Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 40 Last Testament
หลังจากนั้นไม่นานเอริซาเบธก็ได้เดินนำนากาและพรีมูล่าไปยังประตูเลื่อนบานหนึ่งที่อยู่ตรงด้านข้างของอาคารเรียนก่อนที่เธอจะเลื่อนมันให้เปิดออก ทำให้พวกเขาทราบว่าบานประตูที่พวกเขาคิดว่ามันคือประตูข้างของอาคารเรียนนั้นแท้จริงแล้วคือประตูของห้องพยาบาลนั่นเอง
และที่ด้านในของห้องพยาบาลก็มีอัลเบิร์ตที่กำลังนั่งคุยอยู่กับรีซาน่า ในขณะที่เซซิลซึ่งไม่ได้ไปร่วมวงด้วยนั้นก็กำลังยืนกอดอกจ้องมองโมโกะที่นอนสลบอยู่บนเตียงด้วยสีหน้านิ่งเฉย
“เป็นไงกันบ้างทุกคน~”
“อ่ะ อาจารย์เอริมาได้จังหวะพอดีเลยค่ะ”
“กว่าจะมาได้นะยัยจิ้งจอก”
เอริซาเบธที่ได้ยินนักเรียนในห้องเรียกเธอด้วยคำพูดที่ไม่เข้าหูสักเท่าไหร่นักถึงกับคิ้วกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะทำหน้ายิ้มๆ และเดินเข้าไปทุบหัวรีซาน่าทีหนึ่งเบาๆ
โป๊ก!!
“โอ๊ย– อะไรกันล่ะคะ!?”
“นี่เธอเมินคนที่เรียกเธอว่ายัยจิ้งจอกแล้วไปทุบหัวคนที่เรียกเธอว่าอาจารย์เนี่ยนะ?”
“ที่ฉันเรียกว่ายัยจิ้งจอกก็เพราะว่ายัยนั่นสมควรโดนเรียกแบบนั้นไงล่ะ แล้วอีกอย่างนึงถ้าเป็นนอกเวลาเรียนขอแค่ไม่ใช่คำหยาบคายหรือคำว่าอาจารย์จะเรียกยัยนั่นยังไงก็ได้ทั้งนั้นนั่นแหล่ะ”
หลังจากที่นากาได้เอ่ยปากถามเอริซาเบธอย่างมึนๆ อัลเบิร์ตที่กำลังจ้องมองนากาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นักก็ได้พูดตอบขึ้นมาแทนให้ ซึ่งรีซาน่าที่ได้ยินคำตอบของเขาเข้าไปก็ได้ร้องโวยวายออกมา
“แล้วคำว่ายัยจิ้งจอกมันไม่หยาบคายตรงไหนกันคะ…!?”
“หึ อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้โดนเขกหัวเหมือนเธอละกัน”
อัลเบิร์ตที่โดนรีซาน่าโวยวายใส่นั้นก็ทำเพียงแค่ยักไหล่กลับไปอย่างกวนๆ โดยปล่อยให้เอริซาเบธพูดอธิบายออกมาแทน
“ถ้าเป็นนอกเวลาเรียนพวกเธอจะเรียกฉันยังไงก็ได้อยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเป็นในเวลาเรียนหรือว่ามีอาจารย์คนอื่นอยู่ด้วยก็เรียกฉันว่าอาจารย์ละกันนะ เพราะถ้าเกิดว่าอาจารย์คนอื่นได้ยินขึ้นมาพวกเธอนั่นล่ะที่จะซวยเอง~”
“เอ๋ แต่อาจารย์ที่หมู่บ้านของหนูต่อให้เป็นนอกเวลาเรียนเขาก็ยังบังคับให้เรียกว่าอาจารย์ทุกครั้งเลยนะ”
“นั่นสิ… แล้วเธอโอเคกับการถูกเรียกว่ายัยจิ้งจอกด้วยหรอน่ะ?”
