Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 67 Shrouded Flair
หลังจากที่ไดเอน่าใช้เวลาเล็กน้อยในการจัดการเอกสารส่วนที่เหลือจนเสร็จเธอก็ได้พานากาเดินออกมาจากเขตโรงเรียนและตรงไปทางตัวเมืองรีมินัสชั้นในทางฝั่งทิศเหนือในส่วนที่อยู่ใกล้ๆ กับฝั่งกำแพงของวังหลวง ที่ดูแล้วเหมือนกับว่ามันน่าจะเป็นเขตอยู่อาศัยเก่าของตระกูลขุนนางมาหลายชั่วอายุคน เพราะว่ามันมีคฤหาสน์รูปทรงโบราณและดูค่อนข้างเก่าแก่แต่ก็ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีตั้งเรียงรายกันไปจนลับตา
อีกทั้งขนาดและพื้นที่ใช้สอยของคฤหาสน์แต่ละหลังในเขตนี้เองก็กว้างใหญ่จนแทบจะสามารถบรรจุคฤหาสน์หลังโตที่ตั้งอยู่รอบๆ บ้านของเอริกะเข้าไปได้นับสิบหลังเลยซะด้วยซ้ำ
ซึ่งไดเอน่าก็พานากาเดินเลยคฤหาสน์หลังใหญ่พวกนั้นเข้าไปได้สักพักก่อนที่เธอจะไปหยุดอยู่ที่หน้าคฤหาสน์หลังหนึ่งที่เมื่อนากามองดูแล้วมันน่าจะมีอาณาเขตเล็กกว่าคฤหาสน์ของเวก้าที่ตั้งอยู่นอกเมืองเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นก่อนที่เธอจะหันกลับมาหาเขาและพูดขึ้นมา
“เอาล่ะ~ ยินดีต้อนรับสู่บ้านหลังน้อยของฉันเอง~ ถึงขนาดอาจจะเล็กกว่าคฤหาสน์ตระกูลรีวิซของคุณเวก้าที่นายอาศัยอยู่บ้างก็เถอะแต่ก็ทำตัวตามสบายเลยนะ~”
“นี่คือคำว่าเล็กของเธอแล้วหรอเนี่ยหะ!? งั้นถ้าเกิดว่าจะสร้างให้ใหญ่กว่านี้อีกสักนิดก็คงจะต้องออกไปจองพื้นที่สร้างบ้านกันในป่านอกเมืองแล้วมั้งนั่น!!”
นากาที่ได้แต่อึ้งไปกับขนาดของบ้านของไดเอน่านั้นได้รีบพูดตอบเธอกลับไป เพราะถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยผ่านถนนเส้นนี้มาแล้วถึงสองสามรอบแต่ว่าทุกครั้งนั้นก็เป็นเหตุเร่งด่วนแทบจะทั้งสิ้นจนทำให้เขาไม่เคยสังเกตดูรอบทางให้ดีๆ และนึกว่ามันจะเป็นสถานที่ของวังหลวงหรืออะไรทำนองนั้นซะอีก
และในขณะที่ไดเอน่ากำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับการได้มีโอกาสแนะนำบ้านของตัวเองให้กับเพื่อนคนใหม่ของเธออย่างนากาฟังอยู่นั้นก็ได้มีสาวใช้ผมดำคนหนึ่งเดินตรงมาเปิดประตูรั้วของคฤหาสน์ก่อนจะค้อมหัวให้กับเธอพร้อมกับพูดต้อนรับออกมา
“ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะคุณหนูไดเอน่า”
“อื่อ หวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดีนะคะคุณไซร่า… แล้วนี่คุณพ่อกับคุณแม่กลับมาหรือยังคะ?”
