Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 7
ตึ้ง!
ในช่วงกลางดึกของคืนวันเดียวกันนั้น หลังจากที่รถกระบะที่ได้โมโกะเป็นผู้ขับชั่วคราวได้โลดแล่นผ่านถนนไปได้สักพักหนึ่งจนท้องฟ้าเริ่มที่จะมืดลงและทุกคนตัดสินใจที่จะนอนหลับพักผ่อนกันไปได้สักพักหนึ่งแล้วก็ได้มีเสียงของตัวรถที่เหมือนว่าจะไปสะดุดกับอะไรบางอย่างดังขึ้นมาให้นากาที่นอนหลับอยู่ได้ยินเข้าจนทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“หือ…?”
นากาที่สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกได้หลุดเสียงร้องออกมาด้วยความประหลาดใจเพราะว่าสิ่งที่เขาได้เห็นนั้นไม่ใช่บรรยากาศยามค่ำคืนที่มีป่าหรือทุ่งหญ้าแบบที่เขาคิดเอาไว้ว่าจะได้เห็น แต่ว่ากลับเป็นบรรกาศขมุกขมัวของหมอกสีขาวหนาทึบที่ล้อมรอบตัวรถเอาไว้จนแทบจะมองไม่เห็นสภาพแวดล้อมรอบข้างนอกจากพื้นถนนที่อยู่รอบๆ ตัวรถเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งเมตร อีกทั้งบนท้องฟ้าเหนือหัวของเขาเองก็ยังมีแสงสว่างเล็กน้อยที่ลอดผ่านหมอกหนาทึบลงมาทั้งๆ ที่เขาค่อนข้างจะมั่นใจว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่พระอาทิตย์ควรจะขึ้นอีกด้วย
“ในที่สุดก็ตื่นแล้วสินะ…”
“—-!?”
ในขณะที่นากากำลังพยายามเพ่งตามองไปยังเบื้องหลังของม่านหมอกอยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่เขาไม่คุ้นหูดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ จนทำให้นากาถึงกับสะดุ้งตกใจและรีบหันกลับไปมองด้านหลังของเขาในทันที
และนั่นก็ทำให้นากาได้พบเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีขาวยาวสลวยที่มัดผมของเธอเอาไว้เป็นทรงหางม้ายาวลงมาจนเกือบจะถึงพื้นรถในชุดเสื้อกาวน์สีขาวกำลังนั่งอยู่ที่ด้านในสุดของกระบะท้ายรถอันเป็นบริเวณที่อารอนกับพยาบาลสาวผมบลอนด์ของเขาจับจองพื้นที่เอาไว้สำหรับรักษาตัวอลิซในระหว่างการเดินทาง
“ถ้าดูจากเส้นทางแล้วนายคงจะกำลังไปที่รีมินัสงั้นสินะ… ด้วยกันกับอารอนแล้วก็พวกเพื่อนใหม่ของนายน่ะ…”
หญิงสาวผมสีขาวได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาพร้อมกับละสายตาออกมาจากม่านหมอกที่ล้อมตัวรถกระบะอยู่เพื่อใช้นัยน์ตาของเธอที่ข้างหนึ่งเป็นสีเหลืองอำพันและอีกข้างหนึ่งที่เป็นสีแดงดุจทับทิมจ้องมองดูนากาด้วยสีหน้านิ่งๆ
“อ..เอ่อ… มันก็ใช่ล่ะมั้ง…”
นากาที่กำลังเหม่อมองดูนัยน์ตาสองสีที่ดูสวยงามที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมาได้เผลอพูดตอบเธอกลับไปอย่างเหม่อลอยก่อนที่เขาจะตั้งสติได้และรีบมองหาตัวอารอนและเพื่อนๆ ของเขารวมถึงพรีมูล่าที่ควรจะนั่งรถมาด้วยกัน
แต่ว่าเขาก็กลับไม่พบเจอใครเลยแม้แต่คนเดียวราวกับว่าโลกใบนี้เหลืออยู่เพียงแค่ตัวเขาเองกับหญิงสาวผมสีขาวตาสองสีเบื้องหน้าและหมอกสีขาวนวลที่ห้อมล้อมรถของพวกเขาอยู่เพียงแค่นั้น
“จะมองหาอะไรล่ะ… พวกเขาก็ยังนอนหลับอยู่ที่ข้างนอกนั่นเหมือนกับทุกๆ ครั้งที่นายเข้ามาข้างในนี้นั่นล่ะ…”
หญิงสาวผมสีขาวตาสองสีได้แสดงท่าทีแปลกใจเล็กน้อยกับท่าทางตื่นตระหนกของนากาที่มองหาตัวเพื่อนๆ ของเขาไม่พบจนทำให้นากาที่ได้ยินแบบนั้นพอจะทำใจให้เย็นลงได้บ้างและตัดสินใจที่จะพูดถามหญิงสาวผมสีขาวเบื้องหน้าที่ดูเหมือนว่าจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมา
“ง—งั้นหรอครับ… แล้วถ้าอย่างนั้นที่นี่คือที่ไหนหรอครับ…?”
“….?”
หญิงสาวผมสีขาวที่ได้ยินคำถามของนากาได้เลิกคิ้วมองเขาด้วยท่าทีประหลาดใจอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะหยิบเอาหนังสือปกหนังสีน้ำตาลออกมาจากภายใต้เสื้อกาวน์ของเธอและเปิดไล่มองดูมันอยู่สักพักใหญ่ๆ แล้วจึงเอ่ยปากพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“อืม… เป็นแบบนั้นเองสินะ… เพราะแบบนั้นที่นี่ก็เลยกลายเป็นแบบนี้งั้นหรอ…”
“เอ่อ…”
“ที่นี่เป็นบ้านพักชั่วคราวของฉัน… เป็นสถานที่ที่ทุกคนมีมันอยู่แต่ว่าไม่สามารถเข้าถึงได้… ถ้าเอาตามที่คนส่วนมากเรียกกันมันก็คงจะต้องเรียกว่า… จิตใต้สำนึก… ล่ะมั้ง…”
ในขณะที่นากากำลังจะเอ่ยปากพูดถามขึ้นมานั้นหญิงสาวผมสีขาวก็ได้ชิงเอ่ยปากพูดตอบคำถามก่อนหน้านั้นของนากาออกมาก่อนก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมาทาบเอาไว้ที่อกของตัวเองและค้อมหัวลงเล็กน้อยพร้อมกับพูดแนะนำตัวเองออกมา
“ฉันชื่อว่า ‘พาเทียซ์’ เป็นผู้ที่ได้รับหน้าที่ให้มาดูแลสถานที่แห่งนี้…”
“เอ่อ… ถ้างั้นก็ยินดีที่ได้รู้จักนะพาเทียซ์ ฉันชื่อว่า—”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันเป็นผู้ดูแลที่นี่เพราะงั้นฉันก็ต้องรู้จักชื่อของนายอยู่แล้วสิ… ใช่มั้ยล่ะนากามูระ อาร์ทิอัส… ถึงเอาจริงๆ แล้วนายชอบให้คนอื่นเรียกนายสั้นๆ ว่า ‘นากา’ มากกว่าก็เถอะนะ…”
ในขณะที่นากากำลังจะเอ่ยปากพูดแนะนำตัวออกมาอยู่นั้นเองพาเทียซ์ก็ได้พูดขัดเขาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งจนทำให้นากาถึงกับชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะตัดสินใจพูดถามในสิ่งที่เขารู้สึกสงสัยอยู่ขึ้นมาแทน
“อ่า… แล้วถ้าเกิดว่าเธอเป็นผู้ดูแลที่นี่จริงๆ เธอพอจะรู้สาเหตุที่ทำให้ฉันโผล่เข้ามาข้างในนี้หรือเปล่าน่ะ…?”
“………”
พาเทียซ์ที่ได้ยินคำถามของนากาได้นิ่งเงียบไปพักใหญ่ๆ ก่อนที่เธอจะเหลือบไปมองอะไรบางอย่างที่ถูกวางพิงเอาไว้ที่ใกล้ๆ ตัวเธอพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“….ก็อาจจะเป็นเพราะเจ้านั่นล่ะมั้ง”
“…..?”
