Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 52 Inept Presider
ไดเอน่าที่เห็นทุกคนในห้องหันไปมองเธออย่างประหลาดใจนั้นเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ก่อนที่เธอจะพยายามกลั้นรอยยิ้มของตนไว้และพูดขึ้นมา
“อุ๊ฟ— ล้อเล่นจ้ะ ล้อเล่น~ พวกเธอคงจะเป็นนากาคุงกับพรีมูล่าจังที่ฉันฝากเซซิลไปส่งจดหมายให้งั้นสินะ”
“ฟู่ว… ตกใจหมดเลย”
“โหว! หนูก็นึกว่าพี่นากาพาหนูมาผิดห้องแล้วซะอีกนะเนี่ย~!”
“เงียบไปเลยนะพรีมูล่า!”
นากาที่เห็นว่าประธานนักเรียนชื่อดังคนนั้นก็แอบมีด้านขี้เล่นอยู่บ้างเหมือนกันก็ได้พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกและหันไปพูดดุพรีมูล่าอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเหลือบไปเห็นมายะที่กำลังพยายามยืนหลบอยู่หลังบานประตูโดยยื่นหน้าออกมาเล็กน้อยเพื่อแอบดูพวกเขาอยู่อย่างกล้าๆ กลัวๆ
“เธอคนนั้นชื่อว่ามายะ เป็นเลขาของฉันเองจ้ะ พอดีว่าเธอไม่ค่อยคุ้นเคยกับคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่ ฉันต้องขอโทษแทนเธอด้วยนะ… ถ้ายังไงเอาเป็นว่าเข้ามานั่งด้านในก่อนสิ”
“ย— ยินดีต้อนรับ… ค… ค่ะ…”
“อ–อ่า ขอรบกวนด้วยนะครับ”
เมื่อได้ยินไดเอน่าเอ่ยปากแนะนำตัวเพื่อนของเธอออกมาและเชิญให้พวกเขาเข้าไปนั่งพักกันด้านใน นากาจึงได้ค้อมหัวให้กับหญิงสาวผมสีม่วงพร้อมกับเดินนำทุกคนเข้าไปข้างในห้องกันก่อนที่ไดเอน่าจะพูดสอบถามพวกเขาขึ้นมา
“ถ้างั้นก็เข้าเรื่องกันเลยละกัน จริงหรือเปล่าที่ว่าพวกเธอไปต่อสู้กับทหารของเมืองอื่นมากันเมื่อวันก่อนน่ะ?”
“อ๋อ!! เรื่องนี้นี่เอ—–”
“….”
ทันทีที่พรีมูล่าได้ยินคำถามของประธานนักเรียนเข้าไปนั้นเธอก็ทุบกำปั้นลงกับมือของตัวเองและร้องออกมาเสียงดังจนทำให้นากาต้องรีบยื่นมือไปอุดปากน้องสาวของเขาเอาไว้ ในขณะเซซิลนั้นก็นั่งกอดอกปิดปากเงียบโดยปล่อยให้นากาเป็นคนจัดการไป
ส่วนทางด้านนากาที่ยื่นมือไปอุดปากน้องสาวของเขาเอาไว้แล้วก็กำลังนั่งหน้าซีดอยู่ เพราะถึงแม้ว่าเอริกะจะเคยบอกเอาไว้ว่าทางโรงเรียนนั้นไม่ได้ขึ้นตรงกับวังหลวงของรีมินัสก็ตามที แต่ว่าถ้าเกิดเรื่องที่พวกเขาทำลงไปมันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างเมืองขึ้นมามันก็อาจจะกลายเป็นอีกกรณีหนึ่งไปเลยก็ได้
“ทำท่าทางแบบนั้นนี่คงจะเป็นเรื่องจริงงั้นสินะ ฝากเธอจดบันทึกเอาไว้ด้วยละกันนะจ๊ะมายะจัง~”
“ค—ค่ะ!”
“ด—เดี๋ยว—”
“หว๊าย…”
ไดเอน่าที่เห็นท่าทางและสีหน้าของนากานั้นสามารถดูออกได้อย่างไม่ยากเย็นสักเท่าไหร่นักและหันไปสั่งงานมายะที่เพิ่งจะยกถ้วยน้ำชามาส่งให้ผู้มาเยือน ทำให้เด็กสาวผมม่วงรีบหยิบกระดาษและปากกาออกมาจดรายละเอียดเอาไว้ในทันที ซึ่งนากาก็เหลือบมองมายะที่กำลังจดอะไรบางอย่างลงเอกสารอย่างรวดเร็วและพูดถามไดเอน่าขึ้นมา
“นี่พวกฉันจะโดนลงโทษอะไรหรือเปล่าเนี่ย?”
