Crazy Leveling System - ตอนที่ 175
CLS ตอนที่ 175: สองพี่น้อง
เพียงแค่ค่ายกลง่ายๆ ที่อี้เทียนหยุนวาดออกไปก็เทียบได้กับค่ายกลชั้น 4 ได้แล้ว ยิ่งกว่านั้น นี่ยังเป็นรูปแบบที่ปรับลดลงมา ดังนั้น การวาดจึงเป็นเรื่องง่าย เวลาที่ใช้ก็ไม่นาน แต่ถึงจะใช้เวลาไม่นาน แต่นี่ก็เป็นค่ายกลชั้น 4 อย่างแน่นอน แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าการวาดค่ายกลต้องทำยังไง แต่ก็สามารถดูรู้ ว่านี่เป็นค่ายกลชั้น 4
เพียงแค่ผลที่มันแสดงออกมาเพียงเล็กน้อยนี้ก็สามารถบอกได้แล้วว่ามันคือค่ายกลชั้น 4 จริงๆ! เอาจริงๆ แล้ว ขอแค่เพียงสามารถสร้างค่ายกลชั้น 4 ออกมาได้แม้ว่ามันจะน่าผิดหวังหรือใช้งานไม่ได้ยังไงก็ถือว่าเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 แล้ว
ดังนั้น ที่เหล่าเซวียนบอกว่าการที่จะซ่อมแซมค่ายกลสำหรับบินนั้นจำเป็นต้องใช้อาจารย์สลักอาคมชั้นยอดถึงจะทำได้ ความหมายก็คือสิ่งนี้นี่เอง อาจารย์สลักอาคมขั้นต้นกับอาจารย์สลักอาคมขั้นสุดท้ายนั้น ถือว่าเป็นสองระดับที่ต่างกัน (ประมาณชั้น 4 ขั้นต้น กับ ชั้น 4 ขั้นท้าย)
ผู้จัดการหลิวกับพวกพากันตกใจ พวกเขาทำผิดมหันต์ โดยเฉพาะผู้จัดการหลิวที่ออกปากว่าจะกินโต๊ะลงไป ตอนนี้งามหน้าแล้วไหมล่ะ เศษโต๊ะยังกระจายอยู่บนพื้น แต่ว่าเขาก็ไม่รู้ว่าจะกินมันได้ยังไง
“ว่ายังไง ตกลงแล้วข้าใช้อาจารย์สลักอาคมชั้น 4 จริงๆ ไหม แล้วจะกินโต๊ะได้หรือยัง?” อี้เทียนหยุนมองเขาแล้วพูดขึ้นมาเบาๆ
ผู้จัดการหลิวสีหน้ากลายเป็นน่าเกลียด เขาไม่อยากกินโต๊ะ ไม่ใช่เพราะว่ามันแข็งยากที่จะกัดลงไป แต่เป็นเพราะว่ามันเสียหน้า! แม้ว่าคนที่อยู่ที่นี่จะไม่มาก แต่ก็มีกันหลายคน การที่ต้องกินโต๊ะต่อหน้าพวกเขา ถือเป็นการเสียหน้าอย่างมาก
“นี่เป็นเพราะข้ามีตาแต่ไร้แวว ต้องขออภัยอย่างมาก….. ข้าขอแสดงความขอโทษจากใจจริง ได้โปรดยกโทษให้ความผิดพลาดของข้าด้วย” ผู้จัดการหลิวเอ่ยขอโทษด้วยใจจริง ทั้งยังมากไปด้วยความอึดอัด
ใครจะไปคิดล่ะว่าเขาจะเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 จริงๆ เพียงแค่เรื่องนี้ ก็เพียงพอที่อี้เทียนหยุนจะขึ้นราคาอย่างมหาศาลแล้ว! ถ้าเอาตามระดับ ยังมีอีกหลายคนที่มีระดับพอๆ กับเขา แต่ถ้าพูดถึงเรื่องอายุแล้วล่ะก็ มันเป็นอะไรที่น่าตื่นตะลึงมากจริงๆ ในอนาคตเป็นไปได้ว่าเขาจะมีความสามารถเป็นได้ถึงปรมาจารย์สลักอาคม ด้วยอัจฉริยภาพระดับนี้ แม้แต่ขุมอำนาจชั้น 4 ยังต้องการ
“กินโต๊ะลงไปซะ!” เสียงที่เปล่งออกมาของอี้เทียนหยุนทั้งต่ำและลึกล้ำอย่างมาก “คำพูดบางคำเมื่อพูดไปแล้วจำเป็นต้องจ่ายราคา! ยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่า เพื่อตระกูลจู้แล้ว เจ้าเต็มใจสละทุกอย่าง หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากข้าแล้ว?”