คำพูดของสองพี่น้องนั้นทำให้เอริซาเบธยักไหล่ให้พวกเขาตามอัลเบิร์ตไป ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก
“ก็นะ พวกที่ชอบให้นักเรียนเรียกตัวเองอย่างเคารพนับถือมันก็มีอยู่บ้างนั่นล่ะ แต่พวกเธอก็คิดเอาเองละกันว่าคนพวกนั้นเขาทำตัวน่านับถือจริงๆ หรือเปล่าน่ะ ส่วนเรื่องที่จะเรียกฉันยังไงนี่ก็ตามที่อัลเบิร์ตเขาพูดนั่นล่ะ ขอแค่ไม่ใช่คำหยาบก็พอแล้ว~”
“เห็นมั้ยล่ะ ขนาดยัยนี่ยังพูดออกมาเองเลย เพราะงั้นฉันไม่ผิดเลยสักนิดเดียว”
“เอ๋~ ถ้าพี่เอริพูดแบบนั้น งั้นเวลาอยู่ด้วยกันหนูขอเรียกว่าพี่เอริเหมือนเดิมละกันนะ~”
นากาที่ได้ยินพรีมูล่าพูดออกมาอย่างร่าเริงนั้นก็แทบจะกุมหัวตัวเองก่อนจะพูดเตือนในสิ่งที่ไม่น่าจะเข้าหัวน้องสาวของเขาซ้ำไปอีกทีหนึ่ง
“เฮ้อ… ไม่ใช่ว่าเธอก็กะจะทำแบบนั้นอยู่แล้วหรือไงน่ะ… แต่ว่าเวลาอยู่ในคาบเรียนหรือว่าเวลาอยู่ในเขตโรงเรียนแล้วมีคนอื่นอยู่ด้วยก็เรียกเอริเขาว่าอาจารย์ด้วยละกัน…. อ่ะ—”
ในขณะที่นากากำลังพูดเตือนพรีมูล่าอยู่นั่นเอง เขาก็เหลือบไปเห็นเซซิลที่ยืนกอดอกมองดูอาการของโมโกะอยู่เงียบๆ นั้นได้เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองเขาด้วยสายตาอาฆาตตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ซึ่งนากาที่เห็นอีกฝ่ายกำลังจ้องตนแบบตาไม่กะพริบนั้นก็พยายามที่จะยิ้มตอบกลับอีกฝ่ายไป
“……”
แต่ก็เหมือนกับว่ารอยยิ้มของเขานั้นได้ไปกระตุ้นต่อมอะไรของอีกฝ่ายเข้า จนทำให้เธอหน้านิ่วคิ้วขมวดไปยิ่งกว่าเดิมซะอีก และเมื่อเป็นแบบนั้นนากาก็ไม่มีทางเลือก จึงได้แต่เอาแขนของเขาไปคล้องคอของอัลเบิร์ตที่เป็นผู้ชายอีกคนและเหมือนว่าจะเป็นเพื่อนของอีกฝ่ายเข้ามากระซิบถามใกล้ๆ
“น—นี่ ไหงเซซิลเขาจ้องมาทางฉันเขม็งแบบนั้นล่ะ?”
“จะเข้ามาใกล้ทำไมฟะ หยะแหยงเฟ้ย!”
ถึงแม้ว่าอัลเบิร์ตจะพยายามดันหน้าของเขาให้ออกห่างไปแล้วยังพูดขึ้นมาแบบไม่เกรงใจเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าอัลเบิร์ตก็ยังยอมหันไปมองท่าทางของเซซิลให้นากาอยู่ดี
และเมื่อเขาหันไปเห็นเซซิลที่กำลังยืนจ้องนากาที่อยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเคียดแค้นก็ทำให้เขาที่ยืนอยู่ระหว่างนากากับเซซิลนั้นเหงื่อไหลพรากและรีบกระซิบตอบกลับไปเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ยอมปล่อยคอของเขาไวๆ
“นี่นายไปทำอะไรให้ยัยนั่นโกรธหรือเปล่าน่ะ? ปกติถึงยัยนั่นจะไม่ค่อยพูดก็เถอะ แต่ว่าก็ไม่ถึงขั้นจ้องกันเหมือนจะฟันคอให้ขาดแบบนี้นะ”
“ฉันก็เพิ่งจะเจอกับเซซิลวันนี้เนี่ยแหล่ะ!ที่ทำก็มีแค่ประดาบกันแล้วก็เตะเธอให้พ้นจากขวานของรีซาน่า อีกอย่างก็ผละมือจากเธอไปช่วยน้องสาวของฉันน่ะ…”
นากาที่พยายามนึกถึงเรื่องที่เขาทำหลังจากที่ได้เจอกับเซซิลก็ค่อยๆ ไล่พูดขึ้นมาตามที่เขาคิดออก และสิ่งที่เขาพูดนั้นก็ทำให้อัลเบิร์ตแทบจะตาเหลือก
“นี่นายจะบ้าเรอะ!!ไปเตะยัยนั่นแบบนั้นน่ะ แล้วยังผละมือจากการประลองอีก แบบนั้นยัยนั่นไม่โกรธก็แปลกแล้ว!”
