจัดการก่อนที่จะมีใครผ่านมาเห็นแล้วเอาไปบอกอาจารย์คนอื่นทีเถอะค่ะ!”
“หว๋าย… เข้าใจแล้วๆ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะ ฮิคาริจัง ฝากดูแลห้องให้ฉันแป๊บนึงนะ~”
เอริซาเบธที่ได้ยินว่าอาจารย์เรย์ก่อนเรื่องอีกแล้วนั้นได้พูดตอบรีซาน่ากลับไปก่อนที่เธอจะเดินนำเด็กสาวตรงไปที่ห้องโถงทางเข้าของหอพัก และนั่นก็ทำให้พวกเธอได้พบเข้ากับอาจารย์เรย์ อาจารย์สาวผมสีขาวที่แต่งตัวค่อนข้างจะเปิดเผยที่กำลังถูก เอเว่น อัศวินหนุ่มผมทองผู้เป็นพี่ชายของคอนแนลที่ถูกทางวังหลวงส่งมาเฝ้าจับตาดูอลิซเอาไว้ช่วยพยุงร่างเอาไว้
ซึ่งในทันทีที่เอริซาเบธเดินเข้าไปใกล้นั้นเอง จมูกของเธอก็ได้กลิ่นของแอลกอฮอล์ลอยฉุนจมูกคลุ้งกระจายออกมาจากร่างของอาจารย์เรย์เข้าจนทำให้เอริซาเบธถึงกับหลุดปากพูดออกมา
“นี่ไปดื่มอะไรมาทำไมกลิ่นมันถึงแรงได้ขนาดนี้กันเนี่ย—”
“ผมก็อยากรู้เหมือนกันนั่นล่ะครับ! นี่ถ้าเกิดว่าอาจารย์เทียไม่ได้ขอร้องให้ผมช่วยหาที่พักให้อาจารย์เรย์สักหน่อยผมก็ไม่คิดจะหิ้วคนแบบนี้กลับมาหรอกนะครับ!!”
“ไม่ได้เมาซ๊ากหน่อย~ แกว่าใครเมากานห๋าา~”
ในขณะที่เอเว่นที่ต้องแบกร่างที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์จนใครที่เดินผ่านไปมาก็แทบจะเมาตามมาได้สักพักใหญ่ๆ แล้วได้พูดบ่นตามเอริซาเบธขึ้นมานั้น ทางด้านอาจารย์เรย์ก็ได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่แค่ฟังดูก็รู้ว่าสติของเธอคงลอยหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้อย่างแน่นอน และนั่นก็ทำให้เอเว่นที่แบกเธออยู่ต้องเผยสีหน้าหน่ายใจออกมาก่อนที่เขาจะลองพูดสอบถามเอริซาเบธขึ้นมา
“ก็อย่างที่เห็นนั่นแหล่ะครับ… พอผมถามไปว่าบ้านของอาจารย์เรย์อยู่ที่ไหนเขาก็ไม่ยอมตอบ แล้วนอกจากว่าผมจะพาอาจารย์เรย์ไปฝากขังเอาไว้ที่ป้อมยามแล้วผมก็นึกออกแค่ที่นี่แล้วน่ะครับ”
“แต่สภาพแบบนี้จะให้ไปพักที่ห้องของฉันก่อนก็คงจะไม่ไหวเหมือนกันนั่นแหล่ะค่ะ ฉันยังไม่อยากให้กลิ่นเหล้าติดอยู่ในห้องน่ะ… ถ้างั้นก็พาไปพักที่ห้องนั่งเล่นก่อนละกัน ตามมาสิคะ”
เอริซาเบธพูดตอบเอเว่นกลับไปก่อนที่เธอจะเดินนำเขาตรงไปที่ห้องนั่งเล่นรวมของทางหอพักพร้อมกับชี้นิ้วสั่งให้รีซาน่าเดินไปเปิดหน้าต่างออกเพื่อที่มันจะได้ช่วยระบายกลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ออกไปได้สักเล็กน้อยก็ยังดีก่อนที่เธอจะพูดถามเอเว่นที่เมื่อสักครู่นี้พูดชื่อของอาจารย์เทียขึ้นมา
“ว่าแต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันคะเนี่ยอาจารย์เรย์ถึงได้เมาเละเทะแบบนี้น่ะ หรืออย่าบอกนะว่าที่จริงแล้วคุณกะจะพาอาจารย์เทียไปมอมเหล้าแต่ว่าอาจารย์เรย์เขาดันผ่านมาเจอซะก่อนน่ะ?”
