Dawn of a new era รุ่งอรุณแห่งยุคใหม่ - ตอนที่ 64
ตอนที่ 64 ค่ำคืนแห่งการฆ่า (1)
เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อยเข้าสู่ช่วงกลางดึก
พระจันทร์เสี้ยวลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ให้แสงสว่างเล็กน้อยแก่ท้องฟ้าอันมืดมิด
ตรงหัวมุมถนน เงาดำตะคุ่มสองคนยืนพิงกำแพงอย่างเบื่อหน่าย
แสงสลัวของก้นบุหรี่ดูริบรี่
” พี่ซวี๋ สอดแนมมาเกือบทั้งวันแล้ว สรุปแล้วพวกเราจะลงมือกันตอนไหน? ” ชายหนุ่มคนหนึ่งโยนก้นบุหรี่ทิ้งลงพื้น ใช้เท้าบดขยี้มัน แล้วกระซิบถามอย่างไม่สบอารมณ์
” รอก่อนสิ! ” ชายหนุ่มที่ชื่อพี่ซวี๋ยื่นมือออกมาดูนาฬิกาแล้วกระซิบ ” รอให้พวกมันหลับสนิทก่อนค่อยว่ากัน ถ้าเคลื่อนไหวมากเกินไป อาจถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คอยลาดตะเวนสังเกตเห็นเข้า ครั้งนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด “
” ต้องฆ่าทั้งหมดจริงๆ ใช่ไหม? ” ชายหนุ่มดูเหมือนจะพูดขึ้นอย่างอดกลั้น
” ทำไม นายฆ่าไม่ลงหรอ? หรือว่านายบ่ายเบนออกจากศรัทธาไปแล้ว? ” พี่ซวี๋หันมาแล้วพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
” ไม่ใช่ มะ……ไม่เคยเลย ผมศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อเทพเจ้าแห่งการล่าผู้ยิ่งใหญ่ ” ชายหนุ่มตกใจจนรีบพูดขึ้น
เทพเจ้าแห่งการล่าคือเทพเจ้าที่แท้จริง พิธีกรรมเมื่อตอนเที่ยงเขารู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของท่านจริงๆ
อำนาจของเทพเจ้าเหมือนกับคุกที่ติดตามเราไป ดูน่าเกรงขามและไม่สามารถคาดเดาได้
พวกระดับสูงบางส่วนได้รับอำนาจจากเทพเจ้าในระหว่างทำพิธีกรรม
ในพิธีกรรม ตัวตนของแต่ละคนถือเป็นความลับ มีแค่ความสัมพันธ์ระดับสูงและระดับต่ำเท่านั้น
เขาเองก็มองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของพวกเขา แต่ก็ยังรู้สึกว่าคนระดับสูงหลายคนเป็นคนชรา
” งั้นก็ดี พวกเราเป็นสาวกรุ่นแรกของโลกมนุษย์ที่ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งการล่าผู้ยิ่งใหญ่ ภารกิจในครั้งนี้คือบททดสอบเล็กๆ ถึงความภักดีของพวกเราที่มีต่อท่าน! “
ฉันรู้อยู่แล้ว! สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ในทันที
พี่ซวี๋พยักหน้า สีหน้าของเขาดูสงบลง แล้วพูดต่อ
” ภารกิจในครั้งนี้ไม่ยาก ครอบครัวนี้มีสี่คน นอกจากเด็กสาวคนนั้นที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเล็กน้อยแล้ว คนอื่นต่างก็เป็นคนธรรมดาทั้งหมด พอถึงเวลานั้นเด็กสาวนั่นให้ฉันจัดการเอง ส่วนนายไปจัดการสามคนที่เหลือ “
” ได้! ” ครั้งนี้ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างไม่ลังเล
” จำไว้ว่าจะต้องลงมืออย่างเด็ดขาด ห้ามมีความเมตตาต่อผู้หญิงวัยกลางคนนั่น…… ” เขาพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นก็หุบปากทันที แล้วทำท่าทางบอกให้เงียบเสียง
ชายหนุ่มอีกคนพึ่งจะรู้สึกสงสัย จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากที่ไกลๆ
แม่งเอ้ย มืดขนาดนี้ ดึกแล้วยังไม่รู้จักหลับจักนอนอีกหรอวะ รนหาที่ตายหรือไง?