“ต—แต่นั่นมันเพราะว่าฉันเห็นเธออยู่วิถีขวานของรีซาน่านะ… แล้วที่ผละมือไปก็เพราะว่าจะหาโอกาสไปช่วยน้องสาวฉันแค่นั้นเอง… —-!?”
ในระหว่างที่นากากำลังอธิบายเหตุผลที่เขาทำมันลงไปให้อัลเบิร์ตฟัง เซซิลก็ได้เอื้อมมือไปหยิบดาบของเธอมาถือเอาไว้และเดินตรงมายังพวกเขาโดยไม่พูดไม่จา
“ซวยแล้วไง!ยัยนั่นเดินมาทางนี้แล้ว ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ ถ้านายอยากโดนเชือดก็โดนไปคนเดียวสิ!!”
“นายน่ะ…ชื่อนากาสินะ…?”
“—!? ครับ!! นากาเองครับ!”
“รอบหน้าฉันกับนาย…แค่สองคน…”
“อ—เอ๋?”
ทันทีที่เซซิลพูดจบ เธอก็เดินไปหาเอริซาเบธและพูดอะไรบางอย่างกันเล็กน้อย ก่อนที่เซซิลจะค้อมหัวลงให้กับเอริซาเบธและหันหลังกลับพร้อมกับเดินออกจากห้องพยาบาลไปในทันที
ส่วนทางด้านนากาที่ไม่ได้เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายจะสื่อเลยแม้แต่น้อยก็ได้แต่หันไปมองอัลเบิร์ตที่โดนเขาล็อกคออยู่สีหน้ามึนๆ
“จะหันมาทางนี้ทำไมเล่า!”
“ที่เซซิลเขาพูดว่า ‘แค่สองคน’ นั่นหมายความว่าไงน่ะ?”
“หา? แล้วฉันจะไปรู้มั้ยเล่า!?”
ถึงแม้ว่าอัลเบิร์ตจะโวยวายกลับมา แต่ว่าเขาก็ก้มหน้าลงและพยายามช่วยนากานึกถึงสิ่งที่เซซิลต้องการจะสื่อ
“…แต่ว่าอย่างยัยนั่น สมองไม่น่าจะคิดอะไรนอกจากเรื่องการฝึกวิชาดาบหรอก ถ้าพูดว่าแค่สองคนก็คงจะหมายถึงคราวหน้ามาสู้กันตัวต่อตัวอะไรแบบนั้นล่ะมั้ง”
“นี่หมายความว่าฉันโดนเซซิลท้าดวลกันตัวต่อตัวงั้นหรอ?”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง แต่ถ้านายอยากรู้จริงๆ ก็ลองไปถามเจ้าตัวดูเองสิ …แล้วก็ปล่อยฉันได้แล้ว”
อัลเบิร์ตได้ตอบคำถามนากากลับไป ก่อนจะสะบัดตัวเองให้หลุดจากแขนของนากาที่ล็อกคอของตนอยู่ แล้วจึงเสยเส้นผมสีม่วงของเขาให้เข้าที่เข้าทางและเดินกลับไปนั่งใกล้ๆ รีซาน่าตามเดิม
ในขณะที่นากานั้นก็หันไปมองสำรวจดูรอบๆ ห้องพยาบาล และพบว่านอกจากเตียงริมกำแพงที่โมโกะนอนอยู่แล้วก็ยังมีเตียงอีกสองเตียงที่พวกอัลเบิร์ตกับเอริซาเบธแล้วก็พรีมูล่าได้เอามาใช้เป็นที่นั่งคุยกัน
และทางด้านกำแพงอีกฝั่งนั้นก็มีตู้ยาขนาดใหญ่สองตู้ตั้งอยู่ติดกัน แล้วใกล้ๆ กันก็ยังมีโต๊ะเขียนเอกสารตั้งอยู่ด้วย
“แล้วนี่อาจารย์ประจำห้องพยาบาลหายไปไหนล่ะ? หรือว่าเพราะปิดภาคเรียนอยู่ก็เลยให้นักเรียนดูแลกันเองน่ะ?”
