Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 94 Weaponizing
ในช่วงเวลากลางดึกของคืนวันเดียวกันกับที่นากาได้เริ่มต้นการฝึกซ้อมของเขาในความฝันกับพาเทียซ์นั้น ทางด้าน เดริค เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินวัยไล่เลี่ยกันกับนากา ผู้ที่เป็นคนขับรถพาพวกนากาหนีกลับไปยังเมืองรีมินัสในระหว่างเหตุการณ์บุกโจมตีปราสาทเมื่อสามสัปดาห์ก่อนเองก็กำลังยืนคุยอยู่กับชายอีกคนหนึ่งอยู่ที่หน้าร้านเหล้าแห่งหนึ่งที่อยู่ในเขตชานเมืองของกราวิทัส
ซึ่งถึงแม้ชายวัยกลางคนที่เป็นคู่สนทนาของเดริคที่แต่งกายด้วยชุดบาร์เทนเดอร์นั้นจะมีท่าทีร้อนรนเหมือนกับว่าอยากจะกระโดดขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ด้านหลังของเขาและออกเดินทางเต็มแก่แล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงเอ่ยปากพูดย้ำกับเดริคขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งอยู่ดี
“ถ้างั้นฉันฝากบาร์ของฉันไว้กับเธอด้วยละกันนะเดริคคุง เอาไว้เดี๋ยวเสร็จเรื่องที่รีมินัสแล้วฉันจะรีบกลับมาละกันนะ”
“ครับ! คุณน้าไว้ใจผมได้เลย!”
“อื้มๆ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอตัวก่อนเลยละกันนะ อ๋อ แล้วก็อย่าลืมนะว่าเธอรับกระเป๋าจากลูกค้าคนที่ฉันบอกเอาไว้เอาไปใช้ได้ตามสบายเลยนะ”
ชายวัยกลางคนพูดตอบเดริคกลับไปด้วยความกังวลก่อนที่เขาจะโหนตัวขึ้นไปนั่งบนรถม้าที่อยู่ด้านหลังแล้วจึงชะโงกหน้าออกมาพูดย้ำกับเดริคอีกครั้งหนึ่ง
“อย่าลืมว่าเธอรับกระเป๋าของลูกค้าคนนั้นไปใช้ได้ตามสบายเลยนะ ไม่ต้องเก็บเอาไว้มารอมอบให้ฉันทีหลังล่ะเข้าใจมั้ย”
“ครับผม เข้าใจแล้วครับ”
เดริคพูดตอบชายวัยกลางคนที่ยังคงมีท่าทีหวั่นๆ อยู่เล็กน้อยกลับไปก่อนที่ทันใดนั้นเองรถม้าจะออกเคลื่อนตัวและวิ่งหายไปตามถนนในยามค่ำคืน ซึ่งท่าทีกังวลจนเกือบจะถึงขั้นวิตกจริตของเจ้าของบาร์เหล้าก็ได้ทำให้เดริคได้แต่เกาหัวของตนเองด้วยความสงสัย
“จะอะไรมากนักกับแค่กระเป๋ากันล่ะเนี่ย… เอาเถอะ คิดมากไปก็เท่านั้นล่ะมั้ง”
เดริคพูดกับตัวเองก่อนที่เขาจะยืนบิดยืดเส้นยืดสายและเดินกลับเข้าไปด้านในบาร์เล็กๆ ที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อที่จะได้จัดโต๊ะและเก้าอี้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยรอต้อนรับลูกค้าที่อาจจะเข้ามาใช้บริการกันในคืนนี้
แต่ว่าจนแล้วจนรอดเดริคก็ได้แต่นั่งรอจนแทบจะนอนยืดลงไปกับเคาน์เตอร์เพราะว่าผ่านมานับชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีลูกค้าเข้ามาเลยแม้แต่สักคนเดียวจนทำให้เขาได้แต่หันกลับไปมองตรวจดูขวดเครื่องดื่มหลากหลายชนิดและนั่งอ่านทวนส่วนผสมของเครื่องดื่มชนิดต่างๆ ฆ่าเวลาไปเพื่อที่จะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาจนทำให้ร้านของผู้ว่าจ้างของเขาในคราวนี้ที่ไม่ได้กดค่าจ้างเอาเปรียบเขาแถมยังอนุญาตให้เขารับทิปจากลูกค้าได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเสียชื่อเสียงขึ้นมา
กรึ๊งกรึ๊ง…
“บาร์ที่กลับมาเปิดใหม่… ที่นี่งั้นสินะ ให้ตายสิ นัดสถานที่ได้โหลยโท่ยชะมัด…”
“อ่ะ ยินดีต้อนรับครับ!”