มุมปากของชายหนุ่มกระตุกขึ้น เขาหยิบกล่องบุหรี่ออกมาอย่างเบื่อหน่าย หยิบเอาบุหรี่ออกมาจุดไฟ
เพิ่งจะสูบไปได้หนึ่งฟอด เงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหัวมุมถนน เดินเลี้ยวตรงมายังทางด้านนี้
ท่ามกลางแสงจันทร์สลัวในยามค่ำคืน สามารถมองเห็นเด็กหนุ่มอายุราว 17-18 คนหนึ่งสวมชุดกีฬาสีดำทั้งชุด ผิวขาวเนียนดูหล่อเหลา
เขาดูเหมือนจะรู้ว่าริมถนนมีคนอยู่ จึงมองมายังด้านนี้ พอเห็นเงาคนสองคนยืนพิงกำแพงอยู่ ทันใดนั้นเขาก็ตกใจกลัวรีบเก็บฝีเท้าทันที
หลังจากนั้นไม่นาน เขาถึงจะลังเลและเดินมาทางนี้อย่างช้า ๆ ขณะเดียวกันมองดูทั้งสองด้วยความระมัดระวัง
” ไอ้เด็กเปรต มองอะไรวะ ยังไม่รีบเดินไปอีก! ” ชายหนุ่มพูดขู่ให้ตกใจ
มองดูเด็กหนุ่มที่ตกใจจนรีบเพิ่มความเร็วในการเดิน เขาอดที่จะหัวเราะร่าไม่ได้
ทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กันเรื่อยๆ
สิบเมตร ห้าเมตร
ทันใดนั้นชายหนุ่มคนที่ชื่อพี่ซวี๋อะไรนั่นเริ่มสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายดูผิดปกติ
เขาพบว่าถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มนั่นจะแสดงท่าทีว่าหวาดกลัว แต่การเดินนั้นไม่ได้เดินอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน แต่กลับเดินตรงกลางถนนแทน
ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือเขาพบว่านัยน์ตาของอีกฝ่ายดูนิ่งสงบราวกับสระน้ำลึกที่มองไม่เห็นก้นสระ
เขารู้สึกหวาดกลัวจนขนหัวลุกทันที ” ไม่ได้การแล้ว! จัดการ….”
แต่ในเวลานี้มันกลับสายไปเสียแล้ว
เมื่อเขาพูดคำแรก อีกฝ่ายยังยืนอยู่บนถนน
แต่เมื่อพูดคำที่สองออกมา ขณะเดียวกันตอนที่มือของเขายื่นออกมาตรงแขนเพื่อเตรียมหยิบอาวุธนั้น
เงาของเด็กหนุ่มดูเลือนรางราวกับภาพเบลอที่ค้างอยู่ตรงจอประสาทตาของเขา
ในขณะเดียวกัน ลมกรรโชกแรงพัดมาจากในอากาศ ผมของเขาถูกพัดจนปลิว ใบหน้าของเขาสั่นอย่างรุนแรง
ขณะที่ดาบสั้นตรงแขนของเขาเพิ่งจะโผล่ออกมาแค่ครึ่งฟุต คำว่า ‘ จัดการ ‘ เมื่อกี้เพิ่งจะถูกพูดออกมา เขาก็มองเห็นแท่งตะเกียบอันบางเฉียบ ขยายขึ้นอย่างรวดเร็วในสายตาของเขา ความกลัวยังไม่ทันเกิดขึ้นในหัวใจ วินาทีต่อมาร่างกายของเขากระตุก ดวงตาเบิกกว้าง ร่างเขาเอนติดกำแพงแล้วค่อยๆ ไถลลงไปกองกับพื้น
เด็กหนุ่มค่อยๆ ดึงตะเกียบที่เปื้อนเลือดออกมา และตะเกียบก็ยังคงอยู่ดีเหมือนเดิม
เขาหันมามองชายหนุ่มอีกคน
ทันใดนั้นชายหนุ่มตกใจกลัวรีบถอยหลัง หางตาเหลือบไปมองศพของพี่ซวี๋ เขาหวาดกลัวจนฉี่แตก
” กะ…..แกอย่าเข้ามานะ ฉะ…..ฉันคือสาวกของเทพเจ้าแห่งการล่า ถ้าแกฆ่าฉันแกจะพบเจอแต่เรื่องโชคร้าย “
เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ ” เทพเจ้าแห่งการล่า มันคืออะไรเหรอ? “
เพิ่งจะพูดจบไป เงาของเด็กหนุ่มก็ดูเลือนรางอีกครั้ง จากนั้นไม่นานเขาจึงหันหลังกลับ
หลังจากเดินไปก้าวไปไม่กี่ก้าว ร่างหนักหนึ่งร่างร่วงลงสู่พื้น บนหน้าผากปรากฏรูโบ๋ขนาดลึกที่มีเลือดไหลอาบ ทั่วทั้งร่างกายกระตุกไม่หยุด
ไม่ต้องสงสัยเลย เด็กหนุ่มที่ว่านั่นก็คือเฉินโจวอี้นั่นเอง
