Dawn of a new era รุ่งอรุณแห่งยุคใหม่ - ตอนที่ 63
ตอนที่ 63 ก่อนออกเดินทาง
ท้องฟ้าค่อยๆ มืด
แม่ของเขาจุดเทียนเสร็จ จึงดึงประตูปิดเข้าหากันพลางพูดบ่น
” ตอนนี้ธุรกิจย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ มีลูกค้ามากินอาหารไม่กี่คนเอง “
” เธอยังจะคิดแบบนี้ได้อีก ตอนนี้ไม่รู้ว่ามีคนตกงานตั้งเท่าไร ทำรายได้เล็กน้อยถือว่าไม่เลวแล้ว ” เฉินต้าเหว่ยวางจานอาหารลง เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วพูดขึ้น
” วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ตากระตุกบ่อยมาก แถมในใจยังรู้สึกหวิวแปลกๆ คุณว่าเงินก้อนนั้นที่เราเอาไปปล่อยกู้จะเกิดปัญหาหรือเปล่า? ถ้าหากไม่ได้คืนขึ้นมาต้องแย่แน่ “
พื้นที่เจียงหนานเป็นพื้นที่หัวการค้ามาตั้งแต่โบราณ ธุรกิจการเงินใต้ดินรุ่งเรืองมาก รายได้ที่ได้รับจากการลงทุนมักจะสูงกว่าดอกเบี้ยของธนาคาร แน่นอนว่าครอบครัวของเฉินโจวอี้เองก็นำเงินที่เหลือใช้เข้าไปลงทุนเช่นกัน
” งั้นวันหลังไปถอนคืนไหม ดอกเบี้ยที่หายไปก็แค่เงินจำนวนเล็กน้อย ตอนนี้ในสถานการณ์แบบนี้ไม่รู้ว่าจะฟื้นฟูเมื่อไร? มันเสี่ยงเกินไป! ” เฉินต้าเหว่ยพูดขึ้นอย่างกังวลเช่นกัน
” รอวันหลังก็ไม่ทันการกันพอดี พรุ่งนี้ฉันจะไปถอนเงินมา ” แม่รีบพูดขึ้น ท่าทางของเธอมักจะดูแข็งแกร่งเสมอ
ขณะที่พูด เธอเดินไปยังบันไดแล้วพูดตะโกนเสียงดัง ” พวกลูกสองคนแห้งตายในห้องไม่กินข้าวแล้วหรือไง? ขนาดกินข้าวยังต้องให้มากระตุ้น ยังไม่รีบลงมาอีก “
….
ท่ามกลางความมืดมิดเฉินโจวอี้ลืมตาขึ้น เขาเปลี่ยนเป็นเสื้อดำกางเกงดำ หยิบดาบยาวบนโต๊ะหนังสือขึ้นมา แล้วเปิดประตู
ในเวลานี้ประตูของห้องข้างๆ เปิดออกเช่นกัน เฉินซิงเยว่ตาแดงเดินออกมาจากในห้อง
ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เธอดูซีดเซียวขึ้นเยอะ และก็ดูเงียบซึมไปไม่น้อย
” พี่ พี่…. ” พอเธอเห็นดาบในมือของเฉินโจวอี้ จึงพูดขึ้นด้วยความตกใจ
เธอตกใจกับท่าทางอันเด็ดเดี่ยวของพี่ชายเธอ และก็แปลกใจกับที่มาของดาบเล่มนี้เช่นกัน
” ด้านนอกมีคนมาสอดแนมแล้ว พอถึงตอนนั้นอาจต้องฆ่าคน เธอกลัวไหม? ” เฉินโจวอี้พูดขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ ” ส่วนเรื่องที่ว่าดาบนี้มาได้อย่างไร เธอไม่ต้องถามให้มันมากความหรอก “
” พี่ ฉันไม่กลัวหรอก พวกเขาสมควรตาย! ” นัยน์ตาเฉินซิงเยว่ดูว่างเปล่า จากนั้นพูดขึ้นอย่างเย็นชา
ดูเหมือนว่าพอเธอนึกถึงเพื่อนรักทั้งสองคนที่ถูกฆ่าตายอย่างน่าเวทนา ในดวงตาของเธอเกิดน้ำตาคลอ ในไม่ช้าเธอหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วหยิบดาบอัลลอยออกมาเช่นกัน
….