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกจ้ะ เพราะถ้าว่ากันตามตรงแล้วการที่พวกเธอเข้าไปขวางทหารพวกนั้นเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใกล้เมืองมาได้ก็นับว่าเป็นผลดีกับทางเมืองมากกว่าซะด้วยซ้ำ แต่ว่าถ้ายังไงฉันก็คงจะต้องขอสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมด้วยอยู่ดีล่ะนะ”
“อ–อื้ม”
“เย้~ หนูก็นึกว่าพี่นากาจะถูกไล่ออกตั้งแต่ยังไม่เปิดเรียนแล้วซะอีก~”
“เฮ้อ…”
นากาตอบไดเอน่ากลับไปอย่างโล่งอก ในขณะที่พรีมูล่านั้นก็ยกไม้ยกมือแสดงอาการดีใจเต็มที่แบบไม่เกรงใจใคร ส่วนเซซิลเองก็แอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจด้วยเช่นกัน
“เอาล่ะ ถ้างั้นพวกเธอช่วยบอกรายละเอียดของทหารพวกนั้นให้ฉันหน่อยได้มั้ย? อย่างลักษณะการแต่งกายหรืออาวุธของพวกเขาน่ะ ถ้าได้ข้อมูลตรงนี้มาน่าจะช่วยงานฉันได้เยอะเลยล่ะ”
“อื้ม…”
“อ–อ่า ได้สิ”
ซึ่งถึงแม้ว่าเซซิลจะเป็นคนพยักหน้าตอบตกลงไปก่อนก็ตาม แต่ว่าเธอก็กลับกอดอกจ้องมองนากาอยู่อย่างเงียบๆ จนทำให้เขาต้องเป็นคนเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงและทหารชุดดำพวกนั้นให้คุณประธานนักเรียนฟังเอง และเมื่อไดเอน่าได้ฟังลักษณะการแต่งกายของทหารเหล่านั้นแล้ว เธอก็หันไปคุยกับมายะที่กำลังก้มหน้าก้มตาจดรายละเอียดอยู่
“ทหารในชุดผ้าสีดำที่ใช้ดาบคาตานะกับผู้หญิงผมชมพูที่มีดาบใหญ่ที่ปล่อยเปลวไฟออกมาได้แบบคาตานะของเซซิลแถมยังมีพาร์ทเสริมที่เป็นแขนกลอีกด้วยงั้นหรอ… เธอคิดว่ายังไงบ้างล่ะมายะ?”
มายะที่อยู่ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายถามขึ้นมานั้นก็สะดุ้งตกใจจนเกือบจะทำปากกาหลุดมือไป ก่อนที่เธอจะรีบตอบอีกฝ่ายกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอนและลังเลพร้อมกับแอบเหลือบมองทางพวกนากาไปด้วย
“ถ—ถ้าถามฉัน ฉันคิดว่าเครื่องแบบของพวกเขาคล้ายกับบางหน่วยของเมืองซายูกิอยู่บ้างนะคะ… ต…แต่ว่าวิธีการกับอุปกรณ์ของพวกเขาไม่เหมือนกับวิถีของเมืองซายูกิสักเท่าไหร่เลยค่ะ.. เพราะงั้นฉันเลยคิดว่าอาจจะเป็นทหารรับจ้างไร้สังกัดจากทิศตะวันออกที่ขัดผลประโยชน์กับทหารรับจ้างอีกกลุ่มหนึ่งมากกว่า… มั้งคะ…?”
“เฮ้อ… ก็หลังจากที่เมืองซายูกิถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนแล้วพวกเขาก็ปิดเมืองแทบไม่ให้คนนอกเข้าออกเลยนี่นะ เพราะงั้นพวกเราก็เลยไม่รู้ว่าพวกเขาเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้างแล้วหรือเปล่าสินะจ๊ะ”
“ค…ค่ะ… น… นอกจากคนไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกเมืองแล้ว พ…พวกเราก็แทบไม่มีข้อมูลของเมืองซายูกิในตอนนี้เลยล่ะ”
มายะพูดออกมาพร้อมกับเหลือบไปมองเซซิลอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนที่เธอจะรีบหันกลับไปหาไดเอน่าอีกครั้งอย่างรวดเร็วเมื่อถูกเซซิลเหลือบสายตามาจ้องเธอกลับ ซึ่งไดเอน่าที่เหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนของเธออยากจะสื่อก็ได้พูดถามพวกนากาขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่จากที่เธอเล่ามานี่ดูเหมือนว่าหัวหน้าของอีกฝ่ายจะมีท่าทีเหมือนกับว่าสนใจเซซิลเป็นพิเศษใช่มั้ย?”
“อื้อ ตอนที่ฉันเพิ่งจะไปถึงฉันเห็นผู้หญิงผมชมพูนั่นทำท่าเหมือนกับจะสั่งให้พวกลูกน้องจับตัวเซซิลไปน่ะ แต่ว่าอยู่ดีๆ เธอก็หันไปกระทืบเซซิลต่อเหมือนกับว่าแค้นอะไรกันมาก่อนแทนนั่นล่ะ แล้วก็เหมือนว่าก่อนหน้านี้เซซิลเขาจะโดนทั้งต่อยทั้งเตะทั้งเหยียบมาสักพักแล้วด้วยล่ะ ฉันก็เลยต้องรีบเข้าไปช่วยเพราะไม่งั้นเดี๋ยวเซซิลเขาจะท้องแตกไปซะก่อนน่ะ”
ผั่วะ!!
“โอ๊ย!! ทำอะไรของเธอเนี่ย?”
ในขณะที่นากากำลังบรรยายฉากการทำร้ายร่างกายที่หญิงสาวผมชมพูกระทำต่อเซซิลอยู่อย่างออกรสนั้น เซซิลก็ได้พุ่งมือเข้าไปต่อยนากาอย่างแรงทีหนึ่ง ก่อนที่เธอจะชักมือกลับมายกแก้วน้ำชาดื่มด้วยสีหน้านิ่งๆ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
“ถ้างั้นเซซิลจังพอจะรู้หรือเปล่าว่าทำไมหัวหน้าของพวกนั้นถึงได้สนใจเธอเป็นพิเศษน่ะ?”
“…..”