“นี่….”
ผู้จัดการหลิวตกใจ แม้อี้เทียนหยุนจะตัดสินใจช่วย แต่ถ้าเกิดว่าเขาตั้งใจทำพลาดขึ้นมา แม้ว่าตระกูลจู้ของพวกเขาจะไม่ถึงจุดจบ แต่ก็ต้องเสียหายอย่างหนัก เมื่อเวลาผ่านไป ตระกูลจู้ของพวกเขาก็จะไม่มีฐานะอะไรอีก แม้ว่าจะสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้ แต่ฐานะและทรัพยากรที่ได้รับการแจกจ่ายจะต้องน้อยลงอย่างมาก
“ผู้อาวุโสอี้ ได้โปรดอย่าใส่ใจความปากพล่อยของเขาเลย ผู้จัดการหลิวคิดว่าท่านที่ดูเด็ก ดูไม่เหมือนกับอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 เป็นพวกเราที่ผิดเอง” ผู้จัดการหวงช่วยพูดอยู่ข้างๆ
“นี่ไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นการดูถูกข้า!” อี้เทียนหยุนพูดอย่างจริงจัง “ข้าพูดตรงๆ เลย พวกเจ้าบอกว่าข้าล้อเล่น? เจ้าคิดว่าข้าจะเอาเรื่องอิสรภาพของผู้อาวุโสจู้มาล้อเล่นอย่างงั้นเหรอ? บางคำข้าก็ไม่อยากจะพูดเป็นครั้งที่ 2 ถ้าเปลี่ยนเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 คนอื่น ข้าคิดว่าด้วยคำพูดนี้ของเขา จะทำให้พวกเขาหันหลังกลับไปอย่างแน่นอน!”
ผู้จัดการหลิวเงียบไป คิ้วขมวดแน่น เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“ก็ได้ ข้าจะกิน!” ผู้จัดการหลิวหยิบเศษโต๊ะขึ้นมา พร้อมกับใช้ปากกัดอย่างแรก เมื่อมาถึงระดับหลอมรวมแล้ว ไม่เพียงแต่พลังกาย อวัยวะภายในเท่านั้น กระทั่งฟันก็ยังกลายเป็นน่าตกใจ การจะกัดโต๊ะไม้ไม่ใช่ปัญหา
ท่าทางของเขาเหมือนกับกำลังกินข้าวแข็งๆ ที่ติดก้นหม้อ เพียงแต่ความแข็งของมันเป็นระดับสิบ เขาเคี้ยวและกลืนเศษไม้ลงไปอย่างรวดเร็ว ในใจของเขาเต็มไปด้วยความอับอาย
อี้เทียนหยุนก็ไม่ใจอ่อน เรื่องบางเรื่องสมควรทำ เขาไม่รังเกียจที่จะต้องตบหน้าบางคน โดยเฉพาะกับท่าทางของคนพวกนี้ ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