เสียงของกระดิ่งติดประตูที่ดังขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่ประตูถูกเปิดออกและตามมาด้วยเสียงบ่นของผู้มาเยือนได้ทำให้เดริครีบผุดลุกขึ้นมาและพูดกล่าวต้อนรับลูกค้ารายแรกของเขาในทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาได้พบกับหญิงสาวผมสีแดงนัยน์ตาสีเหลืองที่สวมใส่ชุดผ้าคลุมเหมือนกับนักเดินทางที่หิ้วกระเป๋าเหล็กใบใหญ่สองใบเอาไว้ในมือ
“หา…?”
หญิงสาวผมสีแดงที่เพิ่งจะเดินผ่านเข้าประตูมาได้เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเธอได้พบกับเดริคที่ยืนอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ ซึ่งท่าทีสงสัยของลูกค้ารายแรกนั้นก็ทำให้เดริคได้พูดถามกลับไปในทันที
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าของร้านนี้มันต้องเป็นตาแก่เงอะงะคนนึงหรือไง?”
“อ๋อ ถ้าเกิดว่าเป็นคุณเจ้าของร้านล่ะก็ตอนนี้เขาไปพักร้อนสักสองสามวันน่ะครับ”
“หืม? งั้นเธอรู้หรือเปล่าว่าวันนี้จะมีแขกมาหาแล้วก็ขอยืมใช้สถานที่หน่อยน่ะ?”
“อ๋อ คุณคงจะเป็นคุณไคเลอร์งั้นสินะครับ คุณเจ้าของร้านบอกผมเอาไว้ก่อนแล้วล่ะครับ ถ้ายังไงก็เชิญเลือกที่นั่งได้ตามสบายเลยครับ”
ไคเลอร์ หรือก็คือหญิงสาวผมสีแดงที่เคยโผล่มาให้นากาเห็นแล้วถึงสองครั้งด้วยกันในป่าข้างหมู่บ้านโมริกะและในป่าด้านหลังคฤหาสน์ของเวก้าได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเธอได้ยินเดริคพูดชื่อของเธอขึ้นมาได้อย่างถูกต้องก่อนที่เธอจะเดินตรงไปนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ตัวที่อยู่เบื้องหน้าของเดริคและวางกระเป๋าเหล็กทั้งสองใบของเธอลงไปบนเก้าอี้ตัวข้างๆ กันแล้วจึงเอ่ยปากถามเด็กหนุ่มที่ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์คนนี้ขึ้นมา
“ดูหน้าตาแล้วก็ยังเด็กอยู่เลยนี่… นี่อายุถึงเกณฑ์ที่เขากำหนดเอาไว้เกี่ยวกับการทำงานแบบนี้แล้วหรือยังล่ะ?”
“อึ๊ย—”
คำถามของไคเลอร์ถึงกับทำให้เดริคแอบสะดุ้งไปเล็กน้อย แต่ว่าไคเลอร์ก็กลับไม่สนใจท่าทีของเด็กหนุ่มและเหลือบตาไปมองยังขวดเครื่องดื่มที่เรียงรายเต็มตู้ด้านหลังของเขาอยู่ชั่วขณะแล้วจึงเอ่ยปากสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์หนุ่มขึ้นมา
“เอาเถอะ ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของฉันอยู่แล้ว ไหนลองส่งมาร์ตินี่มาสักแก้วสิ”
“ด—ได้เลยครับ อ่ะ–”
เดริคที่เพิ่งจะพูดรับคำสั่งเครื่องดื่มของไคเลอร์กลับไปได้ชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเขาหันกลับไปมองดูหนึ่งในส่วนผสมของเครื่องดื่มที่ชื่อว่ามาร์ตินี่และพบว่าส่วนผสมสำคัญที่จำเป็นจะต้องใช้เหลืออยู่เพียงแค่ก้นขวดซะแล้ว
“อ่า… พอดีว่าส่วนผสมมันหมดน่ะครับ คุณไคเลอร์สนใจจะรับเป็นอย่างอื่นแทนมั้ยครับ?”