เมื่อเซซิลได้ยินคำถามของไดเอน่าแล้วเธอก็หันหน้าหนีไปอีกทางและปิดปากเงียบโดยไม่ยอมพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แต่ว่าไดเอน่านั้นก็กลับเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาแทน
“ไม่ยอมตอบแต่ก็ไม่ได้พูดปฏิเสธเพราะว่าไม่อยากโกหกงั้นสินะจ๊ะเซซิลจัง~ มายะอย่าลืมจดเอาไว้ด้วยล่ะ~”
“ค—-ค่ะ!”
“ในเมื่อท่าทางว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวแบบนี้ฉันก็จะไม่ขอคาดคั้นอะไรมากละกันนะ เอาเป็นว่าเขียนไปในรายงานว่าเธออาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องแต่ว่าไม่ต้องระบุไปว่าเป็นเรื่องอะไรละกันนะมายะ~ หวังว่าเธอคงจะไม่มีปัญหาอะไรกับวิธีนี้ใช่มั้ยเซซิลจัง?”
ไดเอน่าที่เหมือนว่าจะรู้วิธีรับมือกับเรื่องแบบนี้ดีได้ตัดสินใจที่จะเสนอวิธีที่จะทำให้อีกฝ่ายลำบากใจน้อยที่สุดออกมา ซึ่งนั่นก็ทำให้เซซิลได้แต่เดาะลิ้นพร้อมกับทำสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก แต่ถึงอย่างนั้นเธอยังยอมตอบตกลงอยู่ดีเพราะว่ามันคงจะดีกว่าการที่อีกฝ่ายตัดสินใจที่จะคาดคั้นเอาคำตอบจริงๆ จากเธอ
“ชิ… ก็เอาตามนั้นละกัน…”
“อ…เอ่อ ฉันขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย?”
“หื้ม? ลองถามดูก่อนสิ ถ้าฉันตอบได้ก็จะตอบละกันนะจ๊ะ”
ไดเอน่าหันกลับไปยิ้มตอบนากาด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนกับว่าเธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่กำลังถามไถ่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นห่วงมากกว่าประธานนักเรียนที่กำลังสอบปากคำอยู่เพื่อให้นากาที่เป็นนักเรียนใหม่นั้นสบายใจ
“ที่เธอตามตัวพวกฉันมาถามเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี่มันใช่หน้าที่ของประธานนักเรียนด้วยหรอ? คือแบบว่า… ไม่ใช่ว่าเรื่องแบบนี้มันควรจะเป็นหน้าที่ของพวกทหารในเมืองหรืออะไรพวกนั้นหรอกหรอ?”
“นั่นสิ…”
“ด—ไดเอน่าจัง…?”
มายะที่ได้ยินคำถามของนากานั้นก็ได้หยุดปากกาในมือที่จดเนื้อหาการพูดคุยอยู่ลงและหันไปมองเพื่อนของเธอด้วยท่าทางกังวลว่าเพื่อนของเธอจะคิดยังไงกับคำถามที่ฟังดูเหมือนเกือบจะล้ำเส้นนั้น ซึ่งไดเอน่าก็ได้พูดตอบนากากลับไปด้วยน้ำเสียงปกติราวกับว่าไม่ได้คิดอะไรมาก
“ก็จริงอยู่ที่ว่าถ้าเป็นตามปกติแล้วประธานนักเรียนอย่างฉันก็คงจะไม่มาสนเรื่องความขัดแย้งระหว่างเมืองแบบนี้หรอกเพราะว่าแค่เรื่องภายในรั้วโรงเรียนนี่ก็ยุ่งจะตายกันอยู่แล้วเนี่ย… แต่ว่าเชื่อฉันเถอะว่าถ้าเกิดมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรจริงๆ พวกฉันก็ไม่อยากจะรบกวนเวลาของนักเรียนใหม่อย่างพวกเธอนักหรอกจ้ะ นากาคุง พรีมูล่าจัง~”
“!!?”
หลังจากที่ไดเอน่าตอบคำถามของนากากลับไปแล้วเธอก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้และสลัดคราบประธานนักเรียนที่ดูสำรวมทิ้งไปพร้อมกับเดินไปนั่งไขว่ห้างเอามือเท้าคางอยู่บนโต๊ะของเธอแทนจนทำให้พวกนากาได้แต่ชะงักตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปกะทันหันของอีกฝ่าย
ซึ่งไดเอน่าก็ได้ยิ้มยิงฟันอย่างเป็นมิตรให้กับพวกนากาเป็นสัญญาณว่าตอนนี้เธอไม่ได้กำลังสอบสวนพวกเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฐานะประธานนักเรียนอยู่ แต่ว่ากำลังคุยกับพวกเขาในฐานะนักเรียนคนหนึ่งที่เป็นห่วงเพื่อนนักเรียนด้วยกันต่างหาก
“ที่จริงแล้วเรื่องนี้ท่านผู้อำนวยการเขาเป็นคนไหว้วานฉันมาเองน่ะ เพราะงั้นถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะขอให้พวกเธอให้ความร่วมมือแล้วก็ช่วยตอบคำถามเท่าที่จะตอบได้หน่อยละกันเนอะ~”
“อ—อ่า”
ไดเอน่าพูดพร้อมกับขยิบตาข้างหนึ่งไปให้พวกนากาอย่างมีเลศนัย ก่อนที่เธอจะหันไปพยักหน้าให้กับมายะ เพื่อให้อีกฝ่ายหยิบเอาซองจดหมายที่ถูกประทับตราสีแดงออกมาส่งให้กับนากา
“จดหมาย?”