นากาที่ได้ยินคำตอบของพาเทียซ์ได้เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหันไปมองสิ่งที่พาเทียซ์กำลังจ้องมองอยู่และได้พบว่ามันก็คือดาบสีเทาที่มีคราบเลือดสีแดงเปื้อนอยู่บนใบดาบหรือก็คือดาบเฟเบิล ดรีมเมอร์ที่เขาได้รับพลังในการเรียกมันมาจากอลิซนั่นเอง
“เฟเบิล ดรีมเมอร์งั้นหรอ… มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงน่ะ…?”
“…แล้วทำไมมันถึงจะมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ล่ะ ในเมื่อมันเป็นอาวุธของนายเพราะงั้นมันจะอยู่ในสถานที่แห่งนี้ที่เปรียบเสมือนกับจิตใต้สำนึกของนายมันก็ไม่แปลกไม่ใช่หรือไง… แต่ที่ฉันแปลกใจก็คือว่าทำไมถึงมีแค่เจ้านี่ที่ยังอยู่มากกว่า…”
“เธอหมายความว่าไงน่ะ?”
“เฮ้อ… ตกลงนี่นายจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ สินะ…”
พาเทียซ์ที่ได้ยินคำถามของนากาอีกครั้งหนึ่งได้ถอนหายใจออกมาและส่ายหน้าไปมาด้วยท่าทีที่ยากจะแยกออกได้ว่าเธอกำลังรู้สึกผิดหวังหรือว่ากำลังรู้สึกเหนื่อยใจอยู่กันแน่จนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นเองก็เริ่มที่จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้างเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ทำตัวเหมือนกับว่าเขาเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสาหรือว่าคนความจำเสื่อมแบบนั้น
“นี่เธอพูดถึงเรื่องอะไรอยู่กันแน่เนี่ย ฉันเพิ่งจะเคยเข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรกเองนะ”
“เฮ้อ… ถ้างั้นก็ช่างมันเถอะ… เอาเป็นว่าสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้นายเข้ามาที่นี่ในครั้งนี้มันก็เป็นเพราะเจ้าดาบของนายนั่นแหล่ะ…”
“งั้นหรอ… เดี๋ยวสิ—ดาบเฟเบิล ดรีมเมอร์นั่นมันใช่ของฉันซะที่ไหนกันล่ะ เจ้าของจริงๆ ของมันน่าจะเป็นอลิซซะมากกว่าไม่ใช่หรือไง”
“แต่เด็กคนที่ชื่อว่าอลิซนั่นก็บอกนายแล้วไม่ใช่หรอว่าเธอไม่ได้เป็นคนมอบพลังอะไรให้กับนายน่ะ…”
พาเทียซ์พูดตอบนากากลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยที่ติดจะเหนื่อยหน่ายนิดๆ ราวกับว่าสิ่งที่เธอพูดออกมามันเป็นอะไรที่นากาน่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ว ซึ่งคำพูดของพาเทียซ์นั้นก็ได้ทำให้นาการู้สึกสับสนไปมากกว่าเดิมจนเขาได้แต่ต้องก้มลงไปมองดาบเจ้าปัญหาของเขาราวกับหวังว่ามันจะมอบคำตอบอะไรสักอย่างหนึ่งให้กับเขาได้
“เฮ้อ… ถ้าเกิดว่านายนึกไม่ออกมันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรสักหน่อยนี่… ยังไงซะมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรที่จำเป็นจะต้องนึกให้ออกอยู่แล้วล่ะนะ…”
พาเทียซ์ที่เห็นท่าทางสับสนของนากาได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ จนทำให้นากาที่ได้ยินแบบนั้นเงยหน้าขึ้นมามองหน้าเธออย่างเงียบๆ อยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะเลือกที่จะปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อนตามที่เธอว่าและพูดถามเรื่องอื่นขึ้นมาแทน
“พาเทียซ์… เธอบอกว่าเธอเป็นผู้ดูแลที่นี่ใช่มั้ย ถ้างั้นเธอพอจะบอกอะไรฉันเกี่ยวกับที่นี่ได้บ้างล่ะ?”
“ถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วฉันเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรพอๆ กับนายนั่นล่ะ… เพราะว่าตอนที่ฉันตื่นขึ้นมามันก็กลายเป็นทะเลหมอกแบบนี้ไปแล้วนี่ล่ะ…”
“กลายเป็นทะเลหมอกแบบนี้…? เธอหมายความว่าปกติแล้วที่นี่มันไม่ได้มีแต่ทะเลหมอกงั้นหรอ?”
“มันก็ใช่…”
พาเทียซ์พูดตอบนากากลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะละสายตาออกจากนากากลับไปยังทะเลหมอกหนาทึบที่ล้อมรอบตัวรถอยู่อีกครั้งหนึ่งและนิ่งเงียบไปในขณะที่ทางด้านนากาที่ได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะพูดถามขึ้นมา
“ถ้างั้นปกติแล้วที่นี่มันเป็นยังไงล่ะ?”
“ปกติแล้วมันเป็นยังไงงั้นหรอ…”
คำถามของนากาได้ทำให้พาเทียซ์เงยหน้าขึ้นไปมองแสงสว่างที่ลอดผ่านม่านหมอกเหนือหัวของเธอลงมาอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดตอบคำถามของนากาออกมา
“ถ้าจะให้อธิบายคร่าวๆ ล่ะก็… คงจะต้องเรียกว่าเป็นสถานที่ที่สวยงามล่ะมั้ง… เป็นโลกที่มีท้องฟ้าสีครามกว้างไกลสุดสายตา… มีดวงอาทิตย์ที่แสนอบอุ่นคอยมอบแสงสว่าง… และในยามค่ำคืนก็มีดวงดาวแพรวพราวระยิบระยับเต็มผืนฟ้า… เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความฝัน ความรัก หรือแม้แต่น้ำตา… อะไรประมาณนั้นล่ะมั้ง…”
“ขนาดนั้นเลยหรอ… ฟังดูต่างกับทะเลหมอกตอนนี้กันคนละเรื่องเลยนะนั่น… แล้วเธอพอจะรู้หรือเปล่าว่าทำไมมันถึงกลายมาเป็นทะเลหมอกเหมือนกับตอนนี้น่ะ?”
“……..”
พาเทียซ์ที่ได้ยินคำถามของนากาได้นิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนที่เธอหันกลับมามองทางด้านนากาด้วยสายตาเย็นชาแล้วจึงพูดตอบเขากลับมาอีกครั้ง
“มันก็เป็นเพราะนายไง…”
“เพราะฉัน?”