“เห~ ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”
ไคเลอร์พูดตอบเดริคกลับไปด้วยน้ำเสียงลากยาว แต่ว่าสิ่งที่เธอทำก็กลับเป็นการหยิบเอาธนบัตรหนาปึกหนึ่งออกมายื่นให้กับเขาและพูดร้องสั่งขึ้นมา
“เอาเงินนี่ไปซื้อส่วนผสมที่ว่ามาไป”
“เอ่อ… แต่ว่าในเวลาแบบนี้กว่าผมจะหาร้านที่ซื้อส่วนผสมได้มันก็น่าจะใช้เวลาอีกสักพักเลยนะครับ แถมผมยังต้องอยู่เฝ้าร้านด้วยอีก คุณไคเลอร์ไม่สนใจจะรับเป็นอย่างอื่นจริงๆ หรอครับ…?”
“ถ้าฉันบอกว่าอยากจะดื่มมาร์ตินี่ฉันก็ต้องได้ดื่มมาร์ตินี่สิ ส่วนเรื่องเฝ้าร้านนั่นเดี๋ยวฉันเฝ้าให้แทนก่อนก็ได้เพราะยังไงฉันก็มาขอยืมใช้สถานที่อยู่แล้วนี่ เอาเป็นว่าถ้าเกิดนายยอมไปดีๆ แล้วหาส่วนผสมมาได้ไวๆ เงินที่เหลืออยู่หลังจากนายหาซื้อส่วนผสมได้ฉันจะยกให้เป็นทิปเลยเอ้า”
“ข—เข้าใจแล้วครับ!”
เดริคที่ได้ยินแบบนั้นได้รีบพูดรับคำของหญิงสาวผมสีแดงกลับไปก่อนที่เขาจะยื่นมือไปรับปึกธนบัตรมาจากอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นเดริคก็ดึงธนบัตรออกมาเพียงแค่ใบเดียวและยื่นธนบัตรส่วนที่เหลืออยู่ทั้งหมดกลับคืนไปให้ไคเลอร์ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งออกไปหาซื้อส่วนผสมที่ยังขาดอยู่ในทันทีโดยไม่ทันสังเกตเห็นไคเลอร์ที่แอบยิ้มมองไล่หลังเขาไปอยู่เลยแม้แต่น้อย
“เป็นลูกเจี๊ยบที่โชคร้ายจริงๆ เลยนะที่โดนตาแก่นั่นหลอกจ้างมาแบบนี้น่ะ…”
ไคเลอร์พูดไล่หลังเดริคออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะเอื้อมมือไปหยิบเอาขวดเครื่องดื่มออกมาจากด้านหลังเคาน์เตอร์และรินมันลงไปในแก้วไวน์ที่ตั้งอยู่ข้างๆ กันด้วยท่าทางอารมณ์ดี แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้ยกมันขึ้นมาลิ้มลองนั้นเสียงของกระดิ่งที่ติดอยู่ที่ด้านหน้าประตูก็ได้ดังขึ้นมาซะก่อน
กรึ๊งกรึ๊ง….
ผู้ที่เดินเข้ามาในบาร์เหล้าแห่งนี้ก็คือชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบขุนนางของกราวิทัสที่ถูกรายล้อมเอาไว้ด้วยทหารประจำเมืองสามคน ซึ่งเมื่อขุนนางหนุ่มคนนั้นได้เหลือบมาเห็นไคเลอร์เขาก็ได้รีบเดินตรงบึ่งเข้ามาหาเธอพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาในทันที
“ส่งของที่ว่ามาเดี๋ยวนี้!!”