“ก็สาเหตุที่ทำให้ท่านผู้อำนวยการเขาเป็นห่วงขนาดนี้ยังไงล่ะ ปกติแล้วท่านผู้อำนวยการเขาจะไม่ค่อยมายุ่งอะไรมากนักหรอกเพราะเขาเชื่อว่าพวกนักเรียนดูแลตัวเองกันได้น่ะ แต่ว่าพวกเธอลองอ่านจดหมายนี่กันดูก่อนสิ”
“….?”
“ไหนๆ หนูดูด้วยสิ~”
‘ถึงประธานนักเรียนและท่านผู้อำนวยการของโรงเรียนรีมินัส
เนื่องด้วยจากข่าวที่ว่าเมืองแพนเทร่าถูกบุกโจมตีจนเสียหายอย่างหนักและยังมีเหตุการณ์การปะทะกับกองกำลังไม่ทราบฝ่ายเกิดขึ้นที่ทุ่งราบใกล้ๆ กับเมืองรีมินัสนั้นส่งผลให้ทางเมืองกราวิทัสกังวลใจเป็นอย่างมาก
ดังนั้นแล้วทางเมืองกราวิทัสของเราจึงใคร่ขอความร่วมมือจากทางโรงเรียนรีมินัสให้ช่วยเป็นคนกลางในการส่งตัวนักเรียนทั้งสองคนและกลุ่มทหารรับจ้างในเหตุการณ์ที่ว่ามายังเมืองกราวิทัสเพื่อสอบถามถึงข้อมูลการโจมตีจากปากของพวกเขาโดยตรง เพื่อที่ทางเมืองกราวิทัสจะได้สามารถเตรียมการป้องกันได้อย่างทันท่วงทีในกรณีที่กลุ่มคนไม่ทราบฝ่ายอาจจะมีเป้าหมายเป็นทางเมืองกราวิทัสด้วยเช่นกัน
ด้วยความเคารพ
ลงนาม : องค์หญิงแคร์’
“….”
เซซิลที่เห็นข้อความในจดหมายแล้วก็ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก เพราะเธอค่อนข้างจะมั่นใจว่าอิซานางิหรือก็คือหญิงสาวผมชมพูที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มทหารชุดดำพวกนั้นไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการโจมตีที่เมืองแพนเทร่าที่อยู่ไกลออกไปทางเหนืออย่างแน่นอน ทำให้ไม่มีสาเหตุอะไรที่เมืองกราวิทัสจะต้องการตัวเธอไปเพื่อสอบถามเลยแม้แต่น้อย
ส่วนทางด้านนากาที่พอจะรู้เรื่องการโจมตีที่แพนเทร่าจากการพูดคุยกับทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงมาก่อนหน้านี้แล้วก็พูดขึ้นมาอย่างแปลกใจ
“จะว่าไปก็มีเรื่องเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันทั้งสองเมืองเลยนี่? แบบนี้มันจะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่หรือไง”
“ถ้าสำหรับเมืองกราวิทัสก็คงจะเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ นั่นแหล่ะ เพราะว่าการที่เมืองสองเมืองมีการต่อสู้เกิดขึ้นในเวลาใกล้ๆ กันแบบนี้แต่ว่ากลับไม่มีกลุ่มไหนหรือว่าเมืองไหนออกมาแสดงความรับผิดชอบเนี่ยมันอาจจะทำให้เมืองอื่นๆ คิดว่ากราวิทัสที่ยังไม่ถูกโจมตีอาจจะเป็นตัวการได้น่ะสิ แล้วในเมื่อทางเมืองกราวิทัสเหมือนจะไม่ใช่ตัวการแล้ว พวกเขาก็ต้องมาคอยระวังทั้งการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นแล้วก็เรื่องที่เมืองอื่นๆ อาจจะมากล่าวหากันอีก”
“ว่าแต่… เมืองกราวิทัสนี่อยู่ตรงไหนนะ…”
ทันใดนั้นเองอยู่ๆ นากาก็ได้พูดถามขึ้นมาเบาๆ อย่างเกรงใจ แต่ว่าตัวคำถามที่เขาถามขึ้นมานั้นก็ทำให้ทุกคนในห้องยกเว้นน้องสาวของเขาหันไปขมวดคิ้วมองนากาอย่างประหลาดใจว่ามีใครในโลกนี้ที่ไม่รู้ว่ากราวิทัสที่เป็นหนึ่งในสี่เมืองหลวงตั้งอยู่ตรงไหนอยู่ด้วยหรือยังไงกัน และนั่นก็ทำให้นากาต้องรีบพูดแก้ตัวออกมาอย่างร้อนรน
“ก—ก็ปกติฉันอยู่แต่ในหมู่บ้านนี่นา! แล้วที่ผ่านมาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้เดินทางออกไปไหนไกลๆ ด้วย เอาจริงๆ ก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยซะด้วยซ้ำว่าจะได้มาอยู่ที่รีมินัสเนี่ย!”
“อ่าหะ ถ้างั้นดูเหมือนว่าจะต้องเพิ่มวิชาภูมิศาสตร์ให้กับนากาเป็นพิเศษสินะ มายะ อย่าลืมส่งโน้ตไปให้อาจารย์โนลด้วยล่ะ”
“ค—ค่ะ!”
“อย่าทำแบบนั้นน๊าาาา!!”