เขาเหลือบมองตำรวจที่ลาดตระเวนอยู่ไกลออกไป แล้วเดินกลับบ้านอย่างใจเย็น
ตอนที่เขาออกมา เขากระโดดลงมาจากทางหน้าต่าง แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ทางนั้นแล้ว
ก่อนที่จะเคาะประตู เขายัดตะเกียบที่เปื้อนเลือดลงในช่องของฝาท่อระบายน้ำบนถนนแล้วตรวจสอบเสื้อผ้าบนร่างกายของเขาอย่างละเอียด โชคดีที่ไม่มีรอยเลือดอยู่บนร่างกายของเขา
” พ่อครับ! แม่ครับ รีบเปิดประตูให้ผมหน่อย! “
ไม่กี่วินาทีต่อมา ประตูเหล็กถูกดึงออก เฉินโจวอี้รีบเบียดตัวเข้าไปทันที
เขาเพิ่งจะเข้ามา เฉินซิงเยว่ก็อดถามอย่างร้อนใจไม่ได้ ” พี่ จัดการได้หรือยัง? “
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่ดูกังวลและตื่นเต้นของทุกคน เฉินโจวอี้จึงพยักหน้า ” ตอนนี้พวกที่มาสอดแนมไม่มีแล้ว มันยังไม่สายเกินไป พวกเรารีบไปกันเถอะ “
” ลูกไม่ได้ฆ่าใครตายใช่ไหม? ” แม่ของเขาถามขึ้น
” แม่ครับ วางใจเถอะ! ไม่มีเลย ผมแค่ทำให้พวกมันสลบเฉยๆ ” เฉินโจวอี้ลังเลไปเล็กน้อย แต่เขาก็เลือกที่จะพูดโกหกให้แม่สบายใจ
เฉินซิงเยว่มองไปยังพี่ชายของเธอ พอเห็นเฉินโจวอี้พยักหน้า สีหน้าที่เคยตึงเครียดและกังวลตั้งแต่ช่วงบ่าย บัดนี้เป็นครั้งแรกที่เผยรอยยิ้มออกมา
สำหรับการส่งซิกเล็กๆ ของสองพี่น้อง แม่ของเขาไม่ได้สังเกตเห็นเลย เธอเอาแต่พูดว่า ” งั้นก็ดี ดีเลย! “
เฉินโจวอี้เข้าใจความคิดของแม่เขา พ่อแม่ทุกคนต่างก็หวังให้ลูกของตัวเองปลอดภัยไม่มีเรื่องอะไร ไม่ใช่คาดหวังให้ลูกกลายเป็นฆาตกร ต่อให้คนที่ฆ่าจะเป็นคนเลวที่ไม่อาจอภัยให้ได้ก็ตาม
แต่เป็นเพราะกฎหมายไม่สามารถอภัยให้ได้ การฆ่าคนก็คือการฆ่าคน ไม่ใช่ฆ่าเขาเพราะเป็นคนเลว แล้วจะไม่ถูกลงโทษทางกฎหมาย
” ไม่ต้องพูดแล้ว รีบไปกันเถอะ! ” เฉินต้าเหว่ยพูดกระตุ้นทุกคน
” ใช่! ใช่! ใช่! “
แม่ของเขารีบดึงประตูเหล็กปิดเข้ามา แล้วล็อคอีกครั้ง
ทุกคนเดินออกจากประตูหลังไป
รถอยู่ในโรงรถของประตูหลัง ซึ่งกระเป๋าสัมภาระถูกวางไว้ด้านในหมดแล้ว
หลังจากตรวจสอบดูอีกรอบ ทุกคนรีบขึ้นไปนั่งบนรถอย่างรวดเร็วเตรียมออกเดินทาง
เนื่องจากเหตุผลสำหรับทำธุรกิจ บางครั้งมักจะต้องขนส่งสินค้าอยู่บ่อยครั้ง รถที่ครอบครัวซื้อไว้จึงเป็นรถมินิแวนคันเล็ก ภายในมีเนื้อที่เยอะ
แต่ในเวลานี้เบาะหลังที่ถูกรื้อไปเมื่อนานมาแล้ว บัดนี้ได้วางกองสัมภาระซ้อนกันไว้มากมายราวกับภูเขา
หลังจากสตาร์ทรถไปสองสามครั้ง โชคดีที่สตาร์ทติดได้อย่างง่ายดาย
รถค่อยๆ ขับออกมาจากโรงรถ ในไม่ช้าก็ขับออกมาที่ถนน ยิ่งขับยิ่งเร็วขึ้น
เฉินซิงเยว่และเฉินโจวอี้นั่งอยู่เบาะหลัง ด้านข้างของแต่ละคนวางดาบยาวไว้รวมถึงธนูอีกหนึ่งคัน
ในรถไม่มีใครพูดอะไร ดูเหมือนต่างคนต่างอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ดัง ‘หึ่มๆ’ เท่านั้น
เฉินโจวอี้มองออกไปนอกหน้าต่าง พอดีกับที่มีดอกไม้ไฟลูกหนึ่งลอยขึ้นไปในอากาศ จากนั้นจุดประกายไฟสีแดงอันงดงามขึ้น ส่องสว่างสุกสกาวไปทั่วท้องฟ้า
หวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะปลอดภัยตลอดเส้นทางนะ!