“ม… ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะนากาคุง เมื่อกี้นี้ผู้ช่วยอาจารย์เขายังอยู่ในห้องเลยนะคะ แต่ว่าเธอเพิ่งจะออกไปหยิบเอกสารก่อนที่พวกนากาคุงจะเข้ามาเองน่ะค่ะ”
“ผู้ช่วยอาจารย์หรอ?”
“หึหึหึ~”
ทันใดนั้นเองเอริซาเบธที่นั่งฟังเหล่านักเรียนของเธอคุยกันอยู่นั้นก็ได้ยกมือขึ้นมาป้องปากและแอบหัวเราะออกมาเล็กน้อย จนทำให้นากาและพรีมูล่าต้องรีบหันไปมองเธออย่างไม่ไว้วางใจในทันที ในขณะที่อัลเบิร์ตนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เฮ้อ… ยัยนี่หัวเราะแบบนี้หมายความว่าแอบวางแผนอะไรไว้อีกแหงๆ”
“นั่นสิ พี่เอริหัวเราะแบบนี้มันต้องมีประเด็นแน่เลยอ่ะ!”
“เปล๊าาาา~ เดี๋ยวพวกเธอก็รู้เองแหละไม่ต้องรีบหรอก~”
“เธอพูดแบบนี้ยิ่งไม่น่าไว้ใจเข้าไปใหญ่…”
ครืดดดดดด—ปึก!
หลังจากที่นากาขมวดคิ้วพูดกับเอริซาเบธได้ไม่นาน ประตูของห้องพยาบาลทางฝั่งด้านในตัวอาคารนั้นก็ถูกดันให้เปิดออก พร้อมๆ กับที่มีเด็กสาวร่างเล็กในชุดเดรสสีขาวคนหนึ่งเดินเข้ามา โดยที่ในมือของเธอก็อุ้มกล่องเอกสารจำนวนหนึ่งที่ซ้อนกันจนสูงท่วมหัวมาด้วย
“ล—หลบหน่อยค่ะ ขอทางหน่อยค่าาาา!”
เสียงที่ฟังดูคุ้นหูของเด็กสาวตรงหน้าดังขึ้นมาให้นากาได้ยิน ก่อนที่เด็กสาวตรงหน้าจะเดินผ่านเขาไปเพื่อที่จะวางกล่องเอกสารเหล่านั้นไว้บนโต๊ะที่เขานั่งอยู่ โดยเผยให้เห็นเส้นผมยาวสีเทาและใบหน้าที่ดูคุ้นตา
“ฟู่ว… นึกว่าจะทำตกซะแล้วสิ… อ๊ะ สวัสดีค่ะพี่นากากับพี่พรีมูล่า มาทำอะไรกันที่นี่หรอคะ?”
“อ๊ะ แมร—- คาร์เทียร์จังนี่นา! ยังปลอดภัยอยู่เหมือนกับที่พี่นากาบอกจริงๆ ด้วยอ่ะ!!”