จู้อวี่เหว่ยและจู้อวี่เสวียนที่อยู่ใกล้ๆ ก็อดไม่ได้ให้ยิ้มออกมา คิดว่าผู้จัดการหลิวสมควรแล้วที่โดน ใครใช้ให้เขาอวดดีกันล่ะ ตอนนี้จากที่ไม่พอใจก็พลันกลายเป็นมีความสุข ก่อนหน้านี้คำพูดของพวกเขาทำให้พวกเธอเสียใจอย่างมาก
“พอใจแล้วใช่ไหม?” ผู้จัดการหลิวพูดด้วยท่าทางจริงจัง
“พอใจแล้ว พวกเจ้าไปเตรียมตัวเถอะ ถึงเวลาแล้วค่อยมาบอกข้า” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่มีปัญหา!” ผู้จัดการหลิวกัดฟันแน่น จากนั้นก็เดินตามผู้จัดการหวงออกไป
“ติ๊ง ท่านรับภารกิจ “ติด 1 ใน 3 ในงานประลองสลักอาคมเพื่อช่วยเหลือสองพี่น้อง” สำเร็จ เมื่อสำเร็จจะได้รับค่าประสบการณ์ 1 ล้าน, สิทธิ์ในการสุ่มลอตเตอรี่แบบเพิ่มประสิทธิภาพ 1 ครั้ง, ความชำนาญในการสลักอาคมเพิ่มขึ้น 5,000, ค่าความชอบของจู้อวี่เหว่ยและจู้อวี่เสวียนเพิ่มขึ้น 100!”
ทันใดนั้น ภารกิจเล็กๆ ก็เด้งขึ้นมา ทำให้ตาของเขาพลันเป็นประกาย ไม่คิดเลยว่าเรื่องที่เขากำลังทำจะกลายเป็นภารกิจ
หลังจากออกมา ผู้จัดการหลิวก็พูดอย่างโมโหว่า “เจ้าลูกสำส่อนนั่น กล้าให้ข้ากินโต๊ะจริงๆ! ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ล่ะก็ ข้าจะตัดหัวมันทิ้งซะตรงนั้นเลยคอยดู!”
“ใครจะไปรู้ล่ะว่าเขาจะเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 จริงๆ ไม่แปลกเลยที่จะกลายเป็นผู้อาวุโสของนิกายเทียนเฉวียน ดูเหมือนว่านิกายเทียนเฉวียนนี้ไม่เพียงแต่จะดูลึกลับเท่านั้น แต่ยังแข็งแกร่งด้วย…..” ผู้จัดการหวงพูดด้วยความสงสัย “หรือว่านิกายเทียนเฉวียนจะเป็นพยัคฆ์หมอบ มังกรซ่อนจริงๆ แต่ว่าทำไมถึงได้แสดงออกมาเอาตอนนี้”
“ดูแลมันให้ดี ถึงยังไงมันก็เป็นถึงอาจารย์สลักอาคมชั้น 4” ผู้จัดการหลิวพูดอย่างขมขื่น “คงจะดีมากถ้ามันไม่ติด 1 ใน 3 เมื่อเป็นอย่างนั้น ไม่เพียงแต่จะช่วยพวกเราอย่างเสียเปล่า กระทั่งสองพี่น้องนั่นก็ไม่สามารถหนีไปจากเงื้อมมือของพวกเรา!”