“นายท่านกับคุณหญิงออกไปทำธุระด้านนอกแล้วคาดว่าน่าจะกลับมาในช่วงดึกๆ ของวันนี้ค่ะ”
“อื้ม~ ถ้างั้นก็พอดีเลย~ ป่ะ พวกเราเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะนากาคุง”
ไดเอน่าพูดตอบไซร่ากลับไปแล้วจึงหันกลับมาพยักหน้าให้นากาและเดินนำเข้าไปในคฤหาสน์ในทันที ซึ่งนากาที่เพิ่งจะเคยได้เห็นสาวใช้ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ตัวเป็นๆ และมีท่าทีปกติดีเป็นครั้งแรกแตกต่างจากสาวใช้ผมสีดำแววตาว่างเปล่าแบบคนที่เขาเคยเห็นในวังหลวงของกราวิทัสนั้นก็มีท่าทีประหม่าเล็กน้อยและรีบเดินตามหลังไดเอน่าไปอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าถ้าเขาอยู่ตรงนี้นานกว่านี้อีกนิดสาวใช้คนนี้อาจจะเป็นอะไรไปขึ้นมาก็ได้
“ถ…ถ้างั้นขอรบกวนด้วยนะครับ”
เมื่อสาวใช้ที่ชื่อว่าไซร่าได้ยินคำพูดของนากาไปแล้วเธอก็ค้อมหัวให้กับเขากลับมาโดยไม่มีท่าทีดูถูกเด็กหนุ่มอย่างนากาที่ใส่เสื้อผ้าเหมือนกับชาวบ้านธรรมดาๆ เลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เธอจะรอให้เขาเดินจากไปได้สักระยะหนึ่งแล้วจึงเดินตามเข้ามาภายในตัวคฤหาสน์และเดินแยกออกไปอีกทางหนึ่ง
“ถ้างั้นพวกเรานั่งพักตรงนี้ให้หายเหนื่อยก่อนละกันเนอะ แล้วเดี๋ยวฉันจะได้ให้คนไปแจ้งท่านปู่ทวดก่อนจะได้ไม่เสียมารยาทน่ะ”
“อ—อ่า”
ไดเอน่าที่เดินนำนากามาถึงห้องรับแขกนั้นก็ได้นั่งลงบนโซฟาตัวเล็กที่ตั้งอยู่กลางห้องด้วยท่าทางอารมณ์ดี ซึ่งนากาได้ที่เห็นความหรูหราของห้องรับแขกนั้นก็เดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวยาวตรงข้ามกับไดเอน่าด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เหมือนกับกลัวว่าเขาจะทำให้มันเปื้อนเข้าหรือเปล่า
ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตค่ะ”
หลังจากที่นากาเพิ่งจะนั่งลงบนโซฟาได้ไม่ทันไรก็ได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา ก่อนที่ประตูของห้องรับแขกจะถูกเปิดออกและตามมาด้วยร่างของสาวใช้ไซร่าที่เข็นรถเข็นคันเล็กๆ บรรจุขนมเค้กกับชุดน้ำชาเข้ามาภายในเพื่อนำมันมาเสิร์ฟให้คุณหนูไดเอน่าและแขกของเธอ
“อ่ะ ขอบคุณครับ”
นากาพูดขอบคุณไซร่าที่นำขนมเค้กและน้ำชามาเสิร์ฟให้เขาพลางมองดูขนมเค้กก้อนเล็กๆ ที่ดูแล้วท่าทางจะราคาแพงมากกว่าเค้กก้อนใหญ่ที่เขาเคยซื้อไปง้อพรีมูล่าสักเท่าหนึ่งได้ด้วยความสะพรึงกลัวว่าถ้าน้องสาวของเขารู้เรื่องนี้เข้าเธอก็คงจะโวยวายจนคฤหาสน์แตกเนื่องจากว่าเธอไม่มีโอกาสได้ลิ้มลองมันอย่างแน่นอน
ส่วนทางด้านไดเอน่านั้นก็กวักมือเรียกไซร่าที่กำลังจะเข็นรถออกไปจากห้องให้เดินเข้ามาหาเธอใกล้ๆ แล้วจึงกระซิบบอกกับสาวใช้ของเธอไป
“คุณไซร่าช่วยไปแจ้งท่านปู่ทวดให้หน่อยสิว่ามีแขกมาหาท่านน่ะ”
“อ—เอ๋ะ?”
คำพูดของไดเอน่านั้นถึงกับทำให้ไซร่าชะงักไปในทันทีและแอบเหลือบมองไปทางนากาด้วยสีหน้าประหลาดใจก่อนจะหันกลับมาหาคุณหนูของเธอราวกับว่าอยากจะขอคำยืนยันว่าเธอได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่ว่าไดเอน่าก็ตอบกลับมาแบบยิ้มๆ เหมือนกับคาดเอาไว้แล้วว่าจะเป็นแบบนี้
“ฉันขอฝากไปบอกท่านเขาด้วยนะคะคุณไซร่า~”
“ค—ค่ะ! ดิฉันจะไปแจ้งให้นายท่านทราบเดี๋ยวนี้ค่ะ!”
ไซร่าตอบไดเอน่ากลับมาอย่างร้อนรนและรีบเข็นรถเข็นคนนั้นหายออกไปจากห้องในทันทีจนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นถึงกับต้องเอ่ยปากถามไดเอน่าขึ้นมา
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าน่ะไดเอน่า…?”
“อ๋อ~ ไม่ต้องคิดมากหรอก แค่ว่าปกติคนที่มาติดต่อขอพบท่านปู่ทวดจะดูไม่ค่อยปกติกันสักเท่าไหร่น่ะ พอคุณไซร่าเขาเห็นว่านายเหมือนจะเป็นเด็กนักเรียนธรรมดาๆ ก็เลยแปลกใจนิดหน่อยเท่านั้นแหล่ะ”
“ถึงกับต้องตกใจกันแบบนี้นี่ปกติแล้วคนที่มาติดต่อปู่ทวดของเธอเป็นคนจำพวกไหนกันแน่เนี่ย…?”
“ก็~ ส่วนมากมักจะเป็นพวกนักวิจัยที่สนใจในเรื่องในแปลกๆ หรืออะไรทำนองนั้นเป็นซะส่วนใหญ่น่ะ”
“หมายถึงคนแบบเอริกะเขาน่ะหรอ? ที่ว่าชอบสร้างของนู้นนี่นั่นอะไรพวกนั้นน่ะ?”
