Dawn of a new era รุ่งอรุณแห่งยุคใหม่ - ตอนที่ 62
ตอนที่ 62 วิกฤติ
ถึงแม้ตั้งแต่เด็กจนโต ความสัมพันธ์ของเขากับน้องสาวจะไม่ค่อยดีสักเท่าไร แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สุดท้ายน้องสาวเป็นหนึ่งในคนใกล้ชิดที่เขาสนิทที่สุด
ในเมื่อตอนนี้มีคนกล้าลงมือกับน้องสาวของเขา เขาจะทนนิ่งดูดายได้อย่างไร
เฉินโจวอี้พยายามระงับไฟแค้นไว้ในใจ เขาคิดหาวิธีรับมืออย่างใจเย็น จากนั้นจึงรีบพูดขึ้นว่า
” รูปร่างหน้าตาของเธอถูกเปิดเผยแล้ว และเธอเป็นพยานเพียงหนึ่งเดียวที่ยังรอดชีวิตอยู่ด้วย คนบางส่วนในพวกนับถือลัทธินอกรีตน่าจะเป็นพวกคนมีอำนาจตำแหน่งสูงในเมืองตงหนิง พวกเขาจะต้องตามหาตัวเธออย่างแน่นอน ช่วงนี้ทางที่ดีที่สุดไม่ต้องออกไปไหน! “
ในเวลานี้เฉินโจวอี้นึกอะไรบางอย่างออก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปแล้วรีบถามน้องสาว
” ใช่แล้ว ตอนที่เธอไปแจ้งตำรวจ เธอได้เผยข้อมูลส่วนตัวไปหรือเปล่า? “
” ฉะ…..ฉันใส่ชื่อไปด้วย! ” เฉินซิงเยว่เองก็นึกถึงส่วนสำคัญนี้ขึ้นมา ทันใดนั้นเธอพูดขึ้นด้วยอาการสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ถึงแม้ว่าเธอจะฉลาดมาตั้งแต่เด็ก แต่เธอก็ยังเป็นแค่เด็กสาวอายุสิบห้าที่ยังไม่เจนโลกขนาดนั้น ยิ่งเพิ่มความตื่นตระหนกและหวาดกลัวในเวลานั้นเข้าไปด้วย คงหนีไม่พ้นที่จะคิดอะไรอย่างไม่รอบคอบ
” ระ……เราจะทำไงดีพี่ เราบอกให้พ่อกับแม่หนีไปดีไหม พวกเรารีบออกจากเมืองตงหนิงกันเถอะ “
เฉินซิงเยว่ไม่เคยสังเกตเลยว่า พี่ชายที่เธอเคยดูถูกมาโดยตลอดตั้งแต่เมื่อก่อน ในเวลานี้พอเผชิญหน้ากับเรื่องความเป็นความตาย ด้วยสีหน้าใจเย็นเงียบสงบของพี่ชาย เขาได้กลายเป็นที่พึ่งของเธอโดยไม่รู้ตัว
” ใจเย็นก่อน ไม่ต้องกังวล ยิ่งกังวลมันจะยิ่งวุ่นวาย ” เฉินโจวอี้พูดเสียงต่ำ
จากนั้นเขารีบเดินไปทางระเบียง ค่อยๆ แหวกม่านหน้าต่างออกแล้วมองออกไปด้านนอกอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่ง
ในไม่ช้า เขาก็สังเกตเห็นชายหนุ่มสองคนสีหน้าดูเหมือนอาชญากรได้อย่างรวดเร็ว นั่งย่ออยู่ฝั่งตรงข้ามถนน พวกมันสูบบุหรี่ไปด้วยพลางพูดคุยกันเล็กน้อย สายตาจับจ้องมาที่ร้านอาหารของพวกเขาที่อยู่ฝั่งนี้อยู่บ่อยครั้ง
” มากันเร็วอะไรขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่ากลุ่มลัทธินอกรีตนี้มันแทรกซึมเข้าไปลึกมาก ” เขาพูดกับตัวเองในใจ
เฉินโจวอี้ไม่ได้เรียนรู้วิธีการล่อลวงศัตรู แต่การแสดงออกที่ไม่เกรงกลัวใครของอีกฝ่าย ทำให้เขาพบพิรุธตั้งแต่มองแวบแรก
หรือบางทีพวกมันอาจกำลังคิดว่าครอบครัวนี้คงไม่มีแรงต่อต้าน และมันจะฆ่าใครก็ได้!