ทั้งสองคนเดินตามกันลงไปชั้นล่าง
” พวกลูกถือดาบมาทำไม? ” เฉินต้าเหว่ยมองทั้งสองคนแล้วพูดอย่างตกตะลึง ” แล้วก็โจวอี้ด้วย ลูกไปซื้อดาบเล่มนี้มาตอนไหน? “
เฉินซิงเยว่ไม่ได้พูดอะไร
” พ่อครับ กินข้าวกันก่อน หลังจากนั้นผมจะบอกพ่อกับแม่เอง ” เฉินโจวอี้ฝืนยิ้มออกมา
แต่แม่ของเขาเป็นคนช่างสังเกต เธอสังเกตเห็นว่าลูกสาวตาแดง สีหน้าดูหม่นหมอง ลูกชายเองก็ฝืนยิ้ม ตอบคำถามหลีกประเด็น ยิ่งในมือถือดาบอีก ทันใดนั้นจึงเกิดลางสังหรณ์บางอย่างขึ้น
” ลูกทำอะไรน้องกันแน่? ถ้าลูกไม่พูดออกมาให้ชัดเจน ข้าวมื้อนี้ก็ไม่ต้องกินมันแล้ว! “
จะโทษความสงสัยของแม่ก็ไม่ได้ ไม่ว่าใครมองเห็นสีหน้าของทั้งสองคน ก็ต้องคิดแบบนี้ทังนั้น
นี่คิดไปถึงไหนกันเนี่ย?
แม้ว่าในขณะนี้ในใจของเฉินโจวอี้กำลังคิดแต่เรื่องฆ่าคนพวกนั้น แต่พอได้ยินคำตำหนิของแม่ เขาถึงกับอ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว
เฉินต้าเหว่ยที่อยู่อีกด้านไม่มีรอยยิ้มเช่นกัน เขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ” โจวอี้ พวกลูก….”
” พ่อคะ แม่คะ พ่อกับแม่กำลังพูดอะไรกันอยู่เนี่ย? ” เฉินซิงเยว่อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างรำคาญ
” งั้นพวกลูกจะถือดาบมาทำไม? ” เห็นเฉินซิงเยว่ตอบโต้ ในที่สุดแม่ของเธอก็รู้สึกว่าเหมือนตัวเองจะเข้าใจผิดไป ทันใดนั้นจึงพูดขึ้นอย่างเคอะเขิน
เฉินโจวอี้เริ่มรู้สึกหดหู่ เขาคิดว่าถ้าไม่พูดเรื่องนี้ออกไป คงไม่ได้กินข้าวมื้อนี้แน่ เขาเห็นว่าประตูบานพับถูกปิดแล้ว จึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า
” พ่อครับ แม่ครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว “
จากผลกระทบของสีหน้าจริงจังของเฉินโจวอี้ แม่ของเขาและเฉินต้าเหว่ยผู้เป็นพ่อพอได้ฟังแล้วจึงตกตะลึงไปโดยไม่รู้ตัว เฉินต้าเหว่ยจึงรีบถามขึ้นว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
” วันนี้ละแวกใกล้เคียงเกิดเหตุคนตายเยอะมาก พ่อกับแม่น่าจะรู้เรื่องนี้นะครับ! “
ทั้งสองคนรีบพยักหน้าทันที เรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วในบริเวณใกล้เคียง ทำไมทั้งสองคนจะไม่รู้เรื่องล่ะ
” ตอนแรกซิงเยว่อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย แต่เธอโชคดีที่หนีออกมาได้ ต่อมาเธอไปแจ้งตำรวจ ข้อมูลหลุดออกไป ตอนบ่ายวันนี้ด้านนอกเริ่มมีคนมาสอดแนมแล้ว ” เฉินโจวอี้อธิบายสาเหตุและผลกระทบของเรื่องนี้อย่างชัดเจน
” คืนนี้ พวกเราจำเป็นต้องออกจากเมืองตงหนิง! “
แม่ของเขาเห็นเฉินซิงเยว่พยักหน้าเช่นกัน จึงรู้สึกประหลาดใจ ต่อให้เธอวางมาดเข้มแข็งแค่ไหน เธอก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ” ทำไมถึงมีพวกนอกกฎหมายแบบนี้ได้ แจ้งตำรวจไม่ได้เหรอ? “
” แจ้งไปก็ไม่มีประโยชน์ ตำรวจจัดการได้แค่พักเดียว แต่จัดการไปตลอดชีวิตไม่ได้ พวกมันคือคนบ้า ” เฉินโจวอี้พูดปฏิเสธอย่างไม่ลังเล จางฉันมองไปยังเฉินต้าเหว่ย ” พ่อครับ น้ำมันรถพอใช่ไหม