มายะนั้นได้ก้มลงไปจดข้อความในกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ โดยไม่สนใจเสียงร้องขอของนากาเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นสายตาของไดเอน่าที่เหมือนจะกำลังบอกให้เธออธิบายเรื่องของเมืองกราวิทัสให้นากาได้ฟัง
“ม… เมืองกราวิทัสเป็นเมืองที่อยู่ทางทิศใต้ของรีมินัสค่ะ ซ… ซึ่งประชากรส่วนมากในพื้นที่แถบนั้นจะเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีหูกับหางหรือว่าเขา… ต…แต่ว่าพวกเขาก็ไม่เคยปฏิเสธที่จะต้อนรับทุกคนที่เดินทางไปมาเช่นกัน…”
มายะพูดอธิบายออกมาให้นากาฟังราวกับว่าเธอกำลังท่องหนังสือเรียนอยู่ ซึ่งไดเอน่าที่ยังคงนั่งไขว่ห้างอยู่บนโต๊ะก็ได้พยักหน้าให้กับเพื่อนของเธอไปอย่างพึงพอใจ
“ก็ตามที่มายะบอกมานั่นแหล่ะ เอาจริงๆ ตอนแรกฉันก็กะจะส่งแค่ทหารรับจ้างที่พวกเธอไปช่วยมาพวกนั้นไปอยู่หรอกนะเพราะว่าฉันไม่อยากให้นักเรียนอย่างพวกเธอเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้น่ะ แต่ว่าพอฉันไปที่โรงพยาบาลพวกเขาก็ออกเดินทางกันไปแล้วนี่สิ”
“ถ้าหมายพวกคุณรัซเซลกับยุยก็น่าจะออกเดินทางไปที่เมืองแพนเทร่ากันแล้วน่ะ เห็นบอกว่าน่าจะมีงานให้ทำแถวนั้นเพียบเลยหรืออะไรสักอย่างนี่ล่ะ”
“แพนเทร่างั้นหรอ ได้ข่าวกันเร็วสมกับที่เป็นทหารรับจ้างเลยนะ ถ้าเกิดว่าพวกเขากำลังหางานทำกันอยู่ก็พอจะเข้าใจได้ที่ต้องรีบออกเดินทางกับแบบนั้นล่ะนะ”
ในขณะที่ไดเอน่ากำลังพูดตอบนากากลับไปอยู่นั่นเอง อยู่ดีๆ พรีมูล่าที่นั่งฟังคนอื่นคุยกันด้วยสีหน้าเอ๋อๆ มาสักพักแล้วก็ได้พูดโพล่งขึ้นมาเสียงดัง
“เอ๋ะ? เดี๋ยวสิ ในจดหมายเขาบอกแค่ว่านักเรียนที่อยู่ในเหตุการณ์งั้นก็หมายถึงแค่พี่นากากับพี่เซซิลเองนี่นา! แล้วนี่พี่ไดเอน่าจะให้หนูตามมาด้วยทำไมอ่ะ!?”
“น—นั่นสิ ถ้าตามที่ในจดหมายนี่เขียนงั้นเรียกแค่ฉันกับเซซิลมาก็พอแล้วไม่ใช่หรอ ไม่เห็นต้องให้พายัยตัวแสบนี่มาด้วยเลยนี่”
“จะให้ฉันอธิบายยังไงดีล่ะเนี่ย… ถ้าจะให้พูดก็คงเป็นว่าฉันอยากให้มีคนเดินทางไปกับพวกเธอเยอะกว่านี้น่ะ เผื่อว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นที่นู่นจะได้ช่วยๆ กันได้ แต่ว่าจะให้พาคนนอกที่เขาไม่ได้ระบุเอาไว้ไปด้วยมันก็ไม่เหมาะใช่มั้ยล่ะ แล้วทีนี้ฉันเห็นว่านักเรียนที่ชื่อโมโกะที่มาจากหมู่บ้านเดียวกับพวกเธอได้รับบาดเจ็บจากการสอบไป ก็เลยน่าจะเหลือแค่พรีมูล่าจังที่เป็นน้องสาวของนายใช่หรือเปล่าล่ะ”
“อ๋ออออว~ ให้หนูไปดูแลพี่นากาเขางั้นสินะ! เข้าใจแล้วล่ะค่ะ~!”
“…..”
เมื่อพรีมูล่าได้ยินคำอธิบายของไดเอน่าแล้วเธอก็พยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับพูดขึ้นมาในทันที แต่ว่าเซซิลที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันนั้นกลับเลิกคิ้วให้กับคำอธิบายของประธานนักเรียนคนเก่งเช่นเดียวกับนากาที่รู้สึกสะกิดใจในคำอธิบายของไดเอน่าเช่นเดียวกัน
“ถ้าเรื่องคนที่ใกล้ชิดกับฉันจนน่าจะพอใช้เป็นข้ออ้างในการพาไปด้วยได้ก็น่าจะตามนั้นนั่นแหล่ะ แต่ที่เธอบอกว่าเผื่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นู่นนี่หมายความว่าที่เมืองกราวิทัสอาจจะมีอะไรที่ไม่ปลอดภัยก็ได้งั้นหรอ?”
“เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอก แค่ว่าฉันอยากให้มันปลอดภัยที่สุดเอาไว้ก่อนน่ะ… เพราะว่าพวกคนในวังหลวงของกราวิทัสนั่นออกจะ…ว่าไงดีล่ะ.. แปลกๆ ไปสักหน่อยน่ะ…”
“แปลกกว่าของที่นี่อีกหรอ…?”