“ก็หวังให้เป็นแบบนั้น เพียงแค่นิกายที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นขึ้นมา กล้าดียังไงมาอวดดีต่อหน้าพวกเรา!” ในใจผู้จัดการหวงก็ไม่พอใจเช่นกัน
และในตอนนี้เอง ที่มุมหนึ่ง ได้มีเงาคนพุ่งออกมา จากนั้นก็เปิดประตูเดินเข้าไป
“ผู้อาวุโสอี้ เมื่อกี้ท่านไปไหนมา?” จู้อวี่เหว่ยเห็นอี้เทียนหยุนเดินเข้ามาก็ถามขึ้นอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไร แค่ออกไปเดินเล่นน่ะ” อี้เทียนหยุนเมื่อกี้นี้แอบซ่อนตัวเพื่อฟังพวกเขาคุยกัน แล้วก็จริง พวกเขาไม่มีเจตนาดีจริงๆ ด้วย
เขาจะใช้กำลังพาคนไปก็ได้ แต่ว่าเขาไม่อยากจะฆ่าคนตามใจ แม้ว่าพวกเขาจะแยกเป็นหลายสาขา แต่ถ้าตำหนักซิงเฉินสาขาไหนพังลง ก็จะมีสาขาอื่นเข้ามารับช่วงต่อทันที
ต่อให้สาขานี้จะเป็นของตระกูลจู้ แต่พวกเขาก็ต้องส่งคนมาช่วยอยู่ดี ถึงยังไงก็เป็นหน้าตาของพวกเขา! ถึงจะเป็นแค่สาขา แต่ก็เป็นตำหนักซิงเฉิน จึงมีสมบัติมากมายของตำหนักเก็บไว้ ไม่มีทางที่พวกเขาจะปล่อยให้สำนักอื่นมาขโมยไปตามใจ
อี้เทียนหยุนไม่ต้องการตอแยขุมอำนาจอื่นให้กับนิกายเทียนเฉวียน มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ ว่าตำหนักเทียนเฉวียนมีปรมาจารย์อยู่กี่คน ยังคงระวังไว้จะดีกว่า ที่เขากล้าทำตัวอวดดีอย่างนี้ไม่ใช่เพราะสถานการณ์บังคับ แต่เป็นเพราะว่าเขาเป็นคนกุมประตูชีวิตของพวกเขาอยู่ ทำให้พวกเขาไม่กล้าลงมือ ทำได้เพียงกล้ำกลืนความโกรธแค้นเอาไว้
“ผู้อาวุโสอี้ ขอบคุณท่านมากที่ให้ความช่วยเหลือ….. ขอแค่ให้ร่างนี้เป็นอิสระ ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมนิกายเทียนเฉวียน ข้าก็จะขอช่วยนิกายเทียนเฉวียนตลอดชีวิต” จู้อวี่เสวียนค้อมตัว คำนับเขาด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
จู้อวี่เหว่ยก็ทำแบบเดียวกัน เธอรู้สึกขอบคุณอี้เทียนหยุนอย่างมาก
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ข้าบอกแล้วว่าจะให้เจ้าเข้าร่วมนิกายเทียนเฉวียนเรา พวกเจ้าสองพี่น้องมีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่ง ถ้าไม่เข้าร่วมนิกายเทียนเฉวียน มันจะเป็นความสูญเสียของพวกเรา” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม “ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ไว้ข้าติด 1 ใน 3 เมื่อไหร่ เจ้าก็ไม่ต้องเป็นหนี้อะไรตำหนักซิงเฉินอีก”
“อืม พวกเราเข้าใจแล้ว พวกเราต้องอดทนกับตำหนักซิงเฉินมานาน เมื่อเรื่องนี้แล้วเสร็จ พวกเราก็ไม่มีอะไรติดค้างพวกเขาอีก!” ดวงตาของพวกจู้อวี่เหว่ยเป็นประกายมุ่งมั่น พวกเธอไม่ใช่คนไม่รู้จักบุญคุณคน แต่ตำหนักซิงเฉินที่ดูแลพวกเธอมาก็ทำให้ความอดทนของพวกเธอมาถึงขีดจำกัด เมื่อเรื่องนี้จบลงเมื่อไหร่ ก็ถือว่าพวกเธอตัดขาดกับที่นี่โดยสมบูรณ์
จากนั้น พวกเธอก็มองหน้ากัน พร้อมกับพยักหน้า แล้วพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “จากนี้ไป พวกเราสองพี่น้องจะติดตามผู้อาวุโสอี้ด้วยความเต็มใจ จะเชื่อฟังแค่คำสั่งของผู้อาวุโสอี้เท่านั้น! จะทำทุกอย่างตามที่ผู้อาวุโสอี้ต้องการโดยที่ไม่บ่นหรือเสียใจ!”
คำพูดนี้ของพวกเธอทำให้อี้เทียนหยุนใจสั่น เขาไม่คิดเลยว่าพวกเธอจะทำถึงขนาดนี้!