” พอ! พอ! ครั้งที่แล้วหลังจากเติมไว้เต็มถังก็ยังไม่เคยได้ขับอีกเลย ขับไปประมาณสองสามร้อยกิโลน่าจะไม่มีปัญหาอะไร “
เฉินต้าเหว่ยคิดว่าอยู่ต่อหน้าลูกเมีย ไม่สามารถแสดงความไร้ประโยชน์ออกมาได้ ดังนั้นเขาจึงพยายามพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังและหนักแน่นว่า ” ที่จริงแล้วควรออกจากเมืองตงหนิง อะไรที่ควรทำก็ต้องทำ ความปลอดภัยของคนในครอบครัวสำคัญกว่าทุกสิ่ง เต็มที่ก็แค่ผ่านช่วงเวลายากลำบากแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น “
” แล้วคนที่มาสอดแนมล่ะ จะทำอย่างไร ” แม่ของเขาถามอย่างเป็นกังวล
” แม่ครับ เรื่องของพวกเขายกให้ผมจัดการเถอะครับ ” เฉินโจวอี้พูดขึ้นอย่างสงบนิ่ง
ขณะที่พูด เขาชักดาบออกมาทันที ได้ยินแค่เสียง เกร๊ง ดังขึ้น ดาบถูกเสียบเข้าไปในฝักอีกครั้งอย่างรวดเร็วราวแสงแฟลชกระพริบ โดยที่ทั้งสองคนยังไม่ทันมองเห็นได้ชัด
วินาทีต่อมา มุมโต๊ะด้านหนึ่งแตกออกจากตัวโต๊ะร่วงลงพื้นภายใต้แรงโน้มถ่วง จนเกิดเสียงดัง
รอบด้านเกิดความเงียบทันที
เฉินซิงเยว่เบิกตากว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง ตอนบ่ายเธอรู้สึกได้จางๆ ว่าพลังของพี่ชายแข็งแกร่ง แต่เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้
ขนาดเธอเองยังมองไม่ชัดว่าเขาชักดาบเก็บไปตอนไหน
” พี่ พี่…..ตอนนี้พี่เป็นชาวยุทธแล้วเหรอ? ” เธออดที่จะถามไม่ได้
” ประมาณนั้น! “เฉินโจวอี้พูดขึ้น
ในเวลาวิกฤติแบบนี้ เขาไม่สามารถปกปิดความแข็งแกร่งของเขาไว้ได้อีก ในเวลานี้ยิ่งเขามีพลังมากเท่าไหร่ พ่อกับแม่ของเขาก็ยิ่งรู้สึกสบายใจมากเท่านั้น
ฟังคำพูดของทั้งสองคน แม่ของเขาและเฉินต้าเหว่ยมองหน้ากัน จากนั้นหันไปมองเฉินโจวอี้ เริ่มรู้สึกว่าไม่รู้จักลูกชายของตัวเองไปแล้ว
” โจวอี้ ลูกคือชาวยุทธจริงๆ เหรอ? “แม่เขายังคงพูดขึ้นอย่างไม่เชื่อ
พอเห็นสายตาตื่นเต้นของทั้งสองคน เฉินโจวอี้จึงพยักหน้า
พูดแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นการคุยโว อย่างน้อยสมรรถภาพทางกายของเขาไกลเกินกว่าระดับมาตรฐานของชาวยุทธไปตั้งนานแล้ว
แม่ของเขาพอเห็นดังนั้นก็ตื่นเต้น ความตกใจกลัวในตอนแรกเริ่มผ่อนคลายลงในทันที ความแข็งแกร่งของชาวยุทธได้ฝังลึกเข้าไปในใจของทุกคน ชาวยุทธแต่ละคนต่างเป็นบุคคลสำคัญมีตำแหน่งใหญ่โต ทั้งเมืองตงหนิงมีอยู่แค่ไม่กี่คน
แต่เธอหันมากังวลเรื่องอื่นแทน ” พอถึงตอนนั้น ลูกอย่าบุ่มบ่ามไปฆ่าใครเข้าล่ะ “
” วางใจเถอะครับแม่ ผมก็แค่จะทำให้พวกมันสลบ ” ถึงแม้ว่าในใจของเฉินโจวอี้จะเกิดความคิดที่จะฆ่ามาตั้งนานแล้ว แต่เพื่อทำให้พ่อกับแม่สบายใจ เขาจึงตอบไปแบบนี้
เฉินต้าเหว่ยดึงสติกลับมา แล้วรีบพูดตัดบท
” ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมัวมานั่งคุยกัน รีบกินข้าวก่อน! “
” ใช่ๆๆ ไหนจะสัมภาระอีก “
….