“ตลกตายล่ะครับนั่น! ตอนแรกผมวางแผนเอาไว้ว่าจะชวนอาจารย์เทียไปร้านที่อาจารย์อลิซแนะนำมาน่ะครับ แต่ว่าอยู่ดีๆ อาจารย์เรย์เขาก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้แล้วก็พาพวกผมไปที่บาร์เหล้าซะแทนเฉยๆ เลย… แถมยังดื่มไม่หยุดจนเป็นแบบนี้อีกต่างหากน่ะครับ!”
เอเว่นที่ได้ยินคำพูดของเอริซาเบธนั้นได้พูดตอบเธอกลับไปด้วยความอารมณ์เสีย เพราะถ้าเกิดจะให้พูดกันตามตรงแล้วตัวเขานั้นค่อนข้างที่จะไม่ชอบใจในตัวอาจารย์เรย์ที่ทำตัวไม่เหมาะสมกับอาชีพที่น่าเคารพอย่างอาจารย์สอนหนังสืออยู่แล้วแต่ก็กลับยังต้องมาช่วยพยุงอีกฝ่ายที่เมาปลื้นไม่ได้สติแถมยังเหม็นคลุ้งไปด้วยกลิ่นของมึนเมามาส่งถึงที่โรงเรียนอีกต่างหาก
ซึ่งสิ่งที่เอเว่นพูดขึ้นมานั้นก็ได้ทำให้เอริซาเบธที่รู้จักกับอาจารย์เรย์มาก่อนเขาได้แต่ยิ้มแห้งๆ และพยักหน้าเห็นด้วยอย่างช่วยไม่ได้
“แล้วก็เพราะปกติอาจารย์เทียเขาไม่ค่อยจะดื่มอยู่แล้วเขาก็เลยต้องหาคนไปช่วยกันงั้นสินะคะ เพราะปกติแล้วอาจารย์เทียเขาจะชวนฉันไปด้วยเวลาที่เธอโดนอาจารย์เรย์พาไปดื่มเหมือนกันน่ะค่ะ”
“หมายความว่าปกติแล้วอาจารย์เอริเป็นคนพาอาจารย์เรย์กลับมาส่งงั้นสินะครับเนี่ย…”
“ใช่แล้วล่ะค่ะ แต่ว่าที่ฉันสงสัยมากกว่าก็คือที่คุณเอเว่นบอกเมื่อกี้นี้ว่ากะจะชวนอาจารย์เทียไปร้านที่อาจารย์อลิซแนะนำมานั่นน่ะ มันหมายการถึงการชวนอาจารย์เทียไปทานข้าวเย็นกันสองหรือเปล่าน่ะคะ~?”
“อ่ะ—”
เอเว่นที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาเผลอหลุดปากพูดถึงเรื่องแผนการชวนอาจารย์เทียไปทานอาหารเย็นที่ได้รับการสนับสนุนจากอลิซนั้นได้ชะงักไปก่อนที่ใบหน้าของเขาจะขึ้นสีเล็กน้อยจนทำให้รีซาน่าที่เห็นแบบนั้นต้องพูดสอบถามขึ้นมาด้วยความสนอกสนใจ
“เอ๋!? จริงหรอคะคุณเอเว่น!? กับอาจารย์เทียคนนั้นน่ะหรอคะ!?”
“อ–เอ่อ… ผมน่าจะเมาจนพูดผิดๆ ถูกๆ แล้วน่ะครับ ผมหมายถึงว่าผมนัด– เอ่อ… คิดจะนัด—เอ๊ย— เอ่อ… เอาเป็นว่าวันนี้ผมขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ!”
เอเว่นที่พยายามจะพูดแก้ตัวขึ้นมาแต่หาข้ออ้างอะไรดีๆ ไม่ได้เลยนั้นได้คิดที่จะหนีไปจากสถานการณ์เบื้องหน้าเสียแทน และนั่นก็เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อเอริซาเบธได้เห็นท่าทีของเอเว่นแบบนั้น เธอก็ไม่รอช้าที่จะพูดแหย่อัศวินหนุ่มจากวังหลวงขึ้นมาในทันที
“เอ๋~ แต่ตัวของคุณเอเว่นแทบจะไม่มีกลิ่นเหล้าเลยแถมยังมีแรงแบกอาจารย์เรย์มาส่งให้ถึงที่แบบนี้นี่จะเรียกว่าเมาแล้วได้จริงๆ งั้นหรอคะเนี่ย~?”