“พ—พี่พรีมูล่า!? ด—เดี๋ยวก่อนสิคะ–”
ทันทีที่พรีมูล่าสังเกตเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายนั้น เธอก็เกือบจะเผลอหลุดปากชื่อที่แท้จริงของเด็กสาวตรงหน้าออกมา แต่ว่าเธอก็สามารถยั้งปากเอาไว้ได้ทันและพุ่งเข้าไปกอดพร้อมกับเอาแก้มถูกหน้าของอีกฝ่ายไปมาโดยไม่สนเสียงร้องห้ามของเด็กสาวเลยแม้แต่น้อย จนทำให้นากาต้องรีบดึงคอเสื้อของพรีมูล่าออกมาก่อน
“นั่นมันคำถามของฉันต่างหากล่ะคาร์เทียร์ พวกฉันน่ะมาเข้าสอบที่นี่ แต่ว่าทำไมรีซาน่าเขาถึงพูดเหมือนกับว่าเธอเป็นผู้ช่วยอาจารย์ประจำห้องพยาบาลเลยล่ะ?”
นากาเอ่ยปากถามคาร์เทียร์ออกมาด้วยความประหลาดใจ โดยมีพรีมูล่าพยักหน้าหงึกๆ เสริมอยู่ข้างๆ
แต่ว่ายังไม่ที่คาร์เทียร์จะได้ตอบอะไรกลับมา อัลเบิร์ตที่ได้ยินพรีมูล่าหลุดปากอะไรบางอย่างออกมาแถมยังพูดเหมือนกับว่าเด็กสาวที่เพิ่งจะเข้ามาในห้องเคยเจอกับอันตรายอะไรบางอย่างจนทำให้พรีมูล่าต้องเป็นห่วงความปลอดภัย
เขาก็คิดว่ากลุ่มคนตรงหน้าคงจะรู้จักกันมาก่อนและอาจจะมีเรื่องอะไรบางอย่างที่อยากเก็บไว้เป็นความลับ เขาจึงได้ตัดสินใจที่จะพูดแทรกขึ้นมาและดึงตัวรีซาน่าให้ตามเขาไปในทันที
“ในเมื่อหมดเรื่องแล้วแบบนี้ เดี๋ยวฉันพารีซาน่าไปจัดการเอกสารที่พวกอาจารย์เขาฝากให้ทำก่อนละกัน พวกนายก็คุยกันไปตามสบายเลย”
“อ—เอ๋ะ? พวกเรามีอะไรแบบนั้นต้องทำด้วยหร—”
“ชู่ว! ยัยเขาทุยนี่ เงียบไว้แล้วตามฉันมาเถอะหน่า!”
“อย่ามาพูดเหมือนกับว่าคนอื่นเขาเป็นควายกันแบบนั้นสิคะ!!”
รีซาน่าที่ได้ยินว่าพวกเธอต้องไปจัดการเอกสารนั้นก็พูดขึ้นมาด้วยท่าทีสับสน แต่ว่าอัลเบิร์ตก็รีบเอามือมาอุดปากของเธอเอาไว้ในทันทีและรีบลากเธอให้ตามไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว
“แหม~ เซ้นส์ดีจังเลยนะอัลเบิร์ตเนี่ย แต่ว่าต่อให้พริมจังเผลอหลุดปากออกมาจริงๆ นากาคุงก็น่าจะหาข้ออ้างได้อยู่แล้วนี่นะ~”
“น…นั่นสินะคะ”
เอริซาเบธที่มองไล่หลังอัลเบิร์ตไปนั้นก็แอบยิ้มออกมาเล็กน้อยและพูดขึ้นมา โดยคาร์เทียร์เองยืนพยักหน้าเห็นด้วยอยู่ข้างๆ ก่อนที่เธอจะหันกลับไปตอบคำถามของนากาที่ถามเอาไว้ก่อนหน้านี้
“พอดีว่าก่อนหน้านี้พี่เอริกะเขามาชวนให้หนูเข้าเรียนที่นี่ด้วยน่ะค่ะ เห็นบอกว่าเพราะไหนๆ หนูก็ต้องแวะมาช่วยงานที่ห้องพยาบาลนี่บ่อยๆ อยู่แล้ว”
“แล้วเธอก็เลยตอบตกลงไปน่ะนะ?”