นากาที่ได้ยินคำว่านักวิจัยนั้นได้แต่เอ่ยปากถามขึ้นมาเพราะว่าเมื่อดูจากอุปกรณ์ประหลาดๆ ที่เอริกะเคยสร้างขึ้นมาแล้วเธอเองก็น่าจะถูกจัดอยู่ในหมวดนักวิจัยที่ชอบเรื่องแปลกๆ เช่นเดียวกัน แต่ว่าไดเอน่าก็ส่ายหน้ากลับมาให้เขาและพูดอธิบายขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ติดจะขำขันนิดๆ
“ไม่ใช่หรอกนากาคุง อย่างคุณเอริกะน่ะเขาเรียกว่านักประดิษฐ์ต่างหาก พวกนักวิจัยที่ฉันพูดถึงน่ะหมายถึงคนจำพวกที่มีความอยากรู้อยากเห็นและต้องการที่จะหาคำตอบของความเป็นได้ในทฤษฎีต่างๆ ด้วยตรรกะและเหตุผลที่แน่นอนต่างหากล่ะ แล้วถ้าจำไม่ผิดเหมือนพวกเขาจะเรียกตัวเองกันว่านักวิทยาศาสตร์อะไรสักอย่างประมาณนั้นเนี่ยแหล่ะ”
“อ่าาาาหะ”
“หึหึ~ ตอบกลับมาเสียงสูงแบบนี้หมายความว่าไม่เข้าใจที่ฉันพูดใช่มั้ยเนี่ย~?”
“เปล๊าาาาา”
ไดเอน่าที่ได้ยินนากาพูดปฏิเสธกลับมาเสียงสูงแบบนั้นได้เผยรอยยิ้มและหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอวางจานเค้กที่เพิ่งจะกินไปได้เพียงคำเดียวกลับลงไปบนโต๊ะแล้วจึงพูดอธิบายให้นากาฟังเพิ่มเติม
“เรื่องชื่อเรียกยากๆ นั่นช่างมันไปละกันเนอะ แต่ว่าสรุปง่ายๆ พวกเขาก็คือกลุ่มนักวิจัยที่ทำงานให้ทางวังหลวงนั่นแหล่ะ แล้วถึงฉันจะบอกว่าเขาเป็นแขกของท่านปู่ทวดก็เถอะ แต่ว่าที่จริงแล้วพวกเขาก็พยายามจะติดต่อกับพวกฉันกันทั้งตระกูลนั่นแหล่ะ”
“ทั้งตระกูลเลยงั้นหรอ…? ไม่ใช่ว่าที่พวกเขาสนใจคุณปู่ทวดของเธอนั่นน่าจะเป็นเพราะว่าคุณปู่ทวดของเธออายุยืนหรอกหรอ? หรือว่าที่จริงแล้วตระกูลของเธอก็อายุยืนกันทุกคนเลยน่ะ?”
“อื้มมม…”
คำถามของนากาถึงกับทำให้ไดเอน่าชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเธอเพิ่งจะรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรเกินควรออกมา แต่ถึงอย่างนั้นไดเอน่าก็ยังคงเหลือบตากลับมามองนากาเหมือนกับกำลังใช้ความคิดว่าจะบอกเขาถึงสาเหตุที่พวกนักวิจัยสนใจในตระกูลของเธอไปดีหรือเปล่าโดยไม่ได้รีบบอกปัดออกมา
ซึ่งนากาที่เห็นท่าทางครุ่นคิดของไดเอน่านั้นก็รีบพูดขอโทษออกมาในทันทีเพื่อที่จะได้ไม่ทำให้เพื่อนใหม่ของเขาลำบากใจ
“ถ—ถ้าเกิดว่าเธอไม่อยากจะบอกก็ไม่เป็นอะไรหรอกนะ ฉันแค่เกิดสงสัยขึ้นมาเฉยๆ น่ะ ขอโทษทีนะ”
“อ่ะ— เปล่าๆ ฉันไม่ได้โกรธนายหรือว่าอะไรแบบนั้นหรอก แค่ว่าฉันกำลังใช้ความคิดนิดๆ หน่อยๆ น่ะ…”
“ใช้ความคิดหรอ?”
“ก็แบบว่า… ถ้าเป็นนักเรียนคนอื่นๆ พวกเขาก็คงจะไม่กล้าถามเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับตระกูลฉันกันเลยใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นฉันก็เลยไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะอธิบายเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังยังไงดีน่ะ… แล้วฉันก็ไม่แน่ใจว่าถ้าบอกไปแล้วท่าทีของนายจะเปลี่ยนไปหรือเปล่าด้วย…”
ไดเอน่าพูดตอบนากากลับมาเบาๆ พลางเขี่ยแก้มตัวเองพร้อมกับเบือนสายตาหนีไปมองทางอื่น ซึ่งท่าทางของไดเอน่านั้นก็ทำให้นากาเข้าใจได้ในทันทีว่าความกลุ้มใจของอีกฝ่ายนั้นน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องวิซอย่างแน่นอน
เพราะว่าในโลกนี้การที่คนเราจะมีท่าทางกลุ้มใจกับอะไรบางอย่างได้ทั้งๆ ที่ร่างกายดูปกติดีก็คงจะไม่พ้นเรื่องของสิ่งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอย่างเรื่องของวิซแน่ๆ อยู่แล้ว
“อ๋อ ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า เพราะว่าฉันเองก็เข้าใจดีเหมือนกัน…”
“เอ๋ะ?”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอจะเชื่อฉันหรือเปล่านะ แต่ว่าจริงๆ แล้ววิซของฉันน่ะเข้ากันไม่ได้กับสักธาตุ… ไม่สิ…ต้องบอกว่าที่จริงแล้วฉันน่ะไม่มีวิซเลยสักนิดต่างหาก”
“หะ—”
ทันทีที่ไดเอน่าได้ยินคำพูดของนากาเธอก็ได้ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความประหลาดใจและหันกลับมามองเขาเหมือนกับไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะมีคนพูดจาล้อเล่นอะไรแบบนี้ด้วย แต่ว่าเมื่อไดเอน่าได้สบตากับนากาที่มองมาด้วยสายตาจริงจังนั้นเธอก็เริ่มคิดว่าเขาอาจจะกำลังพูดเรื่องจริงอยู่ก็ได้
“ต—ตายจริง– เป็นความจริงหรอนากาคุง? แน่ใจนะว่าไม่ใช่แค่ผลการทดสอบผิดพลาดหรืออะไรแบบนั้นน่ะ?”