“ป..ไปดื่มมามันก็ต้องเมาอยู่แล้วสิครับ! ถ้ายังไงผมขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ!!”
คำพูดของเอริซาเบธที่พูดขึ้นมาด้วยแววตาแพรวพราวเหมือนกับคนเจอเรื่องสนุกนั้นได้ทำให้เอเว่นตัดสินใจที่จะรีบวิ่งหนีไปในทันที และนั่นก็ทำให้เอริซาเบธหลุดเสียงหัวเราะคิกคักออกมาเล็กน้อย
“คิกคิก เป็นอัศวินแท้ๆ แต่ว่าดันขี้อายผิดคาดเหมือนกันนะนั่น~”
“ที่คุณเอเว่นพูดนั่นเรื่องจริงหรอคะนั่นอาจารย์เอริ? เรื่องของเขากับอาจารย์เทียคนนั้นนั่นน่ะค่ะ”
“แหม่~ ถ้าเธออยากรู้เจอตัวคราวหน้าก็ลองถามเขาดูสิ~”
ตุ๊บ
ในขณะที่เอริซาเบธกำลังพูดตอบรีซาน่ากลับไปอยู่นั้นเอง อาจารย์เรย์ที่เมาไม่ได้สติจนสลบไปแล้วนั้นก็ได้ขยับตัวเล็กน้อยจนร่างของเธอเสียหลักร่วงหล่นจากเก้าอี้ลงไปกองอยู่กับพื้น แต่ถึงอย่างนั้นอาจารย์เรย์ก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะตื่นกลับขึ้นมาเลยแม้แต่น้อยอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะเริ่มส่งเสียงกรนออกมาเบาๆ เสียอีกต่างหาก
ซึ่งสภาพของอาจารย์เรย์ที่ดูไม่ได้ต่างไปจากพวกคนติดเหล้าที่ถูกพนักงานของบาร์เหล้าลากออกมากองกันเอาไว้นอกร้านตอนช่วงกลางดึกเลยแม้แต่น้อยนั้นก็ได้ทำให้เอริซาเบธตัดสินใจที่จะพูดเตือนรีซาน่าผู้เป็นเด็กนักเรียนของเธอขึ้นมา
“…ถ้าเป็นไปได้เธอก็อย่าไปลองดื่มเหล้าหรืออะไรพวกนั้นเลยก็แล้วกันนะรีซาน่า ถ้าเกิดว่าเธอไม่อยากติดเหล้าจนมีสภาพเหมือนกับอาจารย์เรย์เขาแบบนี้น่ะ”
“ถ้าไม่อยากจะยุ่งก็ถอนตัวออกไปได้เลยงั้นหรอ… ถึงเธอบอกแบบนั้นก็เถอะนะ…”
ในช่วงเวลายามดึกของคืนเดียวกันนั้นเอง ทางด้านเซซิเรียที่ได้ใช้เวลาสักพักใหญ่ในการคิดทบทวนเกี่ยวกับสิ่งที่เอริกะพูดบอกเธอมานั้นก็ได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยความกลุ้มใจ
เพราะถึงแม้ว่าตัวเธอเองจะคิดว่าเมื่อเอริกะมาถึงเมืองแห่งนี้และได้ลองตรวจสอบสถานที่ที่ถูกเรียกว่า ‘ห้องควบคุม’ ดูแล้ว นักประดิษฐ์สาวอัฉริยะเพื่อนของเธอคนนั้นก็น่าจะจัดการแก้ปัญหาหมอกควันที่ปกคลุมเมืองแพนเทร่ามานานนับเดือนนี่ได้อย่างง่ายดายแน่นอนก็ตาม แต่ว่าในใจของเธอก็ยังคงรู้สึกสังหรณ์ใจอะไรบางอย่างว่าบางทีเรื่องทั้งหมดนั่นมันอาจจะไม่ได้ถูกคลี่คลายได้อย่างง่ายดายแบบนั้น
“ปัญหามันจะมีแค่หมอกพวกนี้จริงๆ งั้นหรอ…”
“เรื่องนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรอครับ เพราะถ้าเกิดว่าปัญหามันมีแค่นั้นคุณเอริกะเขาก็คงจะจัดการมันเสร็จไปตั้งนานแล้วจริงมั้ยล่ะครับ”
ในขณะที่เซซิเรียกำลังพูดพึมพำกับตัวเองอยู่นั้นเอง ที่ด้านหลังของเธอก็ได้มีเสียงของชายหนุ่มที่ฟังดูคุ้นหูดังขึ้นมาให้เธอได้ยิน ซึ่งเมื่อเซซิเรียหันกลับไปมองดู เธอก็ได้พบเข้ากับชายหนุ่มผมสีน้ำตาลนัยน์ตาสีฟ้าที่สวมใส่ผ้าปิดตาคาดดวงตาของเขาเอาไว้ข้างหนึ่งในชุดเสื้อโค๊ทสีดำที่ดูราวกับพวกนักจารกรรมที่ถนัดในการแฝงตัวไปกับความมืดอย่างไรอย่างนั้น