“ค่ะ แต่ว่าพี่เอริกะเขาเป็นห่วงว่าหนูจะยังควบคุมพลังได้ไม่คล่อง ก็เลยส่งให้หนูมาเป็นผู้ช่วยห้องพยาบาลนี่ไปก่อนน่ะค่ะ”
“เห~ แล้วแบบนี้พี่อารอนเขาไม่เป็นห่วงแย่หรอคาร์เทียร์จัง? ปกติเห็นขี้กังวลจะตายนี่นา~”
เมื่อพรีมูล่าได้ยินว่าเอริกะได้ส่งคาร์เทียร์มาทำงานอยู่ในห้องพยาบาลของโรงเรียนแบบนี้ เธอก็ถามออกมาอย่างแปลกใจว่าพี่อารอนของพวกเธอนั้นยอมปล่อยเด็กสาวคนนี้มาตัวคนเดียวได้ยังไง
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ถ้าเกิดว่าหนูมาเป็นผู้ช่วยห้องพยาบาลแบบนี้ แล้วยังจะมีโอกาสได้เป็นนักเรียนของที่นี่ด้วย เผลอๆ หนูจะได้อยู่กับพี่อารอนเขาบ่อยกว่าอยู่เฉยๆ ที่คลินิกอีกนะคะ”
“เอ๋ะ?”
“เอ๋?”
คำตอบของคาร์เทียร์นั้นทำให้นากาได้แต่ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ ด้วยความสับสนว่าตัวเองฟังอะไรพลาดไปหรือเปล่า แต่ว่าเมื่อคาร์เทียร์เห็นท่าทางของนากาแล้วเธอก็ร้องกลับมาอย่างประหลาดใจเช่นเดียวกัน ในระหว่างที่เอริซาเบธนั้นก็กำลังพยายามกลั้นขำอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่
“คิกคิกคิก~”
แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้หันไปคาดคั้นเอริซาเบธว่าเธอแอบปิดปังเรื่องอะไรเอาไว้เพื่อความสนุกส่วนตัวอีกหรือเปล่า เขาก็เหลือบไปเห็นร่มเก่าๆ สีดำอันหนึ่ง ที่เขามั่นใจว่าเคยเห็นคนคนหนึ่งพกมันไว้แทบจะตลอดเวลาตั้งแต่สมัยเขายังเด็กซะก่อน
“เดี๋ยวนะ ร่มคันนั้น— อย่าบอกนะว่าอาจารย์ประจำห้องพยาบาลที่ว่านั่น—”
“บ้านนนนนน~!”
ตุ๊บ!
ทางด้านเอริกะที่แอบกลับมาบ้านก่อนโดยไม่รอพวกนากานั้นก็ได้ร้องออกมาอย่างดีใจและโดดลงไปนอนแผ่อยู่บนโซฟาของห้องนั่งเล่นด้วยท่าทีอ่อนแรงในทันที
ก่อนที่คอนแนลที่ได้ยินเสียงของเอริกะนั้นจะโผล่หน้าออกมาจากห้องครัวและพูดต้อนรับเอริกะขึ้นมา
“อ่ะ— ยินดีต้อนรับกลับมาครับคุณเอริกะ แล้วคนอื่นๆ ล่ะครับ?”
“พวกนากาเขาเดินเล่นกันอยู่ที่โรงเรียนน่ะ ส่วนโมโกะก็ร่วงไปอีกรอบแล้วเพราะว่าฝืนตัวเองมากไปในระหว่างสอบ แต่ว่าถึงมือหมอแล้วล่ะ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอก”
“งั้นหรอครับ… อ้อ แล้วก็เมื่อสักครู่นี้เจ้าแผ่นสี่เหลี่ยมสีดำที่คุณเอริกะบอกว่าเป็นอุปกรณ์สื่อสารมันดังขึ้นมาอีกแล้วน่ะครับ ถึงผมจะห้ามไว้แล้วก็เถอะ แต่ว่าอลิซเขาบอกว่าอาจจะเป็นเรื่องด่วนก็ได้ก็เลยเข้าไปรับสายให้แทนน่ะครับ”
“หะ…?”
ทันทีที่เอริกะได้ยินคำพูดของคอนแนล สีหน้าอันอ่อนเพลียของเธอก็ได้เปลี่ยนกลายเป็นระแวดระวังในทันที ก่อนที่เธอจะยันตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งและถามคอนแนลด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เครื่องนั่นมันอยู่ในห้องออฟฟิศของฉันไม่ใช่หรอ? แล้วอลิซเขาเข้าไปได้ยังไงน่ะ?”