“อื้อ…เรื่องนี้หมอที่ฉันเชื่อถือเป็นคนยืนยันผลการทดสอบให้เองน่ะ แล้วฉันก็เชื่อว่าถ้าแม้แต่เขาก็ยังยืนยันแบบนี้ต่อให้จะไปตรวจที่ไหนผลก็คงจะออกมาเหมือนกันนั่นแหล่ะ…”
นากาที่เชื่อมั่นในผลการตรวจของอารอนนั้นได้ยืดอกพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจในตัวของอารอนที่เขาแทบจะนับเป็นคนในครอบครัวไปแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าเรื่องของผลการตรวจที่เขาพูดออกมานั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะภูมิใจเลยก็ตาม ก่อนที่เขาจะรีบพูดขึ้นมาต่อเมื่อเห็นสายตาของไดเอน่าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา
“แต่ว่าต่อให้จะเป็นแบบนั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องสงสารหรือว่าเป็นห่วงฉันหรอก เพราะว่าต่อให้ฉันจะใช้วิซไม่ได้ฉันก็ยังเป็นคนปกติที่มีสองแขนสองขาเหมือนกับทุกๆ คนนั่นล่ะ…”
“…อื้ม เข้าใจแล้วล่ะ”
ไดเอน่าชะงักนิ่งไปสักพักแล้วจึงเผยรอยยิ้มที่ดูจริงใจออกมาให้นากาเห็น ซึ่งรอยยิ้มของเธอนั้นดูเหมือนจะจริงใจยิ่งไปกว่าในตอนที่เธอนั่งคุยกับเขาในห้องสภานักเรียนเสียอีกราวกับว่าเธอได้เปิดใจให้กับเขาไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว
“เฮ้อ~ แต่ว่านากาคุงเล่นบอกความลับของตัวเองออกมาแล้วแบบนี้ฉันเองก็คงจะต้องเผยความลับของฉันออกมาบ้างแล้วสินะเนี่ย~”
ทันทีที่ไดเอน่าพูดจบเธอก็ยกมือขึ้นมาปลดเข็มกลัดที่ทำจากแร่สีเขียวประดับพู่สีดำออกมาจากคอเสื้อของเธอในทันทีจนทำให้เสื้อนักเรียนของเธอที่ดูเรียบร้อยในทีแรกนั้นเปิดออกมาเล็กน้อยเผยให้เห็นต้นคอขาวผ่องของเธอได้อย่างชัดเจน
“หื้ม~? แอบดูอะไรอยู่หรือเปล่าเอ่ยนากาคุง~?”
“อ—เอ๋? เปล่านะ! อ—เอ่อ…”
คำพูดหยอกเล่นของไดเอน่านั้นทำให้นากาต้องรีบหลบตาหันไปทางอื่นและรีบเค้นสมองเพื่อหาเรื่องขึ้นมาพูดเพื่อเปลี่ยนเรื่องในที
แต่ว่าก่อนที่นากาจะคิดเรื่องอื่นออกมาคุยแทนได้นั้นสายตาของเขาไปสะดุดอยู่ที่เครื่องประดับสีเขียวที่ไดเอน่าเพิ่งจะถอดออกมาเข้าซะก่อน ซึ่งวัตถุดิบของมันนั้นเหมือนจะไม่ใช่เพรชพลอยหรือว่าแร่ล้ำค่าอะไรแต่ว่ากลับเป็นสิ่งของที่เขาคุ้นเคยดีมากกว่านั้น
“หือ…? เครื่องประดับของเธอนั่นมันทำมาจากคริสตัลวิซธาตุลมไม่ใช่หรอน่ะ? ทำไมเธอถึงเอามันมาทำเป็นเครื่องประดับแบบนี้ล่ะ?”