“ใช่… เพราะว่าที่นี่คือจิตใต้สำนึกของนายเพราะงั้นสภาพของมันจะออกมาเป็นยังไงมันก็ขึ้นอยู่กับตัวนายนั่นล่ะ… ถึงตัวฉันจะมีอำนาจในระดับหนึ่งในฐานะผู้ดูแลก็เถอะแต่ว่าฉันก็ไม่สามารถกำหนดสภาพโดยรวมของมันได้หรอกนะ…”
“ง—งั้นหรอ… แต่ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าทำไมมันถึงเปลี่ยนจากแบบที่เธอเล่าจนกลายเป็นทะเลหมอกแบบนี้น่ะ…”
นากาที่ถูกพาเทียซ์พูดใส่ด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ได้ผงะไปเล็กน้อยพร้อมกับพูดตอบเธอกลับไปเบาๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้พาเทียซ์ละสายตาจากนากาไปมองทะเลหมอกรอบกายอีกครั้งหนึ่งและพูดขึ้นมาเบาๆ ให้เขาได้ฟัง
“ทะเลหมอก… หนึ่งในอัตลักษณ์ของความสับสน… แล้วยังเป็นทะเลหมอกที่หนาทึบซะจนแทบจะมองไม่เห็นรอบกายบวกกับบรรยากาศที่ขมุกขมัว… ถ้าเกิดว่าจิตใต้สำนึกของนายแสดงให้เห็นแบบนี้มันก็คงจะหมายความว่านายคงจะกำลังรู้สึกสับสน ไม่มั่นใจและลังเล…”
“………”
คำพูดของพาเทียซ์นั้นได้ทำให้นากานิ่งเงียบไปและก้มหน้าลงต่ำเพราะว่ามันค่อนข้างจะแทงใจดำของเขามากพอตัวอยู่ เนื่องจากว่าในเวลานี้ในหัวของนากานั้นเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่เขาต้องการคำตอบ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ว่าทำไมตัวเขาถึงไม่สามารถใช้วิซได้ทั้งๆ ที่พรีมูล่าผู้ที่เป็นน้องสาวของเขาเชี่ยวชาญในเรื่องวิซมากจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะอีกทั้งยังมีวิซธาตุที่ว่ากันว่าเป็นธาตุหายากอย่างธาตุน้ำแข็งอีกด้วย
หรือเรื่องที่ว่าทำไมทั้งอลิซและพาเทียซ์ถึงพูดเหมือนกับว่าพวกเธอรู้ว่าดาบเฟเบิล ดรีมเมอร์ของเขามีที่มายังไงกันแน่และบอกว่าเขาเป็นเจ้าของมันมาตั้งแต่แรกทั้งๆ ที่เขามั่นใจว่าเขาไม่เคยมีความสามารถในการเรียกมันออกมามาก่อนที่จะจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของอลิซตอนที่อยู่ในป่านั่นแน่ๆ
แล้วไหนยังจะมีเรื่องที่ว่าทำไมอารอนถึงยอมเสี่ยงใช้ชื่อเสียงของตัวเองในการออกจดหมายแนะนำตัวให้กับตัวเขาผู้ที่ใช้วิซไม่ได้ไปยื่นให้กับคนที่ทำงานในวังหลวงของเมืองรีมินัสแบบนั้นทั้งๆ ที่ไม่ว่าเขาจะคิดยังไงเพื่อนเก่าของอารอนคนนั้นก็คงไม่มีทางจะรับคนที่ใช้วิซไม่ได้แบบเขาเข้าไปทำงานอยู่แล้วแท้ๆ
ซึ่งเรื่องทั้งหมดนั้นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องก้มหน้าลงด้วยความท้อแท้จนทำให้พาเทียซ์ที่เห็นแบบนั้นยักไหล่ด้วยท่าทีเหมือนกับไม่สนใจว่าเด็กหนุ่มจะรู้สึกยังไงก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาลอยๆ
“ฉันไม่สนหรอกนะว่าข้างนอกนั่นมันจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง… แต่ถ้าเกิดว่านายจำอะไรไม่ได้จริงๆ ถ้างั้นก็แค่เริ่มต้นใหม่อีกครั้งนึงก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง… แล้วบางทีการลืมเรื่องเก่าๆ ไปเพื่อเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่แรกมันก็อาจจะเป็นความคิดที่ดีกว่าก็ได้ล่ะมั้งนะ…”
“เริ่มต้นใหม่งั้นหรอ…”
“อารอนเขาเตรียมแผนการเอาไว้ให้นายที่รีมินัสแล้วนี่… ฉันหมายถึงเจ้าจดหมายแนะนำตัวนั่นน่ะ… ถ้าเกิดว่าตอนนี้นายยังคิดอะไรไม่ออกนายก็ทำตามที่อารอนแนะนำไปก่อนก็ได้… แล้วหลังจากนั้นนายก็ค่อยกลับมาคิดว่านายจะทำให้ที่นี่กลับไปเป็นแบบเดิมหรือว่าจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ในแบบที่ตัวนายในตอนนี้ต้องการ…”
“ทำให้มันกลับไปเป็นแบบเดิมหรือว่าสร้างมันขึ้นมาใหม่งั้นหรอ…”
“ใช่… แต่ว่าสุดท้ายแล้วนายจะทำแบบไหนมันก็เป็นสิ่งที่นายต้องเลือกด้วยตัวเองล่ะนะ… เพราะไม่ว่ายังไงสิ่งที่ผู้ดูแลอย่างฉันสามารถทำได้ก็มีเพียงแค่การเฝ้าดูอยู่แล้ว…”
“แค่คอยเฝ้าดูหรอ…?”
นากาที่ได้ยินคำพูดของพาเทียซ์ได้เงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วมองเธอด้วยความประหลาดใจ เพราะว่าในความคิดของเขาสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำอยู่อย่างการพยายามพูดปลอบเขานั้นมันก็ค่อนข้างจะมากเกินกว่าคำว่าคอยเฝ้าดูอย่างเดียวที่เธอพูดขึ้นมาไปไกลแล้ว
ซึ่งในชั่วขณะที่นากาเงยหน้ากลับขึ้นมานั้นพาเทียซ์ก็เพิ่งจะยกขาขึ้นมาไขว่ห้างกอดอกมองดูทะเลหมอกรอบกายอยู่จนทำให้นากาที่เพิ่งจะสังเกตเห็นการแต่งกายของอีกฝ่ายที่เป็นเสื้อเอวลอยกับกระโปรงสั้นและถุงน่องยาวสีดำกึ่งโปร่งใสที่สวมใส่ทับด้วยเสื้อกาวน์สีขาวอดไม่ได้ที่จะเผลอจ้องมองไปยังบริเวณที่ผิวกายขาวผ่องของหญิงสาวเปิดเผยออกมาให้เห็น
และในขณะที่นากากำลังเผลอตัวไปจ้องมองเรือนร่างของอีกฝ่ายอยู่นั้นพาเทียซ์ก็ได้หันกลับมาจ้องมองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“นายรู้หรือเปล่าล่ะว่าพอฉันเป็นผู้ดูแลที่นี่แบบนี้ฉันก็เลยพอจะรู้ได้ว่าในหัวของนายกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ด้วยเหมือนกันน่ะ…”
“อ่ะ—- ท–โทษทีๆ ! แต่ว่าแค่ทำตามที่อารอนบอกมันจะพอจริงๆ หรอ… มันน่าจะมีอะไรที่ฉันน่าจะพอทำเองได้บ้างสิ”
“อื้ม… อย่างน้อยตัวนายในตอนนี้ก็ไม่ได้ซื่อบื้อจนน่าหมดหวังล่ะนะ…”
พาเทียซ์ที่ได้ยินคำพูดของนากาได้เผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองดูทะเลหมอกรอบกายที่ดูเหมือนว่าจะเบาบางลงเล็กน้อยจนสามารถมองเห็นแนวต้นไม้ที่อยู่สองข้างทางได้รางๆ โดยไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมาอีก
และหลังจากที่เวลาผ่านไปอีกสักพักใหญ่ๆ ท่ามกลางความเงียบอยู่ๆ พาเทียซ์ก็ได้ลุกยืนขึ้นและมองตรงไปยังเบื้องหน้าพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าพวกเราใกล้จะถึงที่หมายกันแล้ว… เพราะงั้นคงจะได้เวลาบอกลากันแล้วล่ะ…”
“หืม? ไหนๆ”
นากาที่ได้ยินคำพูดของพาเทียซ์ได้ลุกขึ้นเดินไปยืนอยู่ที่ข้างกายของเธอและมองตรงไปยังเบื้องหน้าด้วยเช่นเดียวกันก่อนที่ทันใดนั้นเองทะเลหมอกรอบกายจะค่อยๆ จางหายไปอย่างรวดเร็ว
“อุ….”