“เอ๋ะ? ก็เปิดประตูเข้าไปเฉยๆ เลยนี่ครับ ผมเห็นอลิซเขาแค่จิ้มๆ ที่ตัวกลอนประตูเท่านั้นเองนะครับ”
“เปิดเข้าไปได้หรอ… ถ้างั้นเดี๋ยวฉันไปถามเจ้าตัวเองเลยก็ละกัน เธอยังอยู่ในห้องของฉันหรือเปล่าน่ะ?”
“ครับ ผมยังไม่เห็นเธอออกมาจากห้องออฟฟิศเลยนะครับ”
คอนแนลที่กำลังเดินกลับเข้าไปทำอะไรสักอย่างในครัวนั้นไม่ได้เห็นสีหน้าจริงจังของเอริกะเลยแม้แต่น้อย เขาจึงได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ เพราะคิดว่าเอริกะคงจะบอกวิธีเปิดห้องออฟฟิศของเธอไว้ให้กับอลิซเผื่อในกรณีฉุกเฉิน
แต่ว่าทันทีที่เอริกะได้ยินคำยืนยันจากปากของคอนแนลแล้ว เธอก็ลุกขึ้นจากโซฟาและไปหยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นหนังสือและยัดมันใส่กระเป๋าเสื้อกาวน์ของตัวเองไป ก่อนที่เธอจะรีบเดินตรงเปิดประตูออฟฟิศของตนอย่างรีบร้อน
ปึ้ง!
ทันทีที่เอริกะลอดกายเข้าไปในห้องออฟฟิศแล้วเธอก็รีบปิดประตูลงในทันที และหันไปมองยังหญิงสาวร่างเล็กที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะทำงาน โดยข้างกายของเธอนั้นก็มีอุปกรณ์ที่หน้าตาคล้ายกับยูนิตที่เวก้าขโมยไปจากห้องเก็บอุปกรณ์ในวังหลวงวางเอาไว้
ซึ่งเด็กสาวผมสีขาวตรงหน้าเธอก็ได้ละสายตาจากอุปกรณ์บนโต๊ะและเงยหน้าขึ้นมามองเอริกะที่กำลังปิดล็อกประตูอย่างแน่นหนาอยู่โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
“…เธอเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง”
“พอดีว่าฉันรู้รหัสผ่านของห้องนี้น่ะ… รวมถึงรหัสของเจ้าโทรศัพท์นี่ด้วย…”
“เธ—”
แต่ยังไม่ทันที่เอริกะจะได้พูดอะไรออกมา อลิซก็ได้หยิบเอาแผ่นโลหะสี่เหลี่ยมสีดำขึ้นมาให้เอริกะดู ก่อนที่เธอแตะไปที่ด้านที่เป็นกระจกใสของมันจนมันเรืองแสงออกมา
ปิ๊บ
ทันทีที่เห็นแบบนั้น เอริกะก็ขมวดคิ้วด้วยท่าทีเคร่งเครียดและพูดถามเธอด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวออกมาในทันที
“อลิซ…นี่เธอเป็นใครกันแน่”
“เอาเป็นว่าฉันไม่ใช่ศัตรูของเธอก็ละกัน…”
“ไม่ใช่ศัตรูงั้นหรอ…”
อลิซพูดตอบเอริกะกลับมาสั้นๆ ก่อนที่เธอจะโยนแผ่นโลหะสีดำที่เธอเรียกมันว่าโทรศัพท์กลับคืนไปให้เอริกะและพูดออกมาต่อ
“พวกเซซิเรียเขาติดต่อมา… เห็นบอกว่าเสาสัญญาณทางตอนเหนือจะถูกโจมตีน่ะ…”
“—!? แล้วพวกนั้นเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“นอกจากนิลิมที่ถูกปักแขนเอาไว้ด้วยกันตั้งแต่ที่แพนเทร่ากับเรื่องที่ถูกคนไล่ตามมาจนเกือบจะถึงรีมินัสก็ไม่มีอะไรมากหรอก… เหมือนว่าจะได้ชาวบ้านแถวนั้นช่วยเอาไว้พอดีน่ะ”
เอริกะที่ได้ยินอลิซตอบกลับมาแบบนั้นก็พอจะโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง แต่ว่าเธอก็ยังคงจ้องมองอลิซอย่างระมัดระวังอยู่ดี พร้อมกับพยายามลองถามดูเผื่อว่าอลิซจะเผลอหลุดปากอะไรออกมาให้เธอได้รู้
“งั้นหรอ… แล้วตอนที่เธอรับสายเธอตอบพวกนั้นไปว่าอะไรล่ะ? ถ้าเซซิเรียเขาไม่ได้ยินเสียงของฉันก็คงจะถามขึ้นมาอยู่แล้วใช่หรือเปล่าล่ะ?”