คำถามของนากานั้นไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเลยเพราะว่าส่วนมากแล้วคริสตัลวิซที่แต่ละคนพกติดตัวนั้นจะถูกนำไปใช้ติดอยู่กับตัวอาวุธเพื่อความสะดวกในการใช้งานหรือไม่ก็ใช้งานมันในรูปแบบก้อนคริสตัลที่ถูกดัดแปลงแล้วไปเลยไม่ใช่ว่านำมันเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประดับแบบนี้กัน
“อื้อ นายเดาไม่ผิดหรอก”
“อ้าว? ถ้าเกิดว่าเธอเอามันมาทำเป็นเครื่องประดับแบบนี้ก็น่าจะหมายความว่าจำเป็นที่จะต้องพกมันติดตัวเอาไว้ตลอดงั้นสินะ แล้วเธอถอดมันออกมาแบบนี้จะไม่เป็นอะไรหรอ?”
“มันก็ใช่… แต่ว่าที่ฉันต้องพกมันติดตัวเอาไว้ตลอดน่ะมันไม่ใช่เพราะว่าอะไรแบบที่นายคิดหรอกนะ ถ้านายสนใจมันจะลองเอามันไปดูใกล้ๆ ก็ได้นะฉันไม่ถือหรอก”
ไดเอน่าพูดขึ้นมาพลางหยิบมันขึ้นมาส่งให้กับนากา ซึ่งนากาก็รับมันมาส่องดูใกล้ๆ และพบว่าตัวคริสตัลนั้นไม่ได้แตกต่างจากคริสตัลธาตุลมทั่วไปที่เขาเคยเห็นสักเท่าไหร่ถึงแม้ว่าคุณภาพของมันจะดูสูงกว่าที่หาได้ตามท้องตลาดทั่วไปมากก็ตาม จะมีข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็ตรงที่ว่ามันถูกเจียระไนเป็นทรงกลมเพื่อนำมาทำเป็นเครื่องประดับเพียงเท่านั้น
และในขณะที่นากากำลังส่องดูมันด้วยสงสัยอยู่นั้น ไดเอน่าก็ได้หยิบก้อนน้ำตาลสี่เหลี่ยมก้อนหนึ่งที่อยู่ในชุดน้ำชาขึ้นมาถือเอาไว้และโยนมันขึ้นไปกลางอากาศจนทำให้นากาต้องเงยหน้ากลับขึ้นมามองเธอด้วยความแปลกใจ
“หื้ม?”
ฟู่ว…
น้ำตาลก้อนสี่เหลี่ยมที่กำลังจะร่วงหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วงนั้นได้ถูกสายลมเบาบางพยุงมันเอาไว้จนลอยอยู่กลางอากาศ แต่ถึงแบบนั้นนากาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรมากนักเพราะว่าการใช้วิซผ่านคริสตัลเพื่อควบคุมสิ่งของให้ลอยอยู่กลางกาศนั้นเรียกได้ว่าเป็นแบบฝึกหัดขั้นพื้นฐานของเหล่าเด็กๆ ที่เกิดมาพร้อมกับวิซธาตุลมซะด้วยซ้ำ
ซึ่งไดเอน่าที่เห็นว่านากาแทบจะไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับสิ่งที่เธอแสดงให้เขาดูนั้นก็ถึงกับหน้าเจือนไปเล็กน้อยและพูดบอกใบ้ออกมา
“เนี่ยแหล่ะนากาคุง สิ่งที่ทำให้พวกนักวิจัยเขาสนใจคนในตระกูลของฉันน่ะ”
“เอ๋ะ? วิซธาตุลมเนี่ยน่ะนะ?”
“เอ่อ…”
คำพูดของนากาที่มาพร้อมกับสีหน้ามึนๆ ของเขานั้นถึงกับทำให้ไดเอน่าทำตัวไม่ถูกไปสักพัก ก่อนที่เธอจะนึกขึ้นมาได้ว่าในเมื่อเด็กหนุ่มตรงหน้าของเธอไม่สามารถใช้วิซได้แบบนี้ก็อาจจะหมายความว่าเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังแสดงให้ดูจริงๆ ก็ได้
“อ่ะ… ลืมไปเลยว่านายใช้วิซไม่ได้นี่นะ แบบนี้จะไม่เข้าใจก็คงจะไม่แปลกหรอก… ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นว่านายลองดูเข็มกลัดที่นายถืออยู่นั่นให้ดีๆ สิ”
“เข็มกลัดนี่งั้นหรอ? …หืม?”
นากาที่ก้มกลับลงไปมองเข็มกลัดที่ถูกสร้างขึ้นมาจากคริสตัลวิซได้แต่เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อเขาพบว่าตัวคริสตัลสีเขียวที่อยู่ตรงกลางของมันนั้นไม่ได้กำลังเรืองแสงที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามันกำลังแปรสภาพวิซที่ถูกส่งเข้าใส่เพื่อใช้งานมันอยู่อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาต้องรีบเงยหน้ากลับขึ้นมาถามไดเอน่าในทันที
“เดี๋ยวนี้คริสตัลวิซมันมีแบบที่ไม่ส่องแสงเวลาใช้งานแล้วหรอ?”