บรรยากาศในการกินข้าวค่อนข้างดูกดดัน นอกจากเฉินโจวอี้แล้ว ไม่มีใครกินข้าวลงเท่าไร
แม่ของเขารีบกินข้าวไปไม่กี่คำ แล้วรีบดึงเฉินต้าเหว่ยไปเก็บสัมภาระทันที
จะทิ้งสมบัติของครอบครัวไว้ไม่ได้ ยิ่งการออกจากเมืองในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไร มีของหลายอย่างที่ต้องเอาไปด้วย
สิบนาทีต่อมา ทั้งสองคนถือกระเป๋าใบเล็กใบใหญ่แล้วเดินลงมาชั้นล่าง
” เสื้อผ้าของพวกลูก แม่ช่วยเก็บมาหมดแล้ว โจวอี้ ทำไมใต้เตียงลูกยังมีธนูอีกคันล่ะ? “
” แม่ แม่ไม่ต้องถามแล้ว พอถึงตอนนั้นเดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังเอง ” เฉินโจวอี้พูดขึ้นอย่างปวดหัว
เฉินซิงเยว่มองดูธนูคันยาวขนาดใหญ่ในมือของพ่อ และลูกธนูสงครามอีกเป็นจำนวนมาก เธอจึงหันมามองเฉินโจวอี้ราวกับกำลังมองสัตว์ประหลาดอยู่
พี่ ช่วงนี้พี่กำลังแอบทำอะไรอยู่กันแน่?
” แม่ครับ กระเป๋าเอกสารของผมแม่ได้เอามาด้วยไหม? ” ทันใดนั้นเฉินโจวอี้ดูเหมือนจะนึกอะไรออกในทันที จึงรีบถามขึ้น
” เอามาแล้ว ยัดลงไปในกระเป๋าเป้พร้อมกับเสื้อผ้าของลูกนั่นแหละ! “
อะไรนะ?
เฉินโจวอี้หน้าซีด หัวของเขารู้สึกชา เขาวางชามข้าวในทันทีแล้วรีบเดินไป พร้อมกับพูดว่า ” แม่ครับ เอามาให้ผมแล้วกัน ผมจะดูว่ายังมีของอะไรที่ไม่ได้เอามา “
หลังจากเขารับกระเป๋าเป้มาได้ไม่นาน รู้สึกว่าด้านในมันนูนออกมา เห็นได้ชัดว่าแม่ของเขายัดของไว้แน่นมาก
เด็กหญิงเปลือกหอยคงไม่ถูกทับตายใช่ไหม?
เขาหันหลังให้ทุกคน แล้วรีบเปิดกระเป๋าเป้ หยิบเอาเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าไม่หยุด ในที่สุดภายใต้ความกังวลใจ เขาหยิบเอากระเป๋าเอกสารที่ถูกทับไว้จนแบนออกมา
เขาสูดหายใจเข้า แล้วเปิดซิปในทันที
พอเห็นเด็กหญิงเปลือกหอยที่กำลังตกใจกลัวสุดขีดเพราะถูกกระเป๋าเอกสารทับไว้ แต่เธอยังคงปลอดภัยไร้อันตราย เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
” ตกใจหมดเลย “