“ก็พูดไปตามจริงนั่นล่ะ ว่าฉันเป็นสมาชิกคนใหม่ของกลุ่มเธอ แล้วเธอก็ติดธุระอยู่ฉันเลยมารับสายให้แทน… ส่วนเรื่องแขนของนิลิมก็แค่บอกไปว่าให้รีบกลับมาให้อารอนรักษาให้เหมือนกับทุกทีนั่นล่ะ”
“รู้เรื่องระหว่างสองคนนั้นด้วยหรอ… ถ้ารู้ขนาดนั้นแล้วเซซิเรียจะไม่สงสัยก็คงไม่แปลกหรอก”
เอริกะพูดตอบกลับมาพลางเอามือที่กำลังถือเครื่องโทรศัพท์นั้นใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อกาวน์เหมือนกับว่าจะเก็บมันใส่กระเป๋า และทันใดนั้นเองก็ได้มีละอองแสงสีขาวเม็ดเล็กๆ ฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง พร้อมๆ กับที่เอริกะได้เผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมาอีกครั้งและเอ่ยปากถามอลิซซ้ำขึ้นมา
“แต่ว่าเรื่องของสองคนนั้นเอาไว้ก่อนดีกว่า… ตอนนี้บอกมาได้แล้วว่าเธอเป็นใครกันแน่!!”
ถึงแม้ว่าจะเห็นเอริกะมีท่าทีเคร่งเครียดและยังมีละอองแสงแบบเดียวกับตอนที่เธอเรียกดาบของตนออกมาฟุ้งกระจายอยู่เต็มห้องก็ตาม
แต่ว่าอลิซก็ทำเพียงแค่ยื่นมือของตนออกมาหงายขึ้นอยู่เบื้องหน้าจนทำให้เกิดละอองแสงขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่ง และละอองแสงที่เพิ่งจะก่อตัวขึ้นมานั้นก็ได้พุ่งเข้ามารวมกันอยู่ที่เหนือฝ่ามือของเธอ
“ก่อนหน้านี้ฉันก็บอกแล้วไม่ใช่หรอ… ว่าฉันมีของที่จะโชว์ให้เธอเห็นนอกจากดาบนั่นเหมือนกันน่ะ…”
ทันทีที่อลิซพูดจบ ละอองแสงที่รวมตัวบนฝ่ามือของเธอนั้นก็ได้กระจายตัวออกไป และเผยให้เห็นหนังสือปกสีน้ำตาลประดับลายบางๆ เล่มหนึ่งที่กำลังลอยหมุนอยู่ช้าๆ อยู่เหนือฝ่ามือของเธอ
“หนังสือนั่น—!?”
เอริกะที่เห็นหนังสือเล่มนั้นได้เผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมา ก่อนที่เธอจะหยิบเอาหนังสือเล่มที่เธอหยิบติดตัวมาด้วยก่อนจะเดินเข้ามาในออฟฟิศออกมา ซึ่งทั้งสี ขนาด และลวดลายบนหน้าปกของมันนั้นก็เหมือนกับหนังสือเล่มที่ลอยอยู่เหนือฝ่ามือของอลิซอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“เอริกะ ซิกมอร์… มีคนฝากเจ้านี่มาถึงเธอ…”