“ฮะฮะ ของแบบนั้นน่ะยังไม่มีหรอกจ้ะ ต่อให้เธอจะเก่งขนาดไหนแต่ว่าเวลาใช้งานคริสตัลพวกนี้น่ะยังไงมันก็จะส่องแสงออกมาอยู่แล้วล่ะ~”
“เดี๋ยวสิ— แล้วแบบนี้ลมที่เธอใช้งานอยู่นั่นมันคืออะไรกันล่ะ? หรือว่าเธอแอบซ่อนเครื่องประดับเอาไว้อีกชิ้นงั้นหรอ?”
“อยากลองเช็กดูมั้ยล่ะ~”
“เอ่อ… ไม่ดีกว่าครับ…”
“คิกคิก~”
ไดเอน่าหัวเราะออกมาเล็กน้อยให้กับท่าทางไร้เดียงสาของนากาที่รีบหันหน้าหนีไปในทันทีก่อนที่เธอจะบังคับสายลมที่พยุงก้อนน้ำตาลอยู่นั้นให้ลอยไปลอยมารอบๆ ห้องโดยที่น้ำตาลก้อนนั้นไม่ได้ร่วงหล่นลงมา
แกร๊ก…
และเมื่อไดเอน่าเล่นสนุกจนพอใจแล้วเธอก็บังคับให้สายลมหอบก้อนน้ำตาลมาลอยอยู่เหนือถ้วยน้ำชาของเธอก่อนจะใช้สายลมบีบอัดก้อนน้ำตาลจนมันแตกเป็นผงละเอียดและปล่อยให้มันร่วงหล่นลงไปในถ้วยน้ำชาของเธอ
“ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ ก็คือตระกูลเซมฟิร่าของฉันน่ะสามารถแปรเปลี่ยนพลังวิซได้ด้วยตัวเอง เพราะแบบนั้นพวกฉันก็เลยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้คริสตัลวิซเป็นสื่อกลางในการใช้พลังไงล่ะ”
คำพูดของไดเอน่านั้นถึงกับทำให้นากาเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจ เพราะถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะไม่สามารถใช้วิซได้ แต่เขาเองก็รู้ดีว่าตามปกติแล้วคนเราจำเป็นต้องใช้คริสตัลวิซเป็นสื่อการในแสดงพลังวิซในตัวออกมา
เพราะฉะนั้นปกติแล้วการพกพาคริสตัลประจำตัวเอาไว้จำนวนหนึ่งตลอดเวลาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากว่าต่อให้คนๆ นั้นจะมีวิซมากมายมหาศาลเพียงใดแต่ถ้าเกิดว่าไม่มีคริสตัลวิซที่เหมาะสมกับตัวเองหรือว่าฝืนใช้งานมันจนแตกสลายไปแล้วพวกเขาก็จะไม่สามารถแสดงพลังที่มีออกมาได้เลยแม้แต่น้อย
ซึ่งการที่ไดเอน่าและคนในตระกูลของเธอสามารถใช้พลังออกมาได้โดยไม่ต้องพึ่งสื่อกลางอย่างคริสตัลวิซนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ปกติเลยแม้แต่น้อย เพราะนั่นหมายความว่าคนในตระกูลของเธอจะสามารถแสดงพลังออกมาได้หลากหลายโดยไม่ได้ถูกจำกัดด้วยรูปแบบการทำงานของคริสตัลที่พกเอาไว้
“เพราะแบบนั้นพวกคนจากวังหลวงถึงสนใจคนในบ้านเธองั้นสินะ…”
“ใช่แล้วล่ะ แต่เอาจริงๆ ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะต้องเป็นความลับอะไรขนาดนั้นหรอกนะ แค่ว่าคุณพ่อกับคุณแม่บอกเอาไว้ว่าอย่าเปิดเผยให้คนภายนอกรู้ ฉันก็เลยต้องทำตามที่พวกเขาบอกน่ะ… ส่วนคริสตัลวิซอันที่นายถืออยู่นั่นฉันก็โดนสั่งให้พกเอาไว้เพื่อหลอกตาคนอื่นเวลาใช้วิซนั่นแหล่ะ”
ไดเอน่าพูดขึ้นมาเหมือนกับไม่เห็นว่าเรื่องนี้มันควรจะเก็บเป็นความลับตรงไหน ก่อนที่เธอจะโบกมือไปมาเพื่อสร้างสายลมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งและสั่งให้มันพัดไปรอบๆ ห้องจนเหมือนกับว่าพวกเธอกำลังนั่งกันอยู่กลางทุ่งหญ้าที่มีสายลมจากธรรมชาติพัดผ่านไปมา
“งั้นเองสินะ… แบบนี้มันก็เหมือนกับว่าตระกูลของเธอมีเวทมนตร์หรืออะไรประมาณนั้นเลยสินะเนี่ย… ฉันว่าฉันเองก็พอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมพวกในวังหลวงถึงสนใจตระกูลของเธอน่ะ…”
ถึงแม้ว่านากาจะไม่มีความสามารถในการสัมผัสถึงกระแสและร่องรอยของวิซได้เหมือนกับที่อลิซเคยแสดงให้เขาดูในตอนที่เธอแกะรอยนำทางเขาไปหาเวก้า แต่ว่าเขาก็สามารถที่จะสัมผัสได้ถึงสายลมแผ่วเบาที่กำลังพัดไปมาอยู่ในห้องรับแขกนี้ได้ และในขณะที่นากากำลังมองดูเส้นผมสีบลอนด์ทองของไดเอน่าที่กำลังพลิ้วไหลไปตามสายลมอยู่นั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้เข้าซะก่อน
“แล้ว… เธอเอาความลับของตระกูลมาเล่าฉันฟังแบบนี้นี่จะไม่เป็นอะไรหรอ?”