“ใจเย็นๆ สิ ผู้หญิงเขาไม่ชอบผู้ชายอารมณ์ร้อนแบบนั้นกันนะรู้มั้ย~”
“เฮ้อ… ถึงจะโดนเด้งราคาไปตั้งเยอะแต่ก็ยังจะอุตส่าห์หาซื้อมาได้อีกนะเรา…”
ในขณะเดียวกันทางด้านเดริคที่วิ่งไปตามบาร์เหล้าที่อยู่ใกล้ๆ กันเพื่อติดต่อขอซื้อส่วนผสมสำหรับมาร์ตินี่ที่ขาดอยู่ก็ได้พูดบ่นออกมาเบาๆ เพราะว่าบาร์เหล้าสามสี่ร้านแรกที่เขาเข้าไปขอซื้อนั้นต่างพากันปฏิเสธเนื่องจากว่าเขายังอายุไม่ถึง จะมีก็แต่ร้านล่าสุดนี่ล่ะที่ยอมขายให้กับเขาถึงแม้ว่าจะเรียกเงินไปมากกว่าราคาหน้าป้ายเกือบจะสามเท่าก็ตามที
“แต่เอาจริงๆ แค่มีร้านที่ยอมขายให้ก็น่าจะเรียกว่าโชคดีแล้วล่ะมั้—-”
ตู้ม!!!
“เหวอ—!?”
แต่แล้วในขณะที่เดริกำลังพูดบ่นกับตัวเองอยู่นั้นก็ได้มีเสียงระเบิดดังลั่นขึ้นมาจากทิศทางที่เขากำลังมุ่งหน้าไป ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีประกายไฟขนาดใหญ่ลุกโชนขึ้นมาตัดกับสีของท้องฟ้ายามค่ำคืนและตามมาด้วยเสียงปืนที่ดังติดต่อขึ้นมาเป็นชุด
ปังปังปังปังปัง!!
“เดี๋ยวๆๆๆ นี่ล้อเล่นกันหรือเปล่าเนี่ย!?”
เดริคที่รีบวิ่งสวนทางกับเหล่าผู้คนที่กำลังวิ่งหลบหนีออกมาจากจุดเกิดระเบิดได้แต่พูดขึ้นมาด้วยความสับสน เพราะว่าบาร์เหล้าเก่าๆ ที่เขาเพิ่งจะเดินออกมาเมื่อไม่ถึงสิบนาทีก่อนกำลังตกอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงและถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้ดูผิดไปเขาก็ได้เห็นร่างของทหารประจำเมืองคนหนึ่งนอนแน่นิ่งถูกเปลวเพลิงเผาผลาญร่างกายอยู่ในนั้นด้วย
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!?”
“อ้าว กลับมาไวจริง…”
ปึ้ง!!
“!!?”
เสียงของไคเลอร์ที่ดังขึ้นมาก่อนที่หญิงสาวผมแดงจะเตะประตูออกมาจากด้านในจนมันหลุดออกมาทั้งบานนั้นได้ทำให้เดริคต้องรีบหันไปมองในทันที ซึ่งเดริคก็ได้พบว่าไคเลอร์ได้ถือหนึ่งในกระเป๋าเหล็กที่เธอพกเข้าไปในร้านด้วยออกมาเพียงแค่ใบเดียว ในขณะที่มืออีกข้างของเธอได้ถือปืนสั้นสีเงินกระบอกหนึ่งเอาไว้
ซึ่งแน่นอนว่าพอเดริคได้เห็นหญิงสาวผมสีแดงเดินออกมาจากบาร์เหล้าที่ลุกเป็นทะเลเพลิงด้วยท่าทีสบายๆ แบบนั้นเขาก็รีบวิ่งตรงเข้าไปหาไคเลอร์พร้อมกับเอ่ยปากถามหาสาเหตุขึ้นมาในทันที
“คุณไคเลอร์ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันครับเนี่ย!?”
“หนวกหูน่า! ถ้าเกิดว่าแกอยากรู้ก็ลองเข้าไปถามเจ้าพวกที่นอนตายอยู่ในนั้นดูเองสิ!”
“อึ๊ย—!?”