เขาค่อยๆ ปล่อยผ้าม่าน สีหน้าดูหม่นหมอง ในใจเกิดความอยากฆ่าขึ้น
แต่พอตอนที่เขาหันหลังกลับ สีหน้าของเขากลับคืนสู่ความสงบดังเดิม
” ตอนกลางวันมีผู้คนพลุกพล่าน รอให้ถึงตอนกลางคืนแล้วค่อยไป ในเวลานี้อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กับพ่อและแม่ หลีกเลี่ยงการแหวกหญ้าให้งูตื่น พ่อกับแม่จะได้ไม่ตกใจกลัวจนตื่นตระหนกเกินไป ตอนนี้เธอไปอยู่ในห้องก่อน จำไว้ว่าอย่าเปิดผ้าม่านเด็ดขาด “
เฉินโจวอี้ไม่กล้ารับประกันว่าพวกมันจะใช้ปืนสไนเปอร์ซุ่มยิงหรือเปล่า บางคนมีแนวโน้มที่จะทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดนตั
เฉินซิงเยว่ไม่ได้พูดอะไร เธอเช็ดน้ำตาโดยใช้แรงอันน้อยนิด เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แบบนี้ สติของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนานแล้ว
หลังจากที่มองตามจนเห็นเฉินซิงเยว่เดินเข้าไปในห้อง
เฉินโจวอี้จึงเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเองเช่นกัน
เขาวางกระเป๋าเอกสารลง นั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ ค่อยๆ จมลงสู่ห้วงแห่งความคิด
ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น จู่ๆ เขาก็คว้าที่ใส่ปากกาบนโต๊ะหนังสือ ขนาดพวกปากกาที่อยู่ด้านในยังถูกเขาบีบจนแตก
” แม่งเอ้ย ช่างยโสโอหังเสียจริง “
ความโกรธและความอยากฆ่าทวีความรุนแรงขึ้นในใจ ราวกับเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่ในอก เขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะรีบออกไปแล้วจับไอ้เด็กหนุ่มที่มาสอดแนมพวกนั้นทุบหัวจนแหลกละเอียดทีละคน
แต่เขารู้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้!
ถ้าหากยังคงแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อไป แสดงว่าคนพวกนี้เพื่อที่จะลดผลกระทบทางสังคมที่จะตามมา พวกมันจึงหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวตน พวกมันน่าจะรอให้ถึงช่วงกลางดึกจึงจะลงมือ ถ้าหากเขาฆ่าสองคนนี้ตายในตอนนี้เท่ากับเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
อีกอย่างในเวลากลางวัน จัดการศพได้ยาก
สำหรับเรื่องแจ้งตำรวจ เขาเองก็เคยคิดอยู่
แต่ในไม่ช้าเขาก็ลบความคิดนี้ออก ไม่ต้องพูดถึงหรอกว่าตำรวจจะเชื่อหรือไม่ ต่อให้ตำรวจจัดเตรียมกำลังคนคุ้มครองผู้เข้าแจ้งความในยี่สิบสี่ชั่วโมง พอถึงตอนนั้นจะมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใดกัน
อีกอย่างเพื่อที่จะรับมือกับแผนการล่องูออกจากถ้ำที่มีโอกาสเป็นไปได้ของทางฝั่งตำรวจ ครอบครัวคงไม่สามารถออกเดินทางได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะอาจตกอยู่ในอันตราย
ยิ่งไปกว่านั้นสรุปแล้วข้อมูลของครอบครัวเขาเปิดเผยไปอย่างไร ยิ่งคิดก็ยิ่งน่ากลัวเหลือเกิน!