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ ไหนๆ นายก็ยอมบอกความลับของนายให้ฉันฟังแล้วแบบนั้น ถ้าเกิดว่าฉันไม่ยอมบอกความลับของตัวเองไปบ้างมันก็ไม่แฟร์สิจริงมั้ย? อีกอย่างนึงต่อให้นายจะรู้ว่าวิซธาตุลมของฉันไม่ถูกจำกัดด้วยรูปแบบของคริสตัลแล้วก็เถอะแต่ว่านายก็ยังไม่รู้อยู่ดีใช่มั้ยล่ะว่าฉันควบคุมให้มันโจมตีหรือป้องกันด้วยวิธีไหนได้บ้างน่ะ~”
“อ่า— ถ้าเธอว่าอย่างงั้นละก็นะ”
นากาได้แต่ยอมพูดตามน้ำกับไดเอน่าไปด้วยถึงแม้ว่าเขาจะคิดว่าเรื่องที่เขาไม่สามารถใช้วิซได้นั้นไม่เห็นจะเป็นความลับอะไรตรงไหนเลยก็ตามทีก่อนที่ไดเอน่านั้นจะนึกอะไรขึ้นมาได้และยกนิ้วขึ้นมาแตะปากของเธอพร้อมกับพูดกำชับขึ้นมา
“อ่ะจริงสิ แต่ยังไงนายก็อย่าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้คนอื่นฟังละกันนะเพราะไม่งั้นเดี๋ยวฉันจะโดนคุณพ่อกับคุณแม่ดุเอาน่ะ~”
“ก็ในเมื่อมันเป็นความลับของตระกูลเธอฉันก็ไม่คิดจะเอาไปบอกใครเขาอยู่แล้วล่ะ”
“งั้นก็ถือว่าเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเราสองคนก็ละกันเนอะ~”
ไดเอน่าที่ได้ยินคำพูดยืนยันจากนากานั้นได้แย้มยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีและยื่นมือออกมาเพื่อขอเข็มกลัดของเธอกลับไปพร้อมกับโยนมันเล่นไปมาเหมือนกับไม่สนใจที่จะนำมันกลับไปติดบนคอเสื้อให้เรียบร้อยเลยแม้แต่น้อย
“ว่าแต่ความสามารถในการใช้วิซได้โดยไม่ต้องพึ่งคริสตัลนี่ตระกูลของเธอทำกันได้ทุกคนเลยหรือเปล่าน่ะ? แล้วยังมีตระกูลอื่นที่มีความสามารถแบบนี้อีกด้วยหรือเปล่า?”
“เอาจริงๆ ก็มีแค่ทายาทสายตรงของท่านปู่ทวดอย่างฉันกับคุณแม่เท่านั้นแหล่ะที่ทำอะไรแบบนั้นได้น่ะ ส่วนเรื่องที่ว่ามีตระกูลอื่นที่มีความสามารถแบบนี้อีกมั้ยนั่นฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าพวกเขาก็คงจะพยายามปกปิดมันไว้เหมือนกับตระกูลของฉันนั่นแหล่ะ”
“อื้ม ก็ถ้าต้องโดนคนจากในวังมาคอยกวนใจอยู่เรื่อยๆ แบบนั้นต่อให้เป็นฉันก็คงจะพยายามปิดเอาไว้เหมือนกันนั่นล่ะ”
ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตค่ะ”
ในขณะที่พวกเขากำลังคุยเล่นกันอยู่นั้นก็ได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงของสาวใช้ไซร่าจนทำให้ไดเอน่าสะดุ้งสุดตัวและรีบคว้าเครื่องประดับของเธอที่ลอยอยู่กลางอากาศเพื่อนำมันมาสวมที่เดิมให้เรียบร้อยในทันที ก่อนที่เธอจะหันกลับไปแย้มยิ้มให้กับไซร่าและพูดขึ้นมาเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
“เป็นยังไงบ้างคะคุณไซร่า? ท่านปู่ทวดของว่ายังไงบ้างหรอ?”
“นายท่านบอกว่าขอเวลาเตรียมตัวสักครู่ค่ะ แต่ว่าถ้าคุณหนูต้องการก็ให้ไปรอพบนายท่านที่หน้าห้องได้เลยเช่นกันค่ะ”
“โอเคจ้ะ ถ้างั้นพวกเราก็ไปรอท่านปู่ทวดเขากันเถอะนากาคุง”
ไดเอน่าพยักหน้าตอบไซร่ากลับไปก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและเดินนำนากาไปที่ชั้นสองของบ้านหลังน้อยของเธอและเดินตรงลึกเข้าไปด้านในเรื่อยๆ จนไปสุดอยู่ที่ประตูบานหนึ่งที่อยู่สุดโถงทางเดิน
“ห—ห้องนี้หรอ?”