ในทันทีที่ทะเลหมอกที่ห้อมล้อมตัวรถกระบะอยู่ได้จางหายไปจนหมดนากาที่มองเห็นสิ่งที่รอคอยเขาอยู่ที่เบื้องหน้านั้นก็ถึงกับรู้สึกคลื่นไส้จนแทบจะทรุดตัวลงไปอาเจียนออกมา
เพราะว่าภาพที่ปรากฏอยู่ที่สุดปลายถนนที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตรนั้นก็คือเมืองที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารที่ถูกคั่นเอาไว้ด้วยกำแพงขนาดใหญ่สามชั้นที่แบ่งตัวเมืองออกเป็นสามชั้นหลักๆ ประกอบไปด้วยตัวเมืองชั้นนอกและตัวเมืองชั้นในกับปราสาทขนาดใหญ่ที่ดูสวยงามที่ตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางของตัวเมือง
แต่ถึงแม้ว่าตัวปราสาทที่ตั้งอยู่ตรงใจกลางเมืองจะมีขนาดใหญ่โตและสวยงามจนน่าตกตะลึงมากขนาดไหนก็ตามแต่ว่ามันก็กลับมีกลุ่มก้อนสีดำที่ดูเหมือนกับควันสีดำอัดแน่นลอยเกาะกลุ่มห้อมล้อมตัวปราสาทเอาไว้อีกทั้งยังมีสายรยางค์สีดำขนาดต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนโบกสะบัดไปมาอย่างช้าๆ จนดูน่าขยะแขยง
และเมื่อรถกระบะของนากาขยับเข้าไปใกล้ตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ นากาก็ได้สังเกตเห็นว่าสิ่งที่เขาคิดว่ามันคือควันสีดำนั้นแท้จริงแล้วมันก็คือมือสีดำขนาดเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนที่เกาะกลุ่มกันจนมีขนาดใหญ่ยักษ์และสายรยางค์ขนาดต่างๆ ที่งอกออกมาจากตัวมันก็คือมือสีดำจำนวนหนึ่งที่เกาะก่ายกันจนยื่นออกมาจากกลุ่มก้อนตรงกลางราวกับว่ามันกำลังพยายามควานหาอะไรบางอย่างอยู่อย่างไร้จุดหมายนั่นเอง
“อึก…..”
ในขณะที่ตัวรถกระบะกำลังแล่นตรงไปยังเบื้องหน้าเรื่อยๆ อยู่นั้นหนึ่งในสายรยางค์สีดำที่กวัดแกว่งไปมาอย่างไร้จุดหมายก็ได้หยุดชะงักลงไปเล็กน้อยก่อนที่มันจะลดความสูงลงอย่างช้าๆ และขยับเข้ามาใกล้ตัวรถจนทำให้นากาสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นเหม็นเน่าราวกับซากศพที่แผ่ออกมาจากมันได้
ซึ่งรยางค์สีดำขนาดยักษ์ที่ขยับเข้ามาใกล้ตัวรถนั้นก็ได้คลายมือสีดำจำนวนหนึ่งที่เกาะกลุ่มกันอยู่ออกจนทำให้กลิ่นเหม็นเน่าที่นากาสัมผัสได้แผ่กระจายออกมารุนแรงขึ้นจนเขาแทบจะหายใจไม่ออกในขณะที่มือสีดำที่คลายตัวออกมาจากรยางค์สีดำอันนั้นก็ได้ปัดป่ายไปตามตัวรถจนดูราวกับว่ามันกำลังพยายามค้นหาอะไรบางอย่างอยู่
แต่ถึงแม้ว่ารยางค์สีดำและมือเล็กๆ ที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าพวกนี้จะดูน่าสยดสยองและขยะแขยงมากสักแค่ไหนทางด้านพาเทียซ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ นากาที่ยืนตัวแข็งไปด้วยความหวั่นสะพรึงก็กลับไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยและมองตรงไปยังบริเวณตัวเมืองที่ถูกบดบังเอาไว้ด้วยสายรยางค์และกลุ่มก้อนสีดำราวกับว่าเธอมองไม่เห็นพวกมันเลยแม้แต่น้อยพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก้องกังวานผิดธรรมชาติ
เมืองนี้ไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลยนะว่ามั้ย…
ในทันทีที่สิ้นเสียงของพาเทียซ์มือสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่เกาะก่ายไปเต็มตัวรถก็ได้หยุดชะงักไปพร้อมๆ กันก่อนที่มันจะหันไปทางนากาและพุ่งตรงเข้าใส่เขาจากทุกทิศทุกทางจนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นได้แต่หลุดเสียงร้องออกมาด้วยความหวาดผวา
“อ—!?”
โป๊ก!!
“โอ๊ย—!?”
“โอ๊ยๆ พี่นากาจะลุกพรวดขึ้นมาทำไมเนี่ย!?”
นากาที่ผุดลุกขึ้นมาด้วยความตกใจนั้นได้หัวกระแทกเข้ากับพรีมูล่าที่ดูเหมือนว่าจะชะโงกหน้าลงมาเพื่อแกล้งเขาในยามหลับเข้าพอดีจนทำให้เด็กสาวผมชมพูร้องโวยวายออกมาเสียงดัง และนั่นก็ทำให้อลิซที่ดูเหมือนว่าจะฟื้นสภาพจากการรักษาของอารอนเมื่อวานนี้แล้วอดไม่ได้ที่จะพูดบ่นขึ้นมา
“เสียงดังกันจริง… แต่เอาจริงๆ นากาเขาอาจจะฝันร้ายจนสะดุ้งตื่นเพราะว่าเธอยื่นหน้าเข้าไปใกล้แบบนั้นก็ได้นะ”
“มันใช่แบบนั้นซะที่ไหนกันอ่ะพี่อลิซ! นี่ๆ พี่นากาดูนั่นสิๆ”
พรีมูล่าที่โดนอลิซพูดต่อว่าขึ้นมาได้พูดเถียงกลับไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเขย่าแขนของนากาอย่างแรงพร้อมกับชี้ไปทางฝั่งด้านหน้าของตัวรถด้วยท่าทีตื่นเต้น
“ดูนั่น…?”
นากาที่ได้ยินคำพูดของน้องสาวของเขาก็ได้แต่ลังเลเล็กน้อยที่จะหันกลับไปมองดูทางด้านหน้าของตัวรถเพราะว่าภาพความฝันเกี่ยวกับมือสีดำสุดสยองเมื่อสักครู่นี้ยังคงติดตาเขาอยู่ แต่ว่านากาก็ไม่มีทางเลือกมากนักและต้องยอมหันกลับไปมองดูตามที่น้องสาวของเขาบอกแต่โดยดีเพราะถ้าเกิดว่าเขาไม่ยอมหันไปดูล่ะก็พรีมูล่าก็คงจะเขย่าแขนของเขาจนหลุดออกมาอย่างแน่นอน
“โห…”
ในชั่วพริบตาที่นากาหันกลับไปดูเส้นทางเบื้องหน้านั้นเขาก็ถึงกับหลุดเสียงร้องออกมาเบาๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของเขานั้นก็คือตัวเมืองขนาดใหญ่ที่มีตัวปราสาทที่กำลังส่องแสงสะท้อนประกายระยิบระยับตั้งอยู่ที่ตรงกลางและล้อมรอบเอาไว้ด้วยกำแพงขนาดใหญ่ที่ดูทนทาน
และที่ถัดออกมาจากตัวกำแพงขนาดใหญ่ที่กำลังเรืองแสงอ่อนๆ ออกมานั้นก็คือคฤหาสน์หลังโตจำนวนมากที่ดูสวยงามไม่แพ้ตัวปราสาทที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลยแม้แต่น้อยที่ถูกปิดล้อมเอาด้วยกำแพงอีกชั้นหนึ่งที่ดูเหมือนว่ามันจะเรืองแสงจางๆ ออกมา ในขณะที่ถัดออกมาอีกนั้นก็เต็มไปด้วยบ้านเรือนที่อัดแน่นเรียงรายกันไปจนสุดอยู่ที่ริมกำแพงชั้นนอกสุดที่ดูเหมือนว่าจะเป็นกำแพงธรรมดาๆ ขนาดใหญ่ที่ดูแข็งแกร่งทนทาน
“พวกนายน่าจะเพิ่งเคยเห็นมันเป็นครั้งแรกสินะถึงได้ตื่นตาตื่นใจกันแบบนั้นน่ะ?”