เสียงของไคเลอร์ที่ตะโกนกลับมาใส่เขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดต่างกับท่าทางใจดีและขี้เล่นในตอนแรกอย่างสิ้นเชิงได้ทำให้เดริคชะงักฝีเท้าไปในทันที ซึ่งไคเลอร์ที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดบ่นออกมาพลางเอ่ยปากเตือนเด็กหนุ่มถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ถ้าเกิดว่าเขาคิดจะลองเข้าไปด้านในขึ้นมาจริงๆ ไปด้วย
“ให้ตายสิ เจ้าพวกนี้มันก็หาเรื่องได้ถูกเวลาจริงๆ ส่วนร้านเหล้านั่นไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ตาแก่เจ้าของร้านนั่นมันน่าจะหนีไปหมกอยู่ที่เมืองอื่นตลอดชีวิตแบบไม่คิดจะกลับมาแล้วล่ะมั้ง ที่เหลือแกก็แค่ภาวนาอย่าให้ไฟมันลามไปติดพวกเหล้าที่ตาแก่นั่นเก็บไว้จนระเบิดขึ้นมาแล้วเปลี่ยนบ้านข้างๆ กลายเป็นลูกไฟไปด้วยนั่นล่ะ”
ทันทีที่ไคเลอร์พูดบ่นเสร็จแล้วเธอก็ได้หันหลังกลับและทำเป็นเดินเนียนไปกับฝูงคนที่วิ่งเข้ามามุงดูเพื่อหลบเข้าไปในตรอกเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลในทันที แต่ว่าเมื่อไคเลอร์ได้เดินหลบเข้าไปในตรอกนั้นแล้วเธอก็ได้หันหลังกลับมาพูดถามเดริคที่เดินตามเธอมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์
“จะตามฉันมาทำไม?”
“เอ่อ… คือว่า… มันก็…”
“เฮ้อ… เอานี่ไป”
ตุ๊บ—
ไคเลอร์ที่เห็นท่าทีอึกอักของเดริคได้ยกด้ามปืนที่เธอถือเอาไว้ขึ้นมาเกาหัวของตัวเองเล็กน้อยก่อนที่เธอจะโยนกระเป๋าเหล็กในมืออีกข้างออกไปให้เดริครับเอาไว้ ซึ่งด้วยแรงของไคเลอร์และน้ำหนักของกระเป๋าก็ถึงกับทำให้เดริคเซไปด้านหลังเล็กน้อยเพราะคาดไม่ถึงว่ามันจะหนักได้ถึงขนาดนี้ทั้งๆ ที่หญิงสาวผมแดงตรงหน้าของเขาถือมันได้ด้วยท่าทีสบายๆ
“ก่อนหน้านี้เจ้าของร้านนั่นมันได้ส่วนของมันล่วงหน้าไปแล้ว แต่ดูท่าทางว่ามันจะได้ข่าวอะไรมาถึงได้รีบหนีไปก่อนแล้วก็จ้างนายมารับส่วนที่เหลือแทนเพราะกลัวว่าถ้าผิดนัดกับฉันแล้วฉันจะตามไปกระทืบมันทิ้งทีหลังล่ะมั้ง เอาเป็นว่าส่วนที่เหลือในกระเป๋านั่นฉันยกให้เป็นทิปกับพนักงานดีเด่นอย่างนายก็แล้วกัน”
“ครับ…?”
คำพูดของไคเลอร์ได้แต่ทำให้เดริคมึนงงไปชั่วขณะก่อนที่เขาจะนึกขึ้นมาได้ถึงท่าทีของเจ้าของร้านเหล้าที่เหมือนว่าจะเป็นกังวลเรื่องของกระเป๋าของลูกค้ารายหนึ่งเป็นพิเศษและบอกว่าให้เขานำกระเป๋าและของด้านในที่ลูกค้าให้เป็นทิปไปใช้ได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องเก็บเอาไว้ส่งมอบให้กับเขาในภายหลัง
ซึ่งเดริคที่นึกได้แบบนั้นก็ได้เปิดตัวกระเป๋าออกมาดูสิ่งของด้านในดูในทันทีก่อนที่เขาจะตกตะลึงไปกับปึกธนบัตรจำนวนมากที่ถูกอัดแน่นเอาไว้ด้านใน
“จ—จำนวนขนาดนี้ผมรับเอาไว้ไม่—-”
“หุบปากแล้วก็รับๆ ไปเถอะน่า! ให้ตายสิ… รู้มั้ยว่าตอนที่นายเป็นบาร์เทนเดอร์พยักหน้าหงึกๆ แล้วก็พูดแค่เท่าที่จำเป็นมันน่ารักกว่าตอนที่มายืนถามอะไรแบบตอนนี้ตั้งหลายเท่าเลยนะ”
“อ—เอ๋?”