นากาที่ได้ยินคำพูดของไดเอน่านั้นได้เลิกคิ้วถามเธอกลับไป เพราะถ้าว่ากันตามตรงแล้วแค่วังหลวงของรีมินัสนี่ก็นับว่าผิดแปลกไปจากที่เขาเรียนมาจากโรงเรียนในหมู่บ้านโมริโกะอยู่มากแล้ว แล้วนี่ขนาดผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองรีมินัสและยังมีตำแหน่งสำคัญในโรงเรียนนี้แถมยังเป็นคนของตระกูลขุนนางอีกยังบอกว่าวังหลวงของกราวิทัสค่อนข้างจะแปลกๆ นี่มันจะแปลกขนาดไหนกันแน่
ซึ่งไดเอน่าที่รู้ถึงสิ่งที่นากาพยายามจะถามนั้นก็ตอบกลับไปสั้นๆ และรีบพูดเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับถามนากากลับไปแทน
“จะว่างั้นก็ได้ล่ะมั้ง… ว่าแต่พวกนายว่ายังไงกันล่ะ จะไปกันหรือเปล่า? ถ้าเกิดตกลงล่ะก็กลับไปเตรียมข้าวของให้พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้เลย เพราะถึงพวกเราจะมานั่งคุยกันสบายๆ แบบนี้ก็เถอะ แต่ว่าเอาจริงๆ มันก็เป็นเรื่องเร่งด่วนอยู่เหมือนกันนะ แล้วเดี๋ยวฉันจะไปแจ้งคุณเอริกะให้พวกนายเองว่าขอยืมตัวมาใช้งานหน่อยน่ะ”
“ถ้าเธอจะไปบอกเอริกะให้งั้นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรอยู่แล้วล่ะ เพราะยังไงช่วงนี้พวกฉันก็เพิ่งจะกลับมาว่างอยู่พอดีเหมือนกัน แถมถ้าเกิดว่ามันอาจจะกลายเป็นปัญหาระหว่างเมืองแบบนั้นก็น่าจะแย่ใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นจะให้ฉันไปช่วยที่กราวิทัสมันก็พอจะได้อยู่แหล่ะ… แต่ว่าพวกเธอจะเอายังไงกันล่ะ เซซิล? พรีมูล่า?”
“มันก็ต้องไปอยู่แล้วไม่ใช่หรอพี่นากา!? ทำไมถึงจะไม่ไปอ่ะ!? นี่มันโอกาสที่จะได้ไปเที่ยวเลยนะ!!”
“อ่า…พี่คงคิดผิดเองที่สงสัยคำตอบของเธอแหล่ะยัยตัวแสบ…”
“อื้ม…”
คำตอบของพรีมูล่านั้นทำให้นากาได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างหน่ายใจ ในขณะที่เซซิลก็พยักหน้าและส่งเสียงออกมาเล็กน้อยด้วยสีหน้านิ่งๆ จนทำให้เขาไม่แน่ใจว่าเธอเห็นด้วยกับเรื่องที่เขาถามหรือว่าเรื่องที่เขาพูดบ่นพรีมูล่าออกมากันแน่ ส่วนทางด้านไดเอน่าที่เห็นว่ากลุ่มนักเรียนตรงหน้าเหมือนจะไม่มีอะไรคัดค้านแล้วเธอก็ยักไหล่และยิ้มบางๆ ออกมา
“จะคิดว่าไปเที่ยวก็ได้อยู่ล่ะมั้ง เพราะว่าถ้าเกิดว่าเธอเสร็จเรื่องเร็วก็น่าจะพอมีเวลาเหลือให้เดินเล่นที่นั่นกันสักพักก่อนจะกลับอยู่บ้างล่ะ ส่วนเรื่องขากลับก็ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฉันจะบอกให้ทางเมืองกราวิทัสเขาเตรียมรถขากลับเอาไว้ให้ตั้งแต่ที่พวกเธอไปถึงเลยก็ละกัน อ้อ… แล้วก็ในเมื่อนายกับน้องสาวยังไม่มีชุดนักเรียนงั้นก็อย่าลืมเตรียมชุดที่ดูสุภาพๆ เป็นทางการไปกันด้วยล่ะ”
“ชุดสุภาพงั้นหรอ… แต่พวกฉันก็มีแต่ชุดธรรมดาๆ แบบนี้ซะด้วยสิ…”
“ถ้างั้นก็เอาชุดที่ดูสภาพดีที่สุดไปด้วยละกันนะ เพราะเอาจริงๆ แล้วขอแค่ไม่ดูโทรมจนเกินไปก็น่าจะพอแล้วล่ะ”
“เย้~ ได้นั่งรถด้วยล่ะ~”
ไดเอน่ายิ้มบางๆ ให้กับท่าทีอันไร้เดียงสาของพรีมูล่า ก่อนที่เธอจะเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้และหยิบเอกสารชุดหนึ่งขึ้นมาส่งให้กับทุกคนแล้วจึงพูดขึ้นมา
“ถ้างั้นพอพวกเธอสี่คนเตรียมตัวกันเสร็จแล้วก็กลับมาเจอกันที่หน้าตึกเรียนนี่ละกันนะ เดี๋ยวฉันจะบอกให้คนขับรถจากเมืองกราวิทัสที่มาส่งจดหมายเขารอรับพวกเธออยู่ตรงนั้นเลย เอาล่ะ! รีบๆ ไปเตรียมตัวกันได้แล้วล่ะ แล้วเดี๋ยวระหว่างนี้ฉันจะจัดการเอกสารเรื่องขอที่พักจากทางเมืองกราวิทัสให้พวกเธอไปด้วยเลย”
“เฮะ? สี่คน?”