อลิซที่เห็นท่าทีตื่นเต้นของสองพี่น้องได้เหลือบตาไปมองตัวเมืองขนาดใหญ่เบื้องหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดถามขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้สองพี่น้องที่กำลังตื่นเต้นอยู่พูดตอบเธอกลับไปโดยไม่ได้ละสายตาไปจากภาพเบื้องหน้าเลยแม้แต่น้อย
“อื้อ!! หนูว่ามันสวยดีออก!”
“เอาจริงๆ พวกฉันก็เพิ่งจะเคยออกมาไกลจากหมู่บ้านตั้งขนาดนี้นี่ล่ะ… แล้วเธอคิดว่ามันไม่สวยหรือไงล่ะ?”
“มันก็สวยดีนั่นล่ะ… แต่ถ้าเป็นไปได้พวกนายก็อย่ามัวแต่หลงใหลไปกับความสวยงามพวกนั้นก็แล้วกัน… ใครจะไปรู้ล่ะว่าเบื้องหลังของแสงแห่งความหวังที่ส่องประกายเจิดจ้าแบบนั้นจะแอบซ่อนอะไรเอาไว้บ้างน่ะ…”
“เอ๋~? เมื่อกี้นี้พี่อลิซพูดถึงเรื่องอะไรอ่ะ ที่ว่าอะไรแสงๆ หวังๆ นั่นน่ะ?”
พรีมูล่าที่ได้ยินคำพูดเปรียบเปรยของอลิซได้ละความสนใจออกมาจากตัวเมืองเบื้องหน้าและพูดถามอลิซขึ้นมาเสียงใสจนทำให้อลิซที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่กลอกตาไปมาด้วยความเหนื่อยใจกับความใสซื่อของเด็กสาวผมชมพูที่ดูเหมือนว่าสมองจะโตตามร่างกายไม่ทันคนนี้
“เรื่องที่อลิซพูดถึงนั่นพวกเธออาจจะยังไม่เคยได้ยินกัน… แต่ถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คือว่ามันเป็นตำนานที่เขาเล่าต่อกันมาน่ะ… ในตำนานนั่นเขาเล่าว่าในตอนที่เกิดภัยพิบัติร้ายในสมัยโบราณเหล่าผู้กล้าจากทุกสารทิศได้มารวมตัวกันที่เมืองรีมินัสแล้วก็ร่วมกันต่อสู้จนสามารถกอบกู้โลกให้พ้นจากอันตรายได้สำเร็จน่ะ…”
ในขณะที่อลิซกำลังรู้สึกเหนื่อยใจกับพรีมูล่าอยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงเหนื่อยๆ ของอารอนดังขึ้นมาช่วยพูดอธิบายแทนให้กับเธอ ซึ่งเมื่อทุกคนหันไปมองทางด้านนายแพทย์หนุ่มพวกเขาก็ได้พบว่าอารอนที่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบได้ลุกขึ้นมานั่งลูบหัวของนางพยาบาลผมบลอนด์ที่กำลังนอนหนุนตักของเขาไปมาอยู่เบาๆ
“เห…? ภัยพิบัติร้ายอะไรล่ะนั่น?”
“นั่นสิๆ ตอนที่พวกหนูเรียนเรื่องประวัติศาสตร์ก็ไม่เห็นว่าพวกอาจารย์เขาจะเล่าเรื่องพายวิบัติอะไรนั่นให้ฟังเลยอ่ะ”
“ภัยพิบัติต่างหากเล่ายัยเอ๋อนี่…”
ในขณะที่พรีมูล่าที่ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในสมองบ้างกำลังพ่นคำพูดออกมาตามที่เธอเข้าใจอยู่นั้นเองทางด้านอลิซก็ได้แต่ยกมือขึ้นมากุมขมับกับความบ๊องตื้นของเด็กสาวผมชมพูคนนี้ ส่วนทางด้านอารอนเองก็ได้หลุดรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาแล้วจึงพูดอธิบายออกมาให้สองพี่น้องได้ฟัง
“มันก็เป็นแค่ตำนานที่เขาเล่ากันมาปากต่อปากน่ะ… แล้วพอไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันพวกเขาก็เลยไม่ได้ใส่ลงไปในหนังสือเรียน… ถ้าจะมีใครที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดก็คงจะเป็นคนที่ทำงานให้กับทางวังล่ะมั้ง…”
“หึ… เอาจริงๆ เจ้าพวกนั้นก็แค่ไม่กล้าเขียนเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ลงไปในหนังสือให้คนรุ่นหลังเขาด่ากันก็แค่นั้นนั่นล่ะ แล้วทีนี้พอจะเขียนเรื่องยกย่องเมืองของตัวเองโดยอิงจากเรื่องจริงเข้าไปนิดๆ หน่อยๆ เมืองหลวงอีกสามเมืองที่เหลือเขาก็ไม่ยอมกันอยู่แล้วจนได้แต่ต้องเอามานั่งเล่ากันปากต่อปากไง”
“อ๋อออออ~~~ มันเป็นแบบนี้นี่เอง~~ หนูเข้าใจแล้วล่ะ~~”
ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงของอลิซดี พรีมูล่าก็ได้ร้องออกมาเสียงดังพร้อมกับพยักหน้าด้วยท่าทีมั่นใจ แต่ว่าเมื่อทุกคนได้เห็นท่าทางของเธอแล้วพวกเขาก็สามารถรู้ได้ในทันทีว่าอลิซก็แค่พูดอธิบายออกมายาวเกินไปหน่อยจนไม่มีอะไรเข้าหัวของเด็กสาวผมชมพูไปเลยแม้แต่น้อยก็แค่นั้นเอง
ซึ่งท่าทางของพรีมูล่านั้นก็ได้ทำให้อลิซได้แต่กลอกตาไปมาด้วยความเหนื่อยใจก่อนที่เธอที่หันไปนั่งเท้าคางอยู่กับขอบกระบะหลังรถในขณะที่ทางนากาก็ได้พยายามมองหาดาบเปื้อนเลือดเฟเบิล ดรีมเมอร์ของเขาเพื่อที่เขาจะได้นำมาถือเอาไว้ไม่ให้มันกระเด็นกระดอนไปตามจังหวะของตัวรถเพื่อความปลอดภัย
แต่ทว่านากาก็กลับหามันไม่เจอและพบเพียงแค่เสาน้ำเกลืออันหนึ่งที่กลิ้งอยู่ตรงริมขอบกระบะหลังรถจนทำให้นากาได้แต่ต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเพราะเขาจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อยว่ามีใครหยิบมันออกมาจากคลินิกของอารอนด้วย
แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้เอ่ยปากถามถึงที่มาของเสาน้ำเกลืออันนั้นกระจกของห้องโดยสารทางฝั่งของคนขับก็ได้ถูกเลื่อนเปิดออกก่อนที่เอริซาเบธจะชะโงกหัวออกมาจากภายในและร้องบอกผู้โดยสารของเธอด้วยท่าทีร่าเริง
“อีกแป๊บเดียวเดี๋ยวก็จะถึงเมืองรีมินัสแล้วนะทุกคน~~”
ในทันทีที่อารอนเห็นว่าผู้ที่โผล่หัวออกมาจากกระจกห้องโดยสารทางฝั่งคนขับนั้นคือเอริซาเบธไม่ใช่โมโกะแบบที่เขาคิดเอาไว้นายแพทย์หนุ่มก็ได้เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“แล้วโมโกะล่ะเอริ…?”