ซึ่งผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาด้านหลังเซซิเรียนั้นก็คือ เวก้า อดีตขุนนางหนุ่มจากเมืองรีมินัส หรือที่ตอนนี้กำลังใช้ชื่อว่า เดดารัส ที่ขาดการติดต่อจากเอริกะไปสักพักใหญ่จนเอริกะแทบจะต้องกระจายกำลังคนออกไปพลิกเมืองแพนเทร่าเพื่อค้นหาตัวเขานั่นเอง
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเดดารัสที่อยู่ๆ ก็โผล่กลับมาหาเซซิเรียด้วยตัวเองนั้นก็กลับยังคงพูดกับเซซิเรียด้วยท่าทีธรรมดาๆ ราวกับเขาไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่ากำลังถูกคนของเอริกะคว้านหาตัวอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“ก่อนที่พวกเราจะเริ่มทำอะไรกัน คุณเซซิเรียช่วยฟังคำพูดของผมก่อนจะได้หรือเปล่าครับ?”
“ถ้าเกิดว่านายคิดจะโผล่หน้ากลับมานายก็ควรจะไปหาทีเอร่าเป็นคนแรกนะ เด็กคนนั้นเขากำลังตามหาตัวนายให้วุ่นเลยน่ะ…”
เซซิเรียพูดตอบเดดารัสกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ก่อนที่ด้านหลังของเธอจะปรากฏก้อนคริสตัลสีเขียวที่ก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปร่างของหอกคริสตัลสีเขียวเช่นเดียวกับทุกครั้งที่เธอต้องเริ่มต้นต่อสู้
เพราะว่าถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้ว หลังจากที่เดดารัสหายตัวไปอย่างกะทันหันในตอนที่เมืองแพนเทร่าถูกโจมตีอีกทั้งยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมในตรอกข้างร้านขนมนั้น ทั้งเธอและเอริกะก็เริ่มที่จะไม่มั่นใจแล้วว่าตกลงเขารู้สึกผิดกับเรื่องที่เขาเคยทำลงไปและอยากที่จะชดใช้ความผิดจริงๆ หรือเปล่า
หรือว่าที่จริงแล้วเขาอาจจะเป็นเพียงแค่นักทดลองโรคจิตที่ชื่นชอบในการทดลองกับมนุษย์และหลอกพวกเธอมาตลอดเพื่อที่จะหาโอกาสในการจับคนมาทดลองแบบเดียวกับที่เขาเคยทำกับคาร์เทียร์ที่มองเขาเป็นพ่อแท้ๆ กันแน่
แต่ถึงแม้ว่าทางด้านเดดารัสจะได้เห็นว่าเซซิเรียได้เริ่มต้นเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้แล้วก็ตาม เขาก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะโต้ตอบหรือว่าวิ่งหนีเอาตัวรอดเลยแม้แต่น้อยอีกทั้งยังพูดตอบเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ จนดูน่าสงสัยอีกด้วย
“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็คงจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะครับ… แล้วผมเองก็คงจะต้องขอให้คุณเซซิเรียหยุดทำการติดต่อกับทีเอร่าแล้วก็คุณเอริกะไปสักพักนึงด้วย ถ้าเกิดว่าคุณไม่อยากจะให้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับทั้งสองคนนั้นน่ะ…”