“ห—หะ!? อย่าบอกนะว่าฉันจะต้องไปด้วยหรอคะ!?”
“อื้อ เธอก็ต้องไปกับพวกเขาด้วยนะมายะ เพราะว่าฉันยังมีงานที่ต้องจัดการอยู่ที่นี่อีกเพียบเลยล่ะ เพราะงั้นคงจะต้องส่งเธอไปในฐานะตัวแทนประธานนักเรียนแทนฉันแล้วล่ะ”
ไดเอน่ายิ้มตอบเพื่อนสนิทของเธอที่กำลังเบิ่งตากว้างอย่างตกใจกลับไปหน้าตาเฉย พร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาจับไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้และพูดต่อขึ้นมา
“ในฐานะประธานนักเรียนของโรงเรียนรีมินัส ฉันคงจะต้องขอฝากฝังเหล่านักเรียนทั้งใหม่และเก่าสามคนนี้ไว้กับเธอในการทำกิจกรรมนอกสถานที่ในครั้งนี้แล้วละกันเนอะ~”
“อ—เอ๋—!?”
ในขณะที่มายะกำลังคิดจะพูดปฏิเสธไปนั้นเธอก็พบกับรอยยิ้มของไดเอน่าที่ส่งตรงมายังเธอพร้อมกับแววตาขอร้องที่ติดจะอ้อนกันนิดๆ นั่นเข้าซะก่อน ซึ่งนั่นก็ทำให้มายะเผลอชะงักไปจนนิ่งไปชั่วครู่ด้วยแววตาเหม่อลอยก่อนที่เธอหน้าของเธอจะแดงก่ำและตอบตกลงไปแบบไม่รู้ตัว
“ก…ก็ได้ค่ะ…”
“อื้อ! ขอบใจมากนะมายะ ถ้างั้นพวกเธอก็ไปเตรียมตัวกันได้แล้วล่ะ แล้วก็อย่าลืมพกอาวุธประจำตัวไปกันด้วยล่ะ เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้นมาจะได้ดูแลตัวเองกันได้น่ะ”
“ค…ค่ะ…”
“อื้ม…”
เซซิลตอบกลับไปพร้อมกับพยักหน้าให้กับไดเอน่าที่ส่งสายตามาราวกับจะบอกว่าขอฝากความปลอดภัยของมายะไว้กับเธอด้วยกลับไป ก่อนที่เธอจะลุกยืนขึ้นและดึงแขนของมายะที่ยังคงยืนเหม่อลอยหน้าแดงก่ำอยู่ให้กลับไปที่หอพักพร้อมกันเพื่อที่จะได้เตรียมข้าวของให้พร้อมสำหรับการเดินทาง
“ถ้างั้นพวกเราก็ไปเตรียมตัวกันบ้างเถอะพี่นากา~”
และในทันทีที่พรีมูล่าเห็นทั้งสองคนเดินออกไปจากห้องนั้น เธอก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามเซซิลกับมายะไปในทันทีโดยไม่สนใจเอกสารของตัวเองที่ไดเอน่ายื่นให้เธอเมื่อสักครู่เลยแม้แต่น้อย
“อ่ะ— เดี๋ยวสิพรีมูล่า หยิบเอกสารของเธอไปด้วยสิ!”
“ไปเที่ยววววว~~”
“กลับมานี่เดี๋ยวนี้เลยนะยัยตัวแสบ!!”
นาการ้องตะโกนไล่หลังพรีมูล่าไป แต่ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายนั้นจะไม่สนใจเสียงเรียกของเขาเลยแม้แต่น้อยจนทำให้นากาต้องรีบค้อมหัวให้ไดเอน่าไปพร้อมกับคว้าจดหมายเชิญของเขากับน้องสาวขึ้นมาและวิ่งตามเธอออกไปในทันที
“ไปดีมาดีล่ะ~ แล้วอย่าลืมว่าต้องทำงานให้เสร็จก่อนแล้วถึงจะได้เที่ยวด้วยนะ~”
หลังจากที่พวกนากาวิ่งผ่านห้องพยาบาลของโรงเรียนรีมินัสได้ไม่นานนัก เด็กสาวหูแมวผมสีดำที่ชื่อว่าซึบากิก็ได้โผล่หัวออกมาจากหลังเสาต้นหนึ่งเพื่อดูลาดเลารอบๆ บริเวณห้องโถงด้านหน้าห้องพยาบาล
และเมื่อซึบากิไม่เห็นว่ามีใครหลงเหลืออยู่แล้ว เธอก็ได้เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องพยาบาลพร้อมกับหยิบกระจกขนาดเล็กๆ ขึ้นมาส่องดูความเรียบร้อยของตัวเองก่อนที่เธอจะเคาะประตูห้องไปสองสามที
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“อาจารย์อารอนคะ หนูซึบากิเองค่ะ”
“อ่า…เข้ามาได้เลย…”
เมื่อซึบากิได้ยินอารอนพูดอนุญาตขึ้นมาแล้ว เธอก็เลื่อนบานประตูให้เปิดออกและรีบเดินเข้าไปหาอารอนที่รออยู่ด้านในทันที
“พวกนักเรียนใหม่ทั้งสองคนที่อาจารย์ฝากให้เฝ้าดูกลับไปกันแล้วล่ะค่ะ”
“อื้ม…ขอบใจมากนะซึบากิ…”
“ค…ค่ะ”
อารอนพูดตอบซึบากิไปพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวของเธอไปมา ซึ่งถึงแม้ว่าซึบากิเองจะไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป แต่ว่าหูกับหางของเธอก็กลับกระดิกไปมาอย่างไร้การควบคุมบ่งบอกได้ว่าเธอกำลังดีใจอยู่ จนทำให้เมย์ที่สิงอยู่ในดาบสีม่วงของซึบากินั้นต้องรีบส่งเสียงเตือนเพื่อนของเธอออกมา
‘ซึ~บา~กิ~จัง~ หางน่ะหาง~’
‘!!’