“ก็ทั้งเหนื่อยทั้งง่วงแล้วก็วิซหมดตัวก็เลยสลบเหมือดไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะค่ะคุณอารอน~”
ถึงแม้ว่าอาการของโมโกะที่หลุดออกมาจากปากของเอริซาเบธจะฟังดูน่ากังวลก็ตามทีแต่ว่าหญิงสาวหูจิ้งจอกก็กลับใช้น้ำเสียงร่าเริงตามปกติของเธอพูดตอบกลับมาจนทำให้อารอนที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่ต้องพูดถามซ้ำขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“ให้ตายสิ… แล้วอาการเป็นยังไงบ้างล่ะ…”
“เอ๋? เท่าที่ฉันดูแล้วก็แค่เหนื่อยนิดหน่อยเฉยๆ เองนั่นแหล่ะค่ะ”
“เฮ้อ… ถ้ามีอาการแค่นั้นก็ดีแล้วล่ะ… เดี๋ยวเอาไว้ฉันค่อยไปตรวจอาการให้ที่คลินิกอีกทีนึงก็แล้วกัน… นี่… ตื่นได้แล้วนะ…”
อารอนที่ได้รับคำตอบกลับมาจากเอริซาเบธได้ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะสะกิดไปที่แก้มของนางพยาบาลสาวผมบลอนด์นี่นอนหนุนตักของเขาอยู่เบาๆ เพื่อปลุกเธอขึ้นมา
“งืม… จะถึงแล้วหรอคะอารอน…?”
“ใกล้แล้วล่ะ… แต่ว่าโมโกะเขาเผลอใช้วิซหมดตัวจนสลบไปแล้ว… ฉันเลยจะให้เธอพาเดรคกับโมโกะเขาไปพักที่คลินิกก่อนแล้วเดี๋ยวพอฉันพานากากับพรีมูล่าไปส่งถึงที่นั่นเมื่อไหร่แล้วจะรีบกลับไปนะ…”
อารอนก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูของนางพยาบาลผมบลอนด์ของเขาที่กำลังขยี้ตาอยู่เบาๆ ก่อนที่เขาจะหันไปหาเดรคที่ตื่นขึ้นมานั่งกอดอกหลับตาอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้และเอ่ยปากพูดถามอีกฝ่ายขึ้นมา
“เดี๋ยวฉันฝากนายอุ้มโมโกะเขาไปพักที่คลินิกให้หน่อยจะได้หรือเปล่าน่ะเดรค…”
“บอกหัวหน้าให้ด้วย…”
“ได้สิ… ยังไงเดี๋ยวฉันก็ต้องพาพวกนากาไปส่งที่นั่นอยู่แล้วล่ะ…”
“ฮึ่ม…”
เมื่อชายร่างยักษ์ได้รับคำตอบที่เขาพึงพอใจแล้วเขาก็ได้พยักหน้าให้กับอารอนทีหนึ่งและหลับตาลงอีกครั้งจนทำให้อารอนที่เห็นแบบนั้นได้ละสายตาไปมองทางด้านเอริซาเบธที่เพิ่งจะวิซหมดตัวจนขับรถไม่ไหวไปเมื่อวานนี้แต่ก็ต้องลุกขึ้นมาขับรถอีกครั้งหนึ่งแล้วด้วยความเป็นห่วง
ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริซาเบธที่สังเกตเห็นสายตาเป็นห่วงของอารอนได้ส่งรอยยิ้มกวนๆ กลับมาให้เขาและโคลงหัวของเธอไปมาพร้อมกับกระดิกหูจิ้งจอกของเธออย่างอารมณ์ดีให้เขาเห็นก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของพรีมูล่าดังขึ้นมาเรียกความสนใจของทั้งสองคนไป
“นี่ๆ พี่อารอนๆ โมโกะจังเขาจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ยอ่ะ?”
“ไม่เป็นอะไรหรอก… ถึงจะเห็นแบบนั้นแต่ว่าเอริเขาเองก็มีความรู้ทางด้านวิชาแพทย์อยู่เหมือนกันนะ… ว่าแต่นี่เธอก็ยังจะมีเวลาไปเป็นห่วงคนอื่นอีกนะ… ทั้งๆ ที่เดี๋ยวอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงพวกเธอก็ต้องไปสอบสัมภาษณ์กับเพื่อนเก่าของฉันแล้วแท้ๆ น่ะ… อ่ะ—ไม่สิๆ อันนี้ต้องเก็บเป็นความลับเอาไว้ก่อนสิ…”
“หว๋าย… หนูลืมไปเลยอ้ะ…”
“เดี๋ยวสิ— นี่สรุปว่ามันเป็นการสอบสมัครงานหรือว่าสมัครเรียนอะไรจำพวกนั้นจริงๆ หรอน่ะ!?”
ในขณะที่พรีมูล่าได้ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ ด้วยท่าทีเบาสมองเช่นเดียวกับทุกครั้งนั้น ทางด้านนากาก็ถึงกับหน้าซีดและร้องถามอารอนขึ้นมาเสียงดังเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่อารอนเผลอหลุดปากออกมา ซึ่งท่าทางหน้าซีดปากสั่นของนากาก็ได้ทำให้อลิซที่ทำเป็นนั่งชมวิวอยู่ได้แต่ต้องส่ายหัวไปมาด้วยความเหนื่อยใจ
“เฮ้อ… นายกลุ้มใจไปก็เท่านั้นนั่นแหล่ะน่านากา เดี๋ยวอีกไม่ถึงชั่วโมงนึงนายก็จะโดนโยนเข้าโรงเชือดแล้วล่ะ”
“หา!? เธอพูดแบบนั้นนี่ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่เนี่ยอลิซ!?”
“จุ๊ๆๆ จะถึงที่หมายกันแล้วนะจ๊ะ สำรวมกันหน่อยสิ~”
ในขณะที่นากาที่ตื่นตระหนกกำลังจะหันไปพูดคาดคั้นอลิซขึ้นมาอยู่นั้น ทางด้านเอริซาเบธก็ได้เคาะไปที่ตัวรถเบาๆ เพื่อเรียกความสนใจของทุกคนไปพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาจนทำให้ทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นชะโงกหน้าไปมองหนทางเบื้องหน้าและได้พบว่าในเวลานี้ที่หน้าประตูเมืองรีมินัสที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลได้มีกองทหารยามกำลังตั้งแถวเฝ้าระวังกันอยู่ด้วยท่าทีเคร่งเครียด
ซึ่งเมื่อรถกระบะของพวกเขาขับเข้าไปใกล้กับประตูเมืองในระยะหนึ่งนายทหารคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าก็ได้ก้าวเดินออกมาเบื้องหน้าด้วยสีหน้าขึงขังจนทำให้เอริซาเบธที่เห็นแบบนั้นแอบหลุดเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาก่อนที่เธอจะหยิบอะไรบางอย่างออกไปให้เขาดู
และในทันทีที่นายทหารผู้ที่เห็นหัวหน้าได้เห็นสิ่งของที่อยู่ในมือของเอริซาเบธเข้าท่าทีแข็งกร้าวของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นนอบน้อมในชั่วพริบตาก่อนที่เขาจะเชิญเธอเข้าไปด้านในป้อมยามด้วยท่าทีสุภาพจนน่าขนลุก
และหลังจากที่เอริซาเบธได้เดินหายเข้าไปภายในป้อมยามได้สักพักใหญ่ๆ จนพรีมูล่าอดใจไม่ไหวและทำท่าเหมือนกับว่าจะกระโดดลงไปจากหลังรถเพื่อตามเข้าไปดูด้านในป้อมยามนั้นเองเอริซาเบธก็ได้เปิดประตูเดินออกมาด้วยสีหน้าหน่ายๆ จนทำให้พรีมูล่าอดไม่ได้ที่จะร้องถามขึ้นมา
“พี่เอริหายไปนานจัง เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าอ้ะ?”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ~ แค่ว่าปกติแล้วคนทั่วๆ ไปเขาไม่มีรถแบบนี้ใช้กันพวกทหารยามเขาก็เลยต้องตรวจสอบให้แน่ใจกันก่อนน่ะ~ …ว่าแต่พวกเธอไม่ได้บอกใครเรื่องที่ว่าฉันให้โมโกะจังเขาขับรถแทนฉันเมื่อวานนี้ใช่หรือเปล่าเอ่ย?”