“ให้ตายสิ… ฉันไปล่ะ หวังว่าพวกเราจะไม่ได้เจอกันอีกก็แล้วกัน”
ไคเลอร์พูดบ่นขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่เธอจะเดินออกมาจากตรอกเล็กๆ ตรอกนั้นและเดินหลบเข้าไปในตรอกที่อยู่ใกล้ๆ กันเพื่อรอหาจังหวะในการแอบหลบออกจากเมืองโดยทิ้งเดริคที่ยืนกอดกระเป๋าเหล็กในมือแน่นไว้เบื้องหลัง
“ไคเลอร์…”
ซึ่งในขณะที่ไคเลอร์กำลังเฝ้ารอโอกาสที่จะหลบหนีออกไปจากเมืองกราวิทัสอยู่นั้นก็ได้มีเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของเธอจนทำให้ไคเลอร์ต้องรีบหันกลับไปมองพร้อมกับชักปืนพกออกมาเล็งใส่อีกฝ่ายในทันที
“อ้าว… คราวนี้ไม่ได้ส่งยัยฮานะหรือว่ายัยนูลิสมาแทนแล้วหรือไง”
แต่ว่าเมื่อไคเลอร์ได้หันกลับไปพบกับร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมสีดำเธอก็ได้เก็บปืนพกในมือกลับไปและพูดถามขึ้นมาด้วยท่าทีเป็นกันเองราวกับว่าพวกเธอเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้พบกันมานาน ก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นเด็กสาวผมสีทองที่กอดกระบองเหล็กเอาไว้ในอ้อมแขนกับหญิงสาวผมสีชมพูในชุดผ้าสีขาวที่แบกดาบขนาดยักษ์เอาไว้บนแผ่นหลังแล้วจึงพูดถามขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วที่เธอมาหาฉันด้วยตัวเองนี่แสดงว่าถึงเวลาที่พวกเธอจะจัดการเรื่องนั้นแล้ว หรือว่ามีเรื่องอะไรอย่างอื่นที่จะต้องให้ฉันเป็นคนจัดการกันล่ะ?”
“ก็อะไรประมาณนั้นล่ะ…”
เด็กสาวในชุดผ้าคลุมพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยตามแบบฉบับของเธอก่อนที่เธอจะผงกหัวเป็นสัญญาณให้ซัมเมอร์และอิซานางิที่อยู่ด้านหลังก้าวเดินออกมาเบื้องหน้า
“แล้วแม่หนูสองคนนี่คือใครกันล่ะ ของเล่นใหม่ของเธอหรือไง?”
“ไม่… สำหรับเธอต่างหาก…”
ไคเลอร์ที่ได้ยินแบบนั้นได้หันไปมองสำรวจดูเด็กสาวและหญิงสาวที่เมื่อสักครู่เธอไม่ได้เห็นอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อยด้วยสายตาพิจารณาและเอ่ยปากถามรายละเอียดขึ้นมา
“โฮ่… ไหนลองว่ารายละเอียดมาสิ”
“ฉันกำลังตามหาอาจารย์… อาจารย์ที่มีฝีมือมากพอจะสั่งสอนจนพวกเขาสามารถทำตามเป้าหมายที่ตัวเองต้องการได้…”
“อ่าหะ~ อย่างยัยฮานะนั่นคงจะทำอะไรแบบที่เธอว่ามาไม่ได้อยู่แล้วงั้นสินะ… เท่าที่ฉันดูแล้วยัยหัวชมพูนี่มีแววตาที่นับว่าเข้าขั้นได้อยู่ ส่วนยัยตัวเล็กนี่ยังไม่ถึงขั้นเท่าไหร่แต่ก็ยังพอจะใช้ได้”
ไคเลอร์ที่จ้องมองตรงไปยังนัยน์ตาของอิซานางิได้พูดชมหญิงสาวผมชมพูขึ้นมา แล้วจึงหันไปบีบแก้มของซัมเมอร์เพื่อบังคับให้เด็กสาวที่พยายามหลบตาไปทางอื่นหันกลับมาจ้องมองเธอ ก่อนที่ไคเลอร์จะปล่อยมือของตัวเองออกจากแก้มของซัมเมอร์และหันกลับไปพูดถามเด็กสาวในชุดผ้าคลุมขึ้นมา
“ฉันพังเด็กพวกนี้ได้แค่ไหน?”
“เชิญ…”