“แตะเนื้อต้องตัวนักเรียนหญิงแบบนั้นคงจะไม่ดีสักเท่าไหร่ล่ะมั้งคะอาจารย์อารอน…”
ในขณะที่ซึบากิกำลังพยายามหยุดหางของเธอที่ส่ายไปมาอยู่นั้น อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาจนทำให้อารอนที่กำลังลูบหัวของเธออยู่ผละมือไป และนั่นก็ทำให้ซึบากิต้องรีบหันไปมองดูหญิงสาวที่เป็นเจ้าของเสียงนั้นในทันที
และเธอก็พบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือหญิงสาวผมสีชมพูในชุดเดรสสีขาวเปิดไหล่ที่คลุมทับด้วยเสื้อนอกสีดำประดับลวดลายสีทองที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่นักเรียนหรือว่าอาจารย์ของโรงเรียนรีมินัสอย่างแน่นอน และเมื่อซึบากิเห็นแบบนั้นเธอก็หันกลับไปจ้องอารอนด้วยแววตานิ่งๆ เชิงตำหนิว่าเขาปล่อยให้คนนอกเข้ามาภายในโรงเรียนได้ยังไงกัน
แต่ว่าอารอนก็กลับไม่สังเกตเห็นสีหน้าของซึบากิเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเขาได้รีบเดินเข้าไปหาหญิงสาวคนนั้น และดึงชายแขนเสื้อที่ยาวเกินตัวของอีกฝ่ายขึ้นจนเผยให้เห็นท่อนแขนขาวซีดที่มีผ้าพันแผลเปื้อนเลือดพันเอาไว้อยู่อย่างแน่นหนาพร้อมกับพูดขึ้นมา
“นั่นสินะ… ถ้างั้นไหนๆ พวกนากาก็กลับไปกันแล้วงั้นพวกเราก็รีบกลับไปที่คลินิกกันก่อนเถอะนิลิม… จะได้ตรวจสภาพแขนของเธอดูอย่างละเอียดด้วย…”
‘แหมๆ ~~ แน่ใจหรอว่าที่เธอไม่พอใจนั่นเพราะว่าอาจารย์อารอนของเธอเขาปล่อยให้คนนอกเข้ามาในโรงเรียนน่ะ~~’
“นี่!—-!?”
ในขณะที่ซึบากิกำลังมองดูผ้าพันแผลบนแขนของนิลิมอย่างตกใจอยู่นั้นเอง เมย์ก็ใช้โอกาสนี้ส่งเสียงหยอกล้อจี้ใจดำซึบากิขึ้นมาจนทำให้เธอสะดุ้งเฮือกและเผลอส่งเสียงที่คิดจะส่งกลับไปหาเมย์ออกมาทางปากของเธอแทน ซึ่งนั่นก็ทำให้ซึบากิต้องรีบพุ่งมือไปอุดปากของตัวเองเอาไว้ในทันที
แต่ว่ามันก็เหมือนจะช้าไปสักหน่อยเพราะว่าในตอนนี้ทั้งนิลิมและอารอนนั้นได้หันกลับมามองดูเธอด้วยแววตาสงสัยซะแล้ว แต่ว่าหลังจากที่อารอนเห็นท่าทางของเด็กสาวแล้วเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยและเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายออกมา
“เธอสนใจจะไปด้วยกันมั้ยล่ะซึบากิ…?”
“อ—เอ๋ะ? ป…ปะ—ปะ—ไป!? ที่บ้านของอาจารย์น่ะหรอคะ? ได้หรอคะ!?”
“ถ้าเธอว่างอยู่แล้วสนใจอยากจะลองไปดูน่ะนะ…แต่เอาจริงๆ น่าจะเรียกมันว่าคลินิกมากกว่าบ้านล่ะมั้ง…”
“ไปค่ะ! ไป!!”
ซึบากิที่ได้ยินแบบนั้นได้รีบพยักหน้าตอบเขากลับไปพร้อมกับวิ่งออกไปยืนเตรียมตัวอยู่ที่หน้าห้องพยาบาลในทันทีโดยมีนิลิมกับอารอนมองตามเธอไปพร้อมกับเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา และเมื่อภายในห้องพยาบาลเหลือแค่พวกเขาสองคนแล้ว อารอนก็ได้เดินไปหยิบกระเป๋าของเขาและพูดขึ้นมาเบาๆ
“แต่ว่านะนิลิม… เธอก็เลือกจังหวะกลับมาได้แย่สุดๆ เลยนะเนี่ย เพราะว่าตอนนี้เธอยังให้เด็กๆ พวกนั้นพบตัวไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ…”
“ค่ะ… ฉันยังไปพบหน้าพวกเขาไม่ได้หรอกค่ะ… อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ในตอนนี้…”