“เอ่อ… เอาจริงๆ มันก็ไม่มีใครเข้ามาสอบถามอะไรเลยนะ… ทหารพวกนั้นเขาเอาแต่ตั้งแถวจ้องมองดูอย่างกับว่าพวกเราเป็นอาชญากรน่ะ… ถึงตอนนี้จะดูท่าทางสุภาพสุดๆ แล้วก็เถอะนะ… นี่เธอเข้าไปทำอะไรข้างในนั้นมากันแน่เนี่ย?”
นากาที่ได้ยินคำถามของเอริซาเบธได้พูดตอบเธอกลับไปด้วยความมึนงง เพราะว่าเมื่อสักครู่นี้เหล่าทหารยามพวกนี้ยังคงยืนตั้งแถวจ้องมองพวกเขาอยู่ด้วยสีหน้าขึงขังอยู่เลยแท้ๆ แต่ว่าหลังจากที่เอริซาเบธออกมาท่าทางของทหารพวกนี้ก็แทบจะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือแถมยังทำความเคารพพวกเขาก่อนจะเลิกแถวกลับไปเดินตรวจตรากันตามหน้าที่อีกด้วย
“แหม่~ ก็นั่นสิน้า~”
ถึงแม้ว่าเอริซาเบธจะได้ยินคำถามด้วยความสงสัยของนากาไปแล้วก็ตามแต่ว่าเธอก็ทำเพียงแค่ยักไหล่และโคลงหัวเล็กน้อยแล้วจึงปีนกลับเข้าไปด้านในห้องคนขับก่อนที่รถกระบะของพวกเขาจะออกเคลื่อนตัวผ่านประตูเมืองไป
ซึ่งสภาพภายในตัวเมืองรีมินัสนั้นก็เต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆ มากมายเต็มทั้งสองฝั่งถนนและแทรกไปด้วยทางเข้าถนนเส้นเล็กๆ ที่แตกแขนงไปจากถนนเส้นหลักที่เป็นทางตรงยาวไปจนเห็นประตูขนาดใหญ่ของกำแพงเมืองชั้นที่สองที่อยู่ไกลสุดสายตา
“ร้านขายของเยอะจังเลยแฮะ”
“สงสัยเป็นเพราะว่าเป็นเมืองใหญ่แน่ๆ เลยอ่ะพี่นากา~”
“เพราะว่าถนนเส้นนี้มันคือถนนหลักที่ตรงไปจนถึงปราสาทใจกลางเมืองต่างหากล่ะร้านขายของมันถึงได้เยอะขนาดนี้น่ะ… ถ้าเกิดว่าพวกเธอลองเดินเข้าไปในซอยไหนสักซอยก็จะเจอแต่บ้านคนไม่ก็โรงแรมแล้วล่ะ…”
ในขณะที่สองพี่น้องกำลังตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศยามเช้าภายในเมืองหลวงกันอยู่นั้นอลิซที่นั่งเท้าคางอยู่กับขอบกระบะหลังรถก็ได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ ราวกับว่าเธอคุ้นชินกับบรรยากาศแบบนี้ดีอยู่แล้ว ซึ่งทางด้านพรีมูล่าที่ได้ยินคำพูดของอลิซก็ได้กะพริบตามองเธออยู่ชั่วขณะแล้วจึงชี้ไปทางคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เผยมาให้เห็นเล็กน้อยผ่านช่องประตูของกำแพงชั้นที่สองแล้วจึงพูดถามเด็กสาวผมสีขาวขึ้นมาเสียงใส
“เอ๋? แต่ถ้าเข้าซอยไปแล้วเป็นบ้านคนกับโรงแรม ถ้างั้นพวกบ้านหลังใหญ่ๆ ที่อยู่หลังกำแพงตรงกลางนั่นคืออะไรอ้ะ บ้านคนกับโรงแรมที่สวยกว่าเฉยๆ หรอ?”
“……..”
คำถามของพรีมูล่านั้นได้ทำให้เหล่าผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านหลังรถด้วยกันถึงกับนิ่งเงียบไปเล็กน้อยราวกับว่าพวกเขาไม่ต้องการที่จะพูดตอบคำถามนี้ออกมาในขณะที่ทางด้านนากานั้นก็ได้เลิกคิ้วมองดูตัวบ้านหลังใหญ่สุดหรูหราขนาดที่ควรจะเรียกพวกมันว่าคฤหาสน์หลังงามที่ตั้งอยู่ด้านหลังกำแพงชั้นที่สองของเมืองสลับกับสภาพร้านค้าตึกแถวที่ดูค่อนข้างจะมีอายุมากพอตัวแต่ถูกบำรุงรักษาจนมีสภาพดีแล้วก็สภาพของตึกแถวเก่าๆ ที่ค่อนข้างจะดูทรุดโทรมที่ถูกซ่อนเอาไว้ตามซอกซอยต่างๆ อยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะพูดถามอารอนที่เปรียบเสมือนกับพี่ชายของเขาขึ้นมาตรงๆ
“นี่นายอย่าบอกนะว่าที่รีมินัสนี่ยังมีการแบ่งชนชั้นอยู่อีกน่ะอารอน… ในเมืองหลวงแบบนี้นี่น่ะนะ? ไหนในหนังสือเรียนที่ถูกเขียนโดยเมืองหลวงมันบอกว่าโลกของเรามันเลิกแบ่งแยกเรื่องชนชั้นอะไรพวกนั้นมาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือไง?”
“นั่นสิๆ ขนาดที่หมู่บ้านของพวกหนูยังไม่เห็นจะมีการแบ่งแยกชนชั้นอะไรนั่นเลยนะ!”
คำพูดของสองพี่น้องที่ฟังดูอ่อนต่อโลกนั้นถึงกับทำให้อลิซได้แต่ต้องเหลือกตาด้วยความเหนื่อยหน่ายก่อนที่เธอจะหันไปมองทางอื่นโดยไม่คิดที่จะพูดตอบอะไรขึ้นมาในขณะที่ทางด้านอารอนก็ได้แต่ต้องยกมือขึ้นมาเกาหัวด้วยท่าทีลำบากใจจนทำให้พยาบาลสาวผมบลอนด์ของเขาตัดสินใจที่จะพูดบ่ายเบี่ยงออกมาให้ก่อน
“กำแพงที่พวกเธอพูดถึงเขาเอาไว้แบ่งระหว่างเขตค้าขายที่มีคนจากต่างเมืองเข้าออกกันเยอะๆ กับเขตของทางเมืองที่มีพวกโรงเรียนหรือว่าโรงพยาบาลตั้งอยู่กันน่ะจ้ะ เวลาพวกพ่อค้าแม่ค้าจากต่างเมืองเดินทางมาขายของพวกเขาจะได้ไม่ต้องขนของกันไกลๆ ยังไงล่ะจ๊ะ”
“อ่า… มันก็อะไรประมาณนั้นนั่นแหล่ะ…”
อารอนที่ได้นางพยาบาลผมบลอนด์ช่วยพูดขึ้นมาได้แต่ต้องพูดสนับสนุนเธอขึ้นมาเบาๆ แต่ว่าก็นับว่าเป็นโชคดีของอารอนที่ตัวรถกระบะของพวกเขาได้แล่นไปจอดลงที่สะพานข้ามแม่น้ำที่ไหลผ่านตัวเมืองพร้อมๆ กับที่มีเอริซาเบธห้อยหัวออกมาจากหน้าต่างห้องคนขับอีกครั้งหนึ่งเข้าพอดีจนทำให้นากาที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเชื่อในคำพูดของนางพยาบาลผมบลอนด์หมดโอกาสที่จะได้ซักถามเขาต่อไป
“ถึงทางเข้าคลินิกแล้วค่า~~ แต่ว่าถนนข้างในนั้นมันเล็กเกินไปหน่อยจนรถเข้าไปได้ไม่สะดวกสักเท่าไหร่เพราะงั้นทุกๆ คนคงจะต้องเดินเข้าไปกันเองแล้วล่ะค่ะ~”
“อ่ะ— ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอพาโมโกะจังเขาไปพักที่คลินิกก่อนก็ละกันนะคะอารอน~”
“อื้ม… ถ้ายังไงก็ฝากโมโกะไว้กับพวกเธอด้วยแล้วกันนะ…”
“ฮึ่ม….”
เดรคที่ได้ยินคำพูดของอารอนได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เขาจะเหวี่ยงตัวเองลงจากหลังรถกระบะไปแล้วจึงเปิดประตูห้องโดยสารเพื่ออุ้มร่างของโมโกะที่กำลังนอนหลับอยู่ออกมาก่อนที่เขาจะหยิบเอาเสาน้ำเกลือที่นากายื่นส่งมาให้มาถือเอาไว้แล้วจึงเดินตามหลังนางพยาบาลผมบลอนด์หายเข้าไปในตรอกที่อยู่ใกล้ๆ กันโดยมีอารอนที่มองไล่หลังนางพยาบาลผมบลอนด์ของเขาด้วยความเป็นห่วงไปจนลับสายตา
“ถ้างั้นพวกเราไปกันต่อเลยมั้บคะคุณอารอน?”
“อื้ม… ทางด้านนั้นมีเดรคไปด้วยก็คงจะไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอก… ล่ะมั้ง…”
“เดี๋ยวสิๆ แล้วนี่เธอจะไม่ไปรักษาตัวที่คลินิกก่อนกับเขาบ้างหรือไงน่ะอลิซ?”
ในขณะที่เอริซาเบธกำลังจะหดหัวกลับเข้าไปภายในห้องโดยสารเพื่อออกรถต่ออยู่นั้นเอง นากาที่เหลือบไปเห็นอลิซที่ยังคงนั่งเท้าคางชมวิวอยู่ที่เดิมในชุดเปื้อนเลือดที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลก็ได้ร้องขึ้นมาเสียงดังจนทำให้ทุกคนหยุดชะงักไปซะก่อน
ซึ่งการกระทำของนากานั้นก็ได้ทำให้อารอนเลิกคิ้วหันไปมองเด็กสาวผมสีขาวด้วยความประหลาดใจที่อีกฝ่ายยังคงแอบนั่งอยู่ที่นี่อย่างเงียบๆ โดยไม่ได้เดินตามคนอื่นๆ ไปที่คลินิก ส่วนทางด้านอลิซนั้นก็ถึงกับลอบเดาะลิ้นเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาแบบไม่ไว้หน้านากาเลยแม้แต่น้อย
“ชิ… นายน่ะเป็นห่วงตัวเองไปเถอะ จะไปสอบสัมภาษณ์ที่ไม่รู้ว่าจะผ่านหรือเปล่าอยู่แล้วยังจะมีหน้ามาเป็นห่วงคนอื่นอีกหรือไง!?”
“อะไรของเธอเนี่ย!? คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วงนะ!”
“ใช่ๆ อะไรของพี่อลิซกันเนี่ย ไหนบอกว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วไง ผู้ใหญ่ที่ไหนเขาทำตัวแบบนี้กันน่ะ~”
“หา…!?”
ในขณะที่อลิซกำลังพูดเถียงกับนากาอยู่นั้น ทางด้านพรีมูล่าที่เห็นว่าพี่ชายของเธอกำลังถูกต่อว่าอยู่ก็ได้พูดโพล่งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเขาในทันทีจนทำให้อลิซที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับตวัดสายตาไปจ้องมองเด็กสาวผมชมพูในทันที
ซึ่งในขณะที่เด็กสาวทั้งสองคนกำลังแยกเขี้ยวใส่กันอยู่นั้นเองทางด้านอารอนที่เห็นว่าเรื่องมันชักจะเลยเถิดไปใหญ่แล้วก็ได้ขยับตัวเข้าไปกลางวงล้อมและดีดไปที่หน้าผากของนากากับอลิซพร้อมๆ กัน
เพี๊ยะ!
“โอ๊ย! ไหงเป็นฉันเล่าอารอน ไปดีดพรีมูล่านู้นไป! / อะไรของนายเนี่ย! ยัยเอ๋อนั่นเป็นคนเริ่มก่อนนะ!!”
“เฮ้อ… นายไม่ต้องเป็นห่วงอลิซเขาหรอกน่านากา… ถ้าเกิดว่าอลิซเขาไม่ได้ซนพุ่งเข้าไปทะเลาะกับคนอื่นเหมือนกับที่หน้าหมู่บ้านอีกรอบก็ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก… ส่วนอลิซ… นากาเขาก็แค่เป็นห่วงเธอเฉยๆ เองนะเพราะงั้นไม่เห็นจะต้องขึ้นเสียงอะไรเลยนี่…”
อารอนพูดอธิบายออกมาให้คู่กรณีทั้งสองคนฟังก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นไปลูบหัวของทั้งสองคนพร้อมๆ กันจนดูราวกับว่าเขาเป็นพี่ชายที่กำลังพยายามปลอบใจน้องสาวและน้องชายตัวน้อยที่กำลังทะเลาะกันอยู่อย่างไรอย่างนั้นจนทำให้อลิซต้องพูดเถียงเขาขึ้นมา
“หึ! อย่างฉันเนี่ยนะจะต้องให้ใครมาเป็นห่วง… เดี๋ยวสิ— นี่นายจะมาลูบหัวฉันทำไมกันหะ!?”
ในขณะที่อลิซกำลังจะพูดเถียงออกมาอยู่นั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าบัดนี้อารอนกำลังลูบหัวของเธออยู่จนทำให้เธอต้องรีบร้องว่าเขาออกมาและปัดมือของนายแพทย์หนุ่มทิ้งไปในทันที
ซึ่งการกระทำของอลิซนั้นก็ได้ทำให้นากากะพริบตามองดูท่าทางของอลิซเล็กน้อยก่อนที่เขาจะรีบจับเอามือของอารอนออกจากหัวของตัวเองไปด้วยเช่นกันจนทำให้พรีมูล่าที่เห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาด้วยความเสียดาย
“เอ๋~ พี่นากาเอามือของพี่อารอนออกทำไมอ้ะ พี่อารอนลูบหัวให้แบบนั้นก็ดีแล้วแท้ๆ นะ~~”
ในทันทีที่พรีมูล่าเอ่ยปากพูดขึ้นมาเสร็จเธอก็ได้เบียดหัวทุยๆ ของเธอเข้าหาอารอนราวกับอยากจะบอกว่าให้เขาลูบหัวของเธอบ้าง ซึ่งนั่นก็ทำให้อารอนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปลูบหัวของพรีมูล่าแทนอีกสองคนที่ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องการมัน
“ฮะฮะ… มานี่มา”
“แฮะๆ เห็นมั้ยอ่ะพี่นากา~ พี่อารอนเขาลูบหัวเก่งจะตายไป~”
“ไอ้คนที่ดีใจเวลาที่มีคนมาลูบหัวนั่นมันก็มีแค่เธอคนเดียวไม่ใช่หรือไง!?”
“เอาน่าๆ นากา… แต่ว่ายังไงเธอก็อย่ายอมให้มีคนแปลกหน้ามาลูบหัวเธอเล่นแบบนี้ละกันนะพรีมูล่า…”
“ค่า~~”
พรีมูล่าขานตอบอารอนกลับมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงแบบที่เธอทำเป็นประจำก่อนที่รถกระบะของพวกเขาจะออกเคลื่อนตัวตรงไปยังประตูกั้นเขตของกำแพงเมืองชั้นในอีกครั้งหนึ่งเมื่อเอริซาเบธที่นั่งดูอยู่พบว่าเรื่องสนุกๆ ที่เกิดขึ้นที่กระบะด้านหลังจบลงไปแล้วโดยมีเสียงของอารอนพูดสอบถามอลิซดังขึ้นมาเบาๆ
“แล้วนี่สรุปว่าเธอจะไม่ไปพักผ่อนที่คลินิกก่อนจริงๆ หรอน่ะอลิซ…?”
“ไม่ล่ะ ฉันเองก็มีธุระกับคนที่พวกนายกำลังจะไปเจออยู่ด้วยเหมือนกัน…”