เขาจะไม่สนความปลอดภัยของตัวเองก็ได้ แต่เขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อความปลอดภัยของพ่อแม่และน้องสาวได้ วิธีที่ดีที่สุดคืออาศัยช่วงเวลากลางคืนออกจากเมืองตงหนิง พอถึงตอนนั้นต่อให้ถูกสั่งจับกุมในข้อหาฆ่าคนตาย แต่ด้วยสถานการณ์ไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตขัดข้องในเวลานี้ พอออกจากเมืองตงหนิงได้ พวกเขาก็คงจะหยุดเราไว้ไม่ได้เช่นกัน
สำหรับเรื่องอุโมงค์มิตินั่น ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาทำได้แค่ต้องละทิ้งมันไป
เฉินโจวอี้วางแผนว่าพอออกจากเมืองตงหนิงแล้ว พอทุกอย่งปลอดภัยดี เขาจะหาวิธีรายงานเรื่องอุโมงค์มิติ
คนเถื่อนพวกนั้นถูกเขาฆ่าอย่างโหดเหี้ยมจนพากันหวาดกลัว ภายในช่วงเวลาอันสั้นนี้ไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาอะไร
เฉินโจวอี้สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วโยนที่ใส่ปากกาและปากกาที่หักลงในถังขยะ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการเอาอาวุธของตัวเองกลับมา ในเวลาแบบนี้ต่อให้เปิดเผยมันต่อหน้าพ่อแม่และน้องสาว เขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ไปมากกว่านี้
เขาเปิดหน้าต่าง มองซ้ายขวาสำรวจดูรอบๆ ซอย ถือโอกาสตอนที่ไม่มีใครสนใจ กระโดดลงมา
ตอนที่เดินอยู่บนถนน เขาใช้หางตามองไปยังสองคนนั้นสักพัก พลางกำหมัดแน่นและคลายมืออย่างรวดเร็ว จากนั้นรีบเดินออกจากตรงนี้
ชายหนุ่มสองคนที่มาสอดแนมคงคิดไม่ถึงว่าเมื่อครู่นี้ชีวิตของตัวเองได้กลับมาจากประตูนรกแล้ว
….
เกาะเล็กบนโลกที่แตกต่างได้เข้าสู่ช่วงเวลากลางคืนแล้ว ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำช่างดูมืดมิดและเงียบสงัดเหลือเกิน
แผ่กระจายบรรยากาศแห่งความมืดมนออกมา
หมอกแต่ละสายที่ลอยอยู่เหนือพื้นราวกับมีชีวิต เคลื่อนไหวราวกับกำลังเต้นระบำอย่างอ่อนโยนดูมีเสน่ห์
หลังจากที่ประสบพบเจอกับเรื่องราวมากมาย เฉินโจวอี้ไม่ได้มีความรู้สึกหวาดกลัวต่อวิญญาณธรรมชาติอ่อนแอพวกนี้แล้ว
เขามาถึงถ้ำหินโดยไม่ใส่ใจพวกมัน ดึงกระเป๋าเป้ออกมาจากในถ้ำ เทอาหารและชุดลายพรางออกมากระจัดกระจายเต็มพื้น
จากนั้นเอาชิ้นส่วนคันธนูและลูกธนูยัดเข้าไปแทนที่
กระเป๋าที่เขาซื้อมาคือกระเป๋าที่ใช้สำหรับเดินป่า สูงประมาณ 80 เซนติเมตร ชิ้นส่วนยาวของคันธนูทั้งสองอันสามารถยัดลงไปได้
เพียงแต่ว่ากล่องดาบยาวเกินไป เฉินโจวอี้จึงต้องถือไว้ในมือ
จากนั้นเขาเก็บทองคำทั้งหมดมาแล้วรีบเดินออกจากอุโมงค์มิติไป
ตอนที่เดินอยู่บนถนน สีหน้าของเขาดูลังเลไปสักพัก ทันใดนั้นเขาเปลี่ยนเส้นทางทันที
สิบนาทีต่อมา เขาก็มาถึงชุมชนที่ครอบครัวจางเซียวเยว่อาศัยอยู่
….