“อื้อ ท่านปู่ทวดที่ฉันพูดถึงอยู่ด้านหลังประตูบานนี้แหล่ะ”
แอ๊ด…
“คุณหนูไดเอน่าคะ นายท่านพร้อมที่จะให้เข้าพบแล้วค่ะ”
ในขณะที่นากากำลังพยายามทำใจอยู่นั้นประตูบานตรงหน้าก็ค่อยๆ ถูกแง้มออกอย่างช้าๆ ก่อนที่จะมีสาวใช้คนหนึ่งเดินออกมาจากภายใน ซึ่งสาวใช้คนนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นไดเอน่าและนากายืนอยู่ตรงหน้าก่อนจะหันมาค้อมหัวให้คุณหนูของเธอเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นมาแล้วจึงเดินจากไปในทันที
“ม—ไม่มีเวลาให้ทำใจก่อนเลยสินะเนี่ย…”
“เอาหน่าๆ นายไม่ต้องกลัวอะไรมากนักหรอก คิดซะว่าท่านเป็นแค่คนแก่ธรรมดาๆ คนหนึ่งก็ได้”
“ถ้ามันทำได้ง่ายๆ แบบนั้นก็ดีสิ! แล้วฉันดันไปรู้ความลับของตระกูลเธอแล้วด้วยนี่ฉันก็ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะทำตัวไงดีเข้าไปใหญ่เลยเนี่ย”
“หึหึ อย่างนายทำได้อยู่แล้วล่ะน่า~ ขนาดสอบเข้าโรงเรียนรีมินัสกลางปีก็ยังกล้าทำมาแล้วเลยนี่ เรื่องแค่นี้ไม่ต้องกลัวไปหรอก~ เอาล่ะ รีบเข้าไปกันเถอะ~ ท่านปู่ทวดคะ หนูมาแล้วค่ะ~”
“เฮ้อ… ก็บอกว่าไม่ต้องเรียกว่าท่านก็ได้ไง เธอเนี่ยนะ…”
เมื่อไดเอน่าพูดจบเธอก็ได้เปิดประตูและเดินเข้าไปด้านในห้องในทันทีก่อนที่จะมีเสียงของชายวัยกลางคนดังแว่วๆ ออกมาให้เขาได้ยิน ซึ่งนากาก็หลับตากลั้นใจอยู่สักพักและรีบเดินตามเข้าไปด้านในด้วยเช่นกัน
“ขออนุญาตนะ…ครับ?”
สภาพด้านในห้องนั้นถึงกับทำให้นากาชะงักไปชั่วขณะเพราะว่าในห้องขนาดพอประมาณที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนั้นถูดอัดแน่นไว้ด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์หลากหลายชนิดที่มีปริมาณมากกว่าที่เขาเคยเห็นในคลินิกของอารอนซะอีก และยิ่งไปกว่านั้นชายคนที่นอนอยู่บนเตียงกลางห้องที่เหมือนว่าจะเป็นท่านปู่ทวดของไดเอน่านั้นก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคาดคิดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
เพราะว่าจากที่เธอเล่ามาให้เขาฟัง ท่านปู่ทวดของเธอน่าจะมีอายุถึงหลักร้อยหรือไม่เผลอๆ ก็อาจจะถึงหลักพันเข้าไปแล้ว แต่ว่าชายคนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นกลับมีสภาพไม่ต่างจากชายวัยกลางคนอายุห้าสิบถึงหกสิบไปสักเท่าไหร่ ซึ่งถึงแม้ว่าเส้นผมบางส่วนของเขาจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวไปบ้างแล้วและตามผิวหนังก็เริ่มมีร่องรอยของความแก่ชราอยู่บ้าง แต่ว่าสภาพโดยรวมของเขาก็ยังดูหนุ่มแน่นกว่าขุนนางสูงวัยที่เขาไปเจอมาในกราวิทัสเสียอีก
“แหม่ ก็คุณพ่อกับคุณแม่เขาเรียกท่านปู่ทวดกันแบบนั้นหนูก็เลยเรียกตามบ้างเฉยๆ เองน่ะ”
“ฮึ่ม! หนูไม่ต้องไปฟังไอ้เจ้าเดวิดนั่นขนาดนั้นก็ได้… เฮ้อ… นี่ฮิลด้าไปชอบเจ้าหนุ่มนั่นได้ยังไงกันแน่นะ…”
“คิกคิก ถึงท่านปู่ทวดจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่เขาก็รักกันจะตายนะคะ~”
“เฮ้อ… งั้นก็ช่างมันเถอะ แล้วไหนล่ะแขกที่ไดเอน่าจังพามาน่——–”
คุณปู่ทวดของไดเอน่าพูดขึ้นมาพร้อมกับชะโงกหน้ามาดูเด็กหนุ่มผมสีดำที่กำลังยืนตัวลีบอยู่ที่หน้าประตูก่อนที่เขาจะชะงักไปในทันทีและเบิ่งตากว้างมองนาการาวกับว่าไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“น—นาย…”
“ท่านปู่ทวดคะ นั่นคือคนที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์ของคุณเวก้าที่ท่านปู่ทวดฝากให้หนูตามหาไงคะ เขาชื่อว่านา—-”
“น—นากามูระ คาซุนาริ…”