เฉินโจวอี้มองเห็นในศาลาของชุมชนมีชายแก่คนหนึ่งนั่งอยู่ จึงรีบเดินเข้าไป
” คุณลุงครับ ลุงรู้จักจางเซียวเยว่ไหม อายุพอๆ กับลูกสาวลุงน่ะครับ “
” จางอะไรเยว่นะ? “
” จางเซียวเยว่ครับ รู้จักไหม? “
” จางเซียวอะไรนะ? “
” ช่างเถอะครับ ผมไม่กวนลุงแล้ว ผมไปถามคนอื่นละกัน ” เฉินโจวอี้พูดอย่างจนปัญญา
บนถนนในชุมชน เขาเจอใครก็ถามคนนั้น แต่ทุกคนต่างตอบว่าไม่รู้จัก ในไม่ช้าเฉินโจวอี้จึงล้มเลิกการสอบถามที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้
ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองไม่ค่อยสนใจกัน หลายคนอยู่มาสิบกว่าปีแล้ว ขนาดสมาชิกครอบครัวของบ้านฝั่งตรงข้ามมีกี่คน เกรงว่าคงจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำ
แต่สิ่งเดียวที่สามารถทำให้เฉินโจวอี้สบายใจได้ก็คือ
ในช่วงนี้ที่นี่ยังไม่เกิดเรื่องอะไรและก็ยังไม่ได้ยินว่ามีใครตาย หรือบางทีอาจเป็นเพราะตัวตนของศพยังไม่ได้รับการยืนยัน ถ้าหากเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นมาล่ะก็ ภายในชุมชมคงเกิดข่าวลือแพร่สะพัดออกไป
เขาไม่ได้อยู่ที่นี่เป็นเวลานาน รีบกลับบ้านของตัวเองทันที
พอเห็นเงาของแม่นั่งก้มหน้าทำบัญชีอยู่ที่เค้าท์เตอร์ชำระเงินของร้าน เฉินโจวอี้จึงโล่งใจ
จากนั้นเขาเดินผ่านประตูร้านอาหารไปที่ซอย และเดินไปใต้หน้าต่างห้องนอนของเขา
รอให้คนสองสามคนเดินผ่านไป เฉินโจวอี้จึงถอยหลังออกไปไม่กี่ก้าว
หลังจากวิ่งไปไม่กี่ก้าว จู่ๆ เขาก็กระโดดขึ้น ร่างกายลอยได้สูงถึงสามสี่เมตร จากนั้นใช้มือคว้าขอบหน้าต่าง พลิกตัวเข้าไปในห้องนอน
เขานั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ หยิบดาบยาวออกมาจากกล่องดาบ แล้วหยิบผ้าไหมขึ้นมาค่อยๆ เช็ดตัวดาบอย่างตั้งใจ เช็ดจนกระทั่งมันเงาวับ ถึงจะเก็บเข้าฝักดาบอีกครั้ง
จากนั้นหยิบเอาชิ้นส่วนคันธนูออกมาจากในกระเป๋า ประกอบมันทีละชิ้นจนสำเร็จ แล้วลองทดสอบดู
มองไปยังอาวุธทั้งสองชิ้นที่แปดเปื้อนไปด้วยเลือดนี้ ในใจของเฉินโจวอี้ค่อยๆ สงบลง
การฆ่าคน เขาไม่เคยฆ่ามาก่อน เมื่อก่อนไม่เคยคิดเลยว่าจะมีสักวันหนึ่งที่ตัวเขาเองจะฆ่าใครได้
แต่สำหรับคนเถื่อนนั้น เขาฆ่ามายี่สิบกว